สรรพคุณขิงนั้นมีอะไรบ้าง วันนี้เรามาดูกันหน่อยว่าประโยชน์ของขิงนั้นจะนำไปใช้ประโยชน์ทางไหนได้บ้าง ทุกคนคงรู้จักขิงเป็นอย่างดี ทั้งเอาประกอบอาหาร เป็นเครื่องดื่ม อย่างบางคนดื่มน้ำขิงก่อนนอน หรือจะช่วยรักษาและบรรเทาอาการบางอย่างได้ ซึ่งสรรพคุณขิงมีมากก็จริง แต่ก็ต้องมีข้อควรระวังในการใช้ ประโยชน์ของขิง มีอะไรบ้างติดตามได้เลย ช้อปผลิตภัณฑ์ขิงได้ที่ Shopee
หัวข้อต่างๆ ของบทความนี้
ประโยชน์ของขิง กินขิงช่วยอะไร
ก่อนที่เราจะไปทราบถึงสรรพคุณขิงนั้น ต้องรู้ก่อนว่าขิงเป็นพืชที่มีเหง้าใต้ดิน เนื้อในสีขาว หรือเหลืองอ่อน ซึ่งสามารถใช้ประโยชน์ได้ทั้งราก เหง้า ต้น ใบ ดอก แก่น ของขิง เรียกว่าใช้ได้ทุกส่วนเลย ขิงเป็นพืชที่มีฤทธิ์ร้อน มีกลิ่นฉุนเฉพาะตัว ขิงสรรพคุณจะมีอะไรบ้าง เราไปดูกันเลย
1. บรรเทาอาการอาหารไม่ย่อย
หากคุณมีอาการอาหารไม่ย่อยเรื้อรัง ขิงสามารถช่วยบรรเทาได้ การกินขิงก่อนอาหารอาจทำให้ระบบขับถ่ายดีขึ้น รวมถึงประโยชน์ของการดื่มน้ำขิงก่อนนอน น้ําขิงสรรพคุณจะช่วยลดอาการท้องอืด ช่วยขับลม และช่วยบรรเทาอาการได้
2. แก้ปวดไมเกรน
ประโยชน์ของขิงช่วยบรรเทาอาการปวดไมเกรนได้ เพราะขิงจะไปช่วยยับยั้งฮอร์โมนที่เกี่ยวกับการอักเสบ เพียงดื่มน้ำขิงหรือกินขิงผงเป็นประจำ อาการไมเกรนก็จะบรรเทาลง
3. เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน
ประโยชน์ของขิงสามารถช่วยแก้หวัด แก้ไอได้เป็นอย่างดี และการกินขิงสดอาจช่วยปกป้องระบบทางเดินหายใจและช่วยลดการสะสมของเชื้อไวรัสได้ดีกว่าขิงแห้ง เพียงนำขิงสดผสมน้ำมะนาวและเกลือ จิบบ่อย ๆ จะช่วยแก้ไอได้ดีทีเดียว หรือหากมีอาการไอและคันคอมาก แนะนำให้ใช้สเปรย์พ่นคอช่วย รวมถึงไอน้ำมันหอมระเหยจากน้ำขิงช่วยให้หายใจสะดวกมากขึ้นในช่วงที่เป็นหวัดคัดจมูกอีกด้วย
4. บรรเทาอาการปวดประจำเดือน
หากสาว ๆ ปวดท้องประจำเดือน สารสกัดจากขิงอาจช่วยได้ เพราะในการศึกษาวิจัย ผู้หญิงที่กินสารสกัดจากขิง 1,500 มิลลิกรัม โดยกินวันละครั้งเป็นเวลา 3 วันในระหว่างรอบเดือน จะรู้สึกปวดท้องประจำเดือนน้อยกว่าผู้หญิงที่ไม่ได้กิน เพราะฉะนั้น สรรพคุณของขิงจึงช่วยลดอาการปวดประจำเดือนได้ เพียงแค่กินสารสกัดจากขิงหรือจิบน้ำขิงร้อน ๆ วันละ 3-4 ครั้งในช่วงที่เป็นประจำเดือน
5. บรรเทาอาการคลื่นไส้
สรรพคุณของขิงสามารถช่วยบรรเทาอาการแพ้ท้อง และบรรเทาอาการคลื่นไส้หลังการรักษามะเร็งได้ รวมถึงยังช่วยแก้อาการคลื่นไส้จากเมารถ เมาเรือ และคลื่นไส้อาเจียนหลังการผ่าตัด หากมีอาการสามารถกินขิงอบแห้งหรือน้ำขิงเพื่อบรรเทาอาการได้
6. แก้อาการเมาค้าง
ขิงเป็นยาที่ได้รับการสนับสนุนจากงานวิจัยว่าช่วยบรรเทาอาการคลื่นไส้ ที่รวมถึงอาการเมาค้าง เพียงดื่มน้ำขิงอุ่น ๆ ในตอนเช้าหลังจากกลับจากปาร์ตี้ยามดึก หรือเที่ยวกลางคืนอย่างสนุกสนาน ก็จะช่วยให้อาการดีขึ้น
7. มีฤทธิ์ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด
ประโยชน์ของขิงอาจช่วยให้ร่างกายของคุณใช้อินซูลินได้ดีขึ้น และสามารถช่วยปรับปรุงระดับน้ำตาลในเลือดได้ แต่หากคุณเป็นโรคเบาหวาน ควรอยู่ในความดูแลของแพทย์ เนื่องจากขิงอาจไปทำปฏิกิริยากับยาที่รักษาอยู่ได้
8. ช่วยป้องกันแผลในกระเพาะอาหาร และรักษากรดไหลย้อน
การใช้ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์เช่น นาโพรเซน และไอบูโพรเฟน อาจทำให้เกิดแผลในกระเพาะอาหารได้ และแบคทีเรีย Helicobacter pylori สามารถทำให้เยื่อบุกระเพาะอาหารมีแนวโน้มที่จะเป็นแผลมากขึ้น ซึ่งขิงสามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียชนิดนี้ได้ และสามารถป้องกันการเกิดแผลในกระเพาะอาหารที่เกิดจากยาในกลุ่ม NSAIDs ได้อีกด้วย รวมถึงหากนำขิงแก่สด 2-3 แง่งมาทุบให้ละเอียดแล้วต้มในน้ำเดือด นำมาจิบจะช่วยแก้อาการกรดไหลย้อนได้
9. แก้อาการร้อนใน
ฤทธิ์ต้านการอักเสบของขิงสามารถปรับปรุงอาการของปากเปื่อยอักเสบและแก้ร้อนในได้ เพียงใช้ลำต้นสด ๆ นำมาทุบให้แหลกประมาณ 1 กำมือ แล้วนำมาต้มดื่มวันละครั้ง และหากอาการร้อนในทำให้รู้สึกเจ็บคอ กลืนลำบาก แนะนำให้อมยาอมแก้เจ็บคอเป็นประจำ เพื่อให้คอชุ่มชื้นขึ้น
10. ช่วยให้ดูอ่อนกว่าวัย
ขิงช่วยชะลอความแก่และชะลอการเกิดริ้วรอย เพราะขิงมีสารต้านอนุมูลอิสระช่วยปกป้องผิวจากอนุมูลอิสระ เช่น มลภาวะและรังสียูวี ซึ่งเร่งการสลายตัวของคอลลาเจนและทำลายผิว ปริมาณสารต้านอนุมูลอิสระของขิงจึงสามารถช่วยรักษาการผลิตคอลลาเจนของผิว และส่งเสริมความยืดหยุ่นและความเรียบเนียนของผิวได้
11. ลดการอักเสบ
ขิงมีสรรพคุณในการรักษาอาการอักเสบที่เกิดจากโรคข้อเข่าเสื่อม ช่วยลดอาการเจ็บขณะยืน และช่วยลดอาการบวม ที่อาจเป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับการรักษาอาการของโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ คุณอาจบรรเทาความเจ็บปวดและบวมได้ด้วยการกินขิงเป็นประจำ
12. ช่วยในการลดน้ำหนัก
การดื่มน้ำขิงหลังอาหารอาจช่วยลดน้ำหนักได้ เพราะน้ําขิงสรรพคุณเร่งการเผาผลาญ และลดความอยากอาหาร เนื่องจากความสามารถในการควบคุมน้ำหนักของขิงอาจเกี่ยวข้องกับกลไกบางอย่างในร่างกาย เช่น ศักยภาพในการช่วยเพิ่มจำนวนแคลอรี่ที่เผาผลาญ หรือลดการอักเสบ
13. แก้ปัญหาผมร่วง
สรรพคุณของขิงช่วยเพิ่มการไหลเวียนของหนังศีรษะ ในขณะเดียวกันก็กระตุ้นรูขุมขนของผมแต่ละเส้น ซึ่งจะช่วยส่งเสริมการเจริญเติบโตของเส้นผมตามธรรมชาติ นอกจากนี้วิตามิน เกลือแร่ และกรดไขมันหลายชนิดในขิงยังช่วยเสริมสร้างเส้นผมให้แข็งแรงเพื่อต่อสู้กับปัญหาผมร่วง และช่วยฟื้นฟูการสูญเสียความชุ่มชื้น โดยนำเหง้าขิงสดมาตำให้แหลก จากนั้นนำมาพอกบริเวณที่มีผมขาดหลุดร่วงวันละ 2 ครั้ง ทำไปจนกว่าอาการจะดีขึ้น
14. บำรุงหัวใจและหลอดเลือด
การบริโภคขิงทุกวันอาจป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจ ความดันโลหิตสูง เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง โรคหลอดเลือดสมอง และโรคไขมันพอกตับ รวมถึงโรคเรื้อรังอื่นๆ ได้ เนื่องจากขิงมีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระและมีโซเดียมต่ำ
15. ลดความเสี่ยงมะเร็ง
ขิงเป็นแหล่งของสารต้านอนุมูลอิสระที่ดีเยี่ยม ขิงสามารถลดความเครียดจากปฏิกิริยาออกซิเดชั่นประเภทต่าง ๆ ได้ ซึ่งอนุมูลอิสระอาจทำให้เซลล์เสียหาย ซึ่งอาจนำไปสู่สภาวะต่าง ๆ เช่น โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ หัวใจวาย การอักเสบเรื้อรัง และมะเร็ง สารต้านอนุมูลอิสระในขิงจะช่วยให้ร่างกายกำจัดอนุมูลอิสระได้ โดยเฉพาะมะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งตับอ่อน และมะเร็งตับ
ประโยชน์ของขิง และ ขิงกินในรูปแบบไหนได้บ้าง
Cr. Pixabay
ขิงเป็นส่วนผสมอเนกประสงค์ที่บริโภคได้หลากหลายรูปแบบ โดยแต่ละชนิดมีรสชาติเฉพาะตัวและมีประโยชน์ต่อสุขภาพ ต่อไปนี้เป็นรูปแบบหลักที่ผู้คนมักบริโภคขิง:
1. ขิงสด
เป็นรูปแบบที่เป็นธรรมชาติที่สุด ประกอบด้วยรากดิบนั่นเอง ขิงสดปอกเปลือก หั่นเป็นชิ้น สับ หรือขูดแล้วใช้ในการปรุงอาหาร ขึ้นชื่อในเรื่องรสเผ็ดร้อน และมักเติมลงในอาหารเพื่อความสดชื่น
2. ขิงแห้ง
หลังจากตากแห้งแล้ว ขิงสามารถบดเป็นผงได้ ผงขิงแห้งมักใช้ในเครื่องเทศและมาซาลาในการปรุงอาหารและการอบ ให้รสชาติที่เข้มข้นยิ่งขึ้น
3. ขิงดอง
มักเสิร์ฟคู่กับซูชิ ขิงดองทำโดยการหั่นขิงสดเป็นชิ้นบางๆ แล้วดองในน้ำส้มสายชูและน้ำตาล
4. ขิงเชื่อม
ในรูปแบบนี้ ขิงจะถูกปรุงในน้ำเชื่อมและพักไว้ ขิงดองมีความนุ่มกว่าขิงสด และมักใช้เป็นของว่างหรือเป็นส่วนผสมของหวาน
5. ขิงตกผลึก
หรือที่เรียกว่าขิงหวาน รูปแบบนี้ทำโดยการปรุงขิงฝานเป็นชิ้นในน้ำเชื่อมแล้วเคลือบด้วยน้ำตาลทราย มักรับประทานเป็นขนมหวานหรือสับเป็นชิ้นแล้วนำไปอบ
6. ชาขิง
คุณสามารถแช่ขิงในน้ำร้อนเพื่อทำชาขิง มักบริโภคเพื่อสุขภาพ เช่น บรรเทาอาการเจ็บคอและช่วยย่อยอาหาร
7. น้ำมันขิง
น้ำมันขิงสกัดจากรากขิง มีประโยชน์ต่อสุขภาพและเป็นสารแต่งกลิ่นรส
8. น้ำขิง
เป็นน้ำผลไม้ที่สกัดจากรากขิงและสามารถนำมาใช้ปรุงอาหาร อบขนม หรือเครื่องดื่มเพื่อให้มีรสชาติเข้มข้น
9. แคปซูลขิง
สำหรับผู้ที่ต้องการประโยชน์ต่อสุขภาพโดยไม่มีรสจัด ขิงมีจำหน่ายในรูปแบบแคปซูล มักใช้เป็นอาหารเสริม
10. ขิงบด
รูปแบบที่สะดวกในการปรุงอาหาร ขิงบดจะทำโดยการบดขิงสดด้วยน้ำมันหรือน้ำ มักใช้ในซอสหมัก ซอส และสตูว์
ขิงรูปแบบเหล่านี้ทำให้ขิงสามารถนำไปใช้ในอาหารและยาได้อย่างไม่น่าเชื่อ ทำให้สามารถนำมาประกอบอาหารและขนมได้หลากหลาย
ส่วนไหนของขิงที่สามารถรับประทานได้?
ขิงเป็นพืชอเนกประสงค์ แต่ไม่ใช่ว่าทุกส่วนจะถูกนำมาใช้ในการประกอบอาหารหรือเป็นยา ส่วนที่บริโภคบ่อยที่สุดคือเหง้าหรือราก ก้านใต้ดินนี้ขึ้นชื่อในเรื่องรสชาติเผ็ดร้อนซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักในอาหารหลายจานทั่วโลก อย่างไรก็ตาม สามารถใช้ใบของต้นขิงได้เช่นกัน มีรสชาติอ่อนกว่าและสามารถนำมาใช้คล้ายกับใบกระวานในซุปปรุงรสและอาหารอื่นๆ แม้ว่าจะไม่ค่อยมีจำหน่ายตามท้องตลาดก็ตาม
วิธีปฏิบัติการบริโภคที่เหมาะสมที่สุด
1. ขิงสดเทียบกับขิงแห้ง: ขิงสดที่มีรสเผ็ดร้อนและฉุนเป็นที่ต้องการสำหรับประโยชน์ต่อสุขภาพส่วนใหญ่ รวมถึงคุณสมบัติการย่อยอาหารที่ดีขึ้นและต้านการอักเสบ ผงขิงแห้งมีความเข้มข้นมากกว่าและมีประโยชน์ที่แตกต่างกัน เช่น อายุการเก็บที่เพิ่มขึ้นและความสะดวกในการจัดเก็บ
2. ขิงออร์แกนิก: การเลือกขิงออร์แกนิกช่วยให้มั่นใจได้ว่ารากจะปราศจากยาฆ่าแมลงและสารเคมีอันตรายอื่นๆ ซึ่งมีประโยชน์ต่อสุขภาพสูงสุด
วิธี กินขิง ให้ได้ประโยชน์ กินตอนไหนดี
ขิงสามารถรับประทานได้หลายช่วงเวลาตลอดทั้งวัน ขึ้นอยู่กับคุณประโยชน์ที่ต้องการ อย่างไรก็ตาม ต่อไปนี้คือวิธีกินขิงให้ได้ประโยชน์สูงสุด เวลารับประทานขิงที่ดีที่่สุด เพราะมีประโยชน์สูงและตอบโจทย์กับร่างกายโดยรวม
- เช้า: การบริโภคขิงในตอนเช้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งในน้ำอุ่นหรือชา สามารถช่วยกระตุ้นการย่อยอาหารและเพิ่มพลังการเผาผลาญ
- ก่อนมื้ออาหาร: ขิงที่รับประทานก่อนมื้ออาหารสามารถเพิ่มการผลิตกรดในกระเพาะอาหาร ช่วยในการย่อยอาหารและการดูดซึมสารอาหาร
- หลังออกกำลังกาย: เนื่องจากขิงมีคุณสมบัติต้านการอักเสบจึงเหมาะเป็นอย่างยิ่งหลังการออกกำลังกาย เพื่อช่วยลดอาการปวดกล้ามเนื้อและการอักเสบ
ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับขิงที่น่าสนใจ
ข้อเท็จจริง | คำอธิบาย |
---|---|
ต้นกำเนิด | ขิงมีต้นกำเนิดมาจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และมีการใช้มานานกว่า 5,000 ปี |
การผลิตทั่วโลก | อินเดียเป็นผู้ผลิตขิงรายใหญ่ที่สุด ซึ่งมีส่วนสำคัญต่ออุปทานทั่วโลก |
การใช้งานในอดีต | ในอดีตขิงมีคุณค่ามากจนถูกนำมาใช้เป็นสกุลเงินรูปแบบหนึ่ง |
ประโยชน์ในการทำอาหาร | ขิงถูกนำมาใช้ในรูปแบบต่างๆ: สด, แห้ง, ดอง, ดอง, ตกผลึกหรือผง |
โทษของขิงมีอะไรบ้างที่ควรระวัง
ได้รู้กันไปแล้วว่าขิง สรรพคุณนั้นมีอะไรบ้าง ไม่ว่าจะเป็นสมุนไพรแก้หวัด แก้อาการอักเสบ แก้ร้อนใน และช่วยย่อยอาหารได้ คราวนี้มารู้ถึงโทษของขิงกันบ้าง ขิงมีโทษและมีข้อควรระวังในการกิน ดังนี้
1. ขิงทำให้เกิดแผลร้อนในภายในปากได้ เพราะเป็นสมุนไพรที่มีฤทธิ์ร้อน หากกินในปริมาณมากเกินไปก็จะสามารถทำให้เยื่อบุภายในช่องปากเกิดการอักเสบ จนมีอาการร้อนในได้ ข้อควรระวังคือไม่ควรกินติดต่อกันเป็นเวลานาน เพราะอาจทำให้เกิดแผลในปากได้
2. หญิงตั้งครรภ์ไม่ควรบริโภคขิง เนื่องจากโทษของขิงอาจส่งผลกระทบต่อลูกในครรภ์ได้
3. หากใครที่กินยาสลายลิ่มเลือดอยู่ ก็ไม่ควรกินขิงเช่นเดียวกัน เพราะสรรพคุณของขิงจะต้านการแข็งตัวของเลือด ดังนั้น การรักษาในบางอาการควรอยู่ในความดูแลของแพทย์ หรือปรึกษาแพทย์ก่อนเพื่อความปลอดภัย
4. ขิงเป็นสมุนไพรที่มีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา ดังนั้น จึงอาจไม่เหมาะสำหรับบางคน ได้แก่ ผู้ที่มีประวัตินิ่วในไตที่มีออกซาเลต
ผู้ที่มักมีอาการเสียดท้อง และผู้ที่มีความดันโลหิตต่ำหรือใช้ยาลดความดันโลหิต บุคคลเหล่านี้ควรบริโภคขิงในปริมาณที่พอเหมาะ เนื่องจากอาจมีผลต่อโรคและอาการที่เป็นอยู่ได้
โดยทั่วไปแล้วขิงเต็มไปด้วยสารอาหารและสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพที่มีประโยชน์อย่างมากต่อร่างกายและสมอง จึงจัดได้ว่าประโยชน์ของขิงนั้น สามารถนำไปใช้รักษาและบรรเทาอาการต่าง ๆ ได้มากมาย หรือการดื่มน้ำขิงก่อนนอนก็ช่วยให้หลับสบายขึ้น เพราะน้ําขิงสรรพคุณดีต่อร่างกายหลายประการ รวมถึงช่วยในการนอนหลับ ซึ่งทำให้ขิงเป็นอีกหนึ่งสมุนไพรที่หาง่ายและมีประโยชน์ต่อสุขภาพอย่างมาก อ่านบทความเพื่อสุขภาพอื่นๆ เข่น ประโยชน์ของแตงโม ประโยชน์ของน้ำมะพร้าว ที่ Shopee Blog
อ้างอิง:
- 10 Benefits Of Ginger – Health Benefits Of Ginger (womenshealthmag.com)
- Top 5 health benefits of ginger | BBC Good Food
- 12 health benefits of ginger (singlecare.com)
- 11 Health Benefits of Ginger: Effect on Nausea, the Brain & More (healthline.com)
- Ginger: Health benefits and dietary tips (medicalnewstoday.com)