ลูกพลับ (Persimmon) ผลไม้รสหวานที่หลายคนอาจจะยังไม่ทราบว่าเปลือกของมันสามารถนำมาทานได้แถมสรรพคุณลูกพลับทางยายังมีดีกว่าเนื้อเสียอีก แต่ถึงอย่างไรเนื้อภายในที่หอมหวานก็มีคุณค่าทางสารอาหารช่วยให้สุขภาพดี และแข็งแรงหากรู้สัดส่วนวิธีการทาน และโทษบางประการหากนำไปทานไม่ถูกวิธี มาดูกันสิว่าลูกพลับจะมีคุณ และโทษอย่างไร
หัวข้อต่างๆ ของบทความนี้
ลูกพลับไทยและลักษณะต้นลูกพลับ
ลูกพลับ (Persimmon) ผลไม้ที่มีสีเหลืองไปจนถึงสีแดงโดยมีชื่อทางวิทยาศาสตร์ คือ Diospyros kaki L.f. (ญี่ปุ่น), Diospyros virginiana L. (ยุโรป) ซึ่งจัดอยู่ในวงศ์มะพลับ (EBENACEAE) ซึ่งต้นลูกพลับที่นิยมปลูกมากที่สุดในไทยคือ Diospyros kaki L.f. (ญี่ปุ่น) ต้นลูกพลับมีลักษณะเป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่สูงประมาณ 10 เมตร ใบคล้ายรูปหัวใจ ดอกสีเหลืองคล้ายระฆัง สำหรับผลจะมีอยู่หลายรูปทรงอาทิเช่น แบบกลม แบบกรวย หรือกลมแบน สำหรับผลอ่อนจะมีสีเขียว เมื่อผลสุกจะมีสีเหลือง ส่วนเนื้อมีส้ม แข็ง และมีเมล็ดภายใน
ลูกพลับ รสชาติเป็นอย่างไร
โดยทั่วไปสามารถแบ่งรสชาติของลูกพลับออกเป็น 2 รสชาติ คือ ลูกพลับหวาน และลูกพลับฝาด
- ลูกพลับหวาน (Non-astringent) เช่น สายพันธุ์ฟูยุ จะมีรสหวาน ผลสุกจะมีสีส้มอมเหลือง สามารถนำมารับประทานสดได้ทันที
- ลูกพลับฝาด (Astringent) เช่น พันธุ์ฮาชิยา พันธุ์ซิชู จะมีรสฝากเนื้อค่อนข้างนิ่ม ผลสุกจะมีส้มอมแดง สำหรับแบบฝาดจะต้องนำผลไปผ่านกระบวนการต่าง ๆ เพื่อแก้ความฝาดก่อนนำมารับประทาน
ซึ่งทั้ง 2 รสชาติก็ขึ้นอยู่กับลักษณะความชอบของผู้ที่รับประทานรวมไปถึงวิธีการต่าง ๆ เพื่อแก้ความฝาดซึ่งสามารถทำได้ไม่ยาก
ลูกพลับกินยังไง
เคล็ดไม่ลับกับวิธีปอกลูกพลับยังไงไม่ให้ฝาดก่อนนำไปรับประทานโดยมีวิธีการ ดังนี้
- เลือกลูกพลับที่ค่อนข้างมีสีส้มอมไปทางแดงเนื่องจากจะสุกกว่า หรืออาจจะนำมาบ่มด้วยแก็สภายโดยปิดปากถุงให้แน่นประมาณ 3 -4 วัน (บ่มในภาวะสุญญากาศ หรือใช้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์)
- นำลูกพลับที่บ่มจนสุกมาล้างทำความสะอาด จากนั้นให้นำมาผ่ากลาง และหั่นเป็น 4 ชิ้นในแต่ละครึ่ง
- จากนั้นนำมาปอกเปลือก แล้วลองนำมารับประทานหากยังติดรสฝาดให้นำไปแช่น้ำเกลือ และนำไปแช่ในตู้เย็นทิ้งไว้สักประมาณ 1 ชั่วโมง
สรรพคุณลูกพลับ
สำหรับคุณประโยชน์ และสรรพคุณลูกพลับ (Persimmon) ที่สำคัญเมื่อรับประทาน ได้แก่
- มีสารต้านอนุมูลอิสระที่ชื่อว่า ซีแซนทีน (Zeaxanthin) และลูทีน (Lutein) เช่นเดียวกับวอเตอร์เครส ซึ่งเป็นสารอาหารสำคัญที่ช่วยในการบำรุงสายตา รวมไปถึงยังมีสารอื่น ๆ ที่ช่วยลดริ้วรอย และเสริมภูมิคุ้มกัน
- ช่วยป้องกันโรคต้อกระจก ตาฟางหรือปัญหาอื่น ๆ เกี่ยวกับสายตา
- ช่วยในการแก้ไอ ระคายเคืองคอ ขับเสมหะ รวมถึงกำจัดพิษสุรา
- แก้อาการท้องเดิน บรรเทาอาการปวดท้องทั้งแบบปกติ และปวดประจำเดือนสำหรับสุภาพสตรี รวมไปถึงปัญหาระบบทางเดินอาหารอื่น ๆ
- มีส่วนช่วยในการบำรุงลำไส้ ปอด ม้าม และกระเพาะอาหาร
- ลดความเสี่ยงของอาการกระดูกพรุนด้วยสาร โพลีแซคคาไรด์ (Polysaccharide) ที่พบได้จากลูกพลับ
- แก้อาการปัสาวะอักเสบ แก้ริดสีดวง แก้ต่อมไทรอยด์บวม แก้อาการบิด และถ่ายเป็นเลือด
จึงเป็นสาเหตุว่าทำไมถึงควรทราบวิธีการรับประทานลูกพลับที่ถูกวิธีเพื่อให้รสชาติที่ดี ไม่ติดรสฝาดเพิ่มอรรถรสในการรับประทาน และได้รับคุณประโยชน์จากสารอาหารที่สำคัญได้อย่างครบถ้วน
ลูกพลับกินเปลือกได้ไหม
มีหลายคนตั้งคำถามว่าลูกพลับกินเปลือกได้ ไหม คำตอบคือ ได้ เนื่องจากพบว่าประโยชน์ของลูกพลับส่วนเปลือกมีสารสำคัญหลายชนิด
- Vitamin C ในส่วนเปลือกสูงกว่าเลมอนถึง 2 เท่าซึ่งมีประโยชน์ในการช่วยสร้างภูมิคุ้มกัน บรรเทาอาการเหนื่อยล้า ป้องกันเลือดออกตามไรฟัน ผิวพรรณดูสวยงาม ชุ่มชื้น ป้องกันการเกิดฝ้า และสิว เป็นหนึ่งในอาหารและวิตามินเสริมเพื่อความงาม
- Beta carotine ปริมาณเท่ากับฟักทองโดยเปลี่ยนเป็นวิตามิน A ทำให้มีส่วนช่วยในการมองเห็น สร้างภูมิคุ้มกัน และยังทำให้เล็บ ผม ผิวมีสุขภาพดี
- Potassium ช่วยในการลดความดันโลหิต ขจัดโซเดียม (Na) อันเป็นสาเหตุของอาการบวมน้ำในร่างกาย
- Pectin เส้นใยอาหารที่มีส่วนช่วยในการปรับสมดุลของลำไส้ รวมถึงช่วยดูดซับคลอเรสเตอรอลชนิดที่ไม่ดีของร่างกาย
- Tannin เป็นสารที่ได้จากรสฝาดซึ่งมีส่วนช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ และยังช่วยในแก้อาการเมาค้างได้อีกด้วย
ซึ่งก่อนจะนำเปลือกมารับประทานควรผ่านการล้างทำความสะอาดด้วยการแช่ในน้ำอุ่น 1-2 นาที หรือนำไปล้างด้วยเบกกิ้งโซดาโดยแช่ไว้ประมาณ 1 นาที ตามด้วยการล้างด้วยน้ำสะอาด และสามารถล้างด้วยน้ำส้มสายชูโดยการนำลูกพลับไปแช่ประมาณ 1 นาทีก่อนจะนำไปปอกเปลือกเพื่อช่วยในการกำจัดยาฆ่าแมลง และสารเคลือบผิว (Wax)
ลูกพลับ อ้วนไหม Pantip
ทราบหรือไม่ว่าประโยชน์ของลูกพลับนั้นมีส่วนช่วยในการลดความอยากของอาหารเนื่องจากลูกพลับเป็นผลไม้ที่ให้แคลอรี และไขมันต่ำ รวมถึงมีเส้นใยอาหาร (Fiber) สูงมากจึงเหมาะสำหรับสาว ๆ ที่มีความสนใจในการลดน้ำหนักเพราะทานลูกพลับแล้วไม่อ้วนอย่างแน่นอน แต่ทั้งนี้ลูกพลับ 1 ลูกจะให้พลังงานประมาณ 32 แคลอรีซึ่งถ้าเผลอทานเข้าไป 5 ผลต่อวันก็เท่ากับข้าวสวย 1 จาน ดังนั้นควรทานลูกพลับเพียงวันละ 1 – 2 ลูก อีกทั้งควรออกกำลังกายควบคู่ไปด้วยเพื่อผลลัพธ์ที่ดีต่อสุขภาพ
ลูกพลับ มะเร็ง
นอกจากลูกพลับประโยชน์จะช่วยในการลดน้ำหนักให้สาว ๆ มีหุ่นดีจนน่ามองแล้ว แต่ยังไม่หมดเพียงเท่านั้น ลูกพลับยังสามารถช่วยป้องกันโรคมะเร็ง (Cancer) ได้อีกด้วยโดยพบว่าสารประกอบฟีโนลิกในลูกพลับมีส่วนช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant) อีกทั้งวิตามิน C ที่สูงจะทำหน้าที่ในการยับยั้งเซลล์มะเร็งให้กระจายไปสู่ตำแหน่งต่าง ๆ ของร่างกายได้ช้าลงจึงช่วยชะลอการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งส่วนกระเพาะอาหาร ลำไส้ใหญ่ ตับอ่อน และต่อมลูกหมาก
โทษของลูกพลับ
ประโยชน์ลูกพลับช่วยในการรักษาโรค และอาการต่าง ๆ ได้มากมายแต่กรมอนามัยได้ออกมาเตือนถึงผู้ที่ชอบรับประทานลูกพลับว่าไม่ควรรับประทานลูกพลับขณะที่ท้องว่างเนื่องจากเป็นช่วงที่กระเพาะอาหารหลั่งน้ำย่อยออกมาเป็นจำนวนมากซึ่งหากไปรวมตัวกับสารแขวนลอย หรือยางของลูกพลับจะทำให้ผู้ทานรู้สึกคลื่นไส้ และระคายเคืองกระเพาะอาหาร รวมไปถึงควรระวังสารซัคคาริน (Saccharin) และสารโซเดียมไซคลาเมต (Sodium Cyclamate) ซึ่งเป็นสารให้ความหวานทดแทนที่พบได้ในลูกพลับสายพันธุ์หวานเพราะอาจจะเพิ่มระดับน้ำตาลในเลือดให้มีปริมาณสูงขึ้น และไม่ควรรับประทานลูกพลับหลังจากรับประทานอาหารประเภทโปรตีนจากอาหารทะเลเช่น กุ้ง หมึก หอยเนื่องจากกรดแทนนิกไปจับตัวกับโปรตีนจากอาหารทะเลจะทำให้รู้สึกคลื่นไส้ อาเจียน หรือท้องเสียได้
จบลงไปแล้วกับลูกพลับผลไม้รสหวานแต่บางชนิดก็มาพร้อมความฝาดที่มีประโยชน์ของสารสำคัญอย่างแทนนิน และสารอื่น ๆ สรรพคุณของลูกพลับถือเป็นตัวช่วยที่ดีในการปรับสมดุล บำรุงผิวพรรณ ต่อต้านสารอนุมูลอิสระอันเป็นสาเหตุของโรคมะเร็งซึ่งสามารถนำผลไปรับประทานได้ทั้งลูกรวมถึงเปลือกจึงควรระมัดระวังถึงปริมาณหากรับประทานมากเกินไปก็อาจก่อให้เกิดอันตราย และส่งผลข้างเคียงต่อร่างกาย ดังนั้นเพื่อสุขภาพที่ดีควรรับประทานในปริมาณที่เหมาะสม และทานสลับกับผลไม้อื่น ๆ เพื่อช่วยเพิ่มคุณค่าของสารอาหาร และเป็นไปตามโภชนาการที่ควรได้รับในแต่ละวัน
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook, Medthai, kamonchanok, thairath