การขายของออนไลน์กลายเป็นอาชีพเสริมที่บ้าน และหลาย ๆ คนก็สามารถยึดเป็นอาชีพหลักจนประสบความสำเร็จในธุรกิจสายนี้มากมาย ยิ่งมีผู้ขายของออนไลน์เป็นจำนวนมาก ก็ยิ่งเหมือนการมีผู้ลงแข่งในสนามนี้มากขึ้น การจะได้ชัยชนะก็ยากขึ้นไปอีกขั้น แต่กลเม็ดเคล็ดลับที่สำคัญส่วนหนึ่งมาจากการเลือกสินค้าที่จะขาย วันนี้เรามาแนะนำของน่าขายบนออนไลน์ จะขายของออนไลน์อะไรดี ไปดูกันเลย
หัวข้อต่างๆ ของบทความนี้
วิธีเลือกสินค้าขายบนออนไลน์
1. เลือกสินค้าที่เราเป็นผู้เชี่ยวชาญ หรือเป็นต้นตำรับ
สำหรับคนที่ที่บ้านมีสินค้าอยู่แล้ว แต่เคยขายอยู่ในช่องทางอื่น ๆ หรือขาย Offline มาก่อน หากมีคำถามว่าขายของออนไลน์อะไรดี อยากขายของออนไลน์ แต่ไม่รู้จะขายอะไรดี ก็ให้ลองนำสินค้าของที่บ้านมาขายออนไลน์ หรือหากมีสินค้าที่เราเป็นต้นตำรับ เช่น น้ำพริกแห้ง ขนมเปี๊ยะ ฯลฯ ถือเป็นสินค้าที่ลูกค้าจะเลือกซื้อเพราะความอร่อยเฉพาะตัวของเรา และรสชาติไม่ซ้ำเจ้าอื่นแน่นอน
2. เลือกสินค้าที่เรามีความสนใจ
คนเราจะทำได้ดีในสิ่งที่ตัวเองชอบ หากวันนี้เราไม่รู้จะขายของออนไลน์อะไรดี เห็นเพื่อนขายก็อยากลองขายบ้าง ให้เราลองดูว่าตัวเองสนใจอะไร เช่น เป็นคนชอบแต่งตัว ก็ขายเสื้อผ้า เป็นคนชอบทำอาหาร ก็ขายอาหาร เป็นคนเลี้ยงสัตว์ ก็ขายสินค้าสัตว์เลี้ยง ฯลฯ ก็อาจจะได้คำตอบที่ว่าอยากขายของออนไลน์ แต่ไม่รู้จะขายอะไรดี
3. เลือกสินค้าที่เป็นที่นิยม สินค้าขายดี
อีกหนึ่งวิธีในการเลือกของขายออนไลน์คือ การเข้าไปยัง Marketplace ต่าง ๆ อย่างการเข้าไปยังเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชั่นของ Shopee แล้วดูสินค้ายอดนิยม หรือสินค้าขายดีประจำสัปดาห์ แสดงให้เห็นว่าสินค้าเหล่านั้นเป็นสินค้าที่กำลังเป็นที่นิยม หากเรานำมาขายก็สามารถขายได้ง่ายกว่านั่นเอง
ขายสินค้าออนไลน์ สินค้ากลุ่มไหนขายดี แถมฟรีกลยุทธ์การตลาด
ถ้าคุณยังไม่รู้จะขายอะไรดี ลองเริ่มจากหมวดหมู่ของสินค้า หรือ กลุ่มสินค้า ที่กำลังฮิตติดกระแสอยู่ในขณะนี้ ก็จะช่วยทำให้คุณหาตัวสินค้าที่น่าขายและคุณชอบขายได้ดียิ่งขึ้น เรามีกลุ่มสินค้าขายดีในออนไลน์ที่น่าสนใจมาแนะนำ พร้อมด้วยคำแนะนำตัวอย่างในการดูบุคลิกและกำหนดเป้าหมายผู้ซื้อ ตลอดจนตัวอย่างกลยุทธ์ทางการตลาดสำหรับสินค้าขายดีในออนไลน์น่าขายแต่ละอย่าง:
1. ผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
- กลุ่มเป้าหมาย: ผู้บริโภคที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม กลุ่มคนที่สนใจสิ่งแวดล้อม รักษ์โลก
- บุคลิกของผู้ซื้อ: บุคคลที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม คนที่ต้องการลด carbon footprint ของตัวเอง
- กลยุทธ์การตลาด:
- ใช้การตลาดด้วยการสร้างเพจและเผยแพร่เนื้อหาเพื่อให้ความรู้แก่ผู้บริโภคเกี่ยวกับประโยชน์ด้านสิ่งแวดล้อมของผลิตภัณฑ์ของคุณ เน้นความยั่งยืน การรีไซเคิล และกระบวนการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น ผลิตภัณฑ์ของคุณจะช่วยแยกขยะหรือลดขยะได้อย่างไรบ้าง หรือ ผลิตภัณฑ์ของคุณมีการแปรรูปและขนส่งน้อยขนาดไหนเมื่อเทียบกับเจ้าอื่นทั่วไปในตลาด
- ใช้ประโยชน์จากแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียเพื่อมีส่วนร่วมกับชุมชนที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมและอินฟลูเอ็นเซอร์ที่สามารถโปรโมตแบรนด์ของคุณได้ เช่น ไปร่วมแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับโพสต์ข่าวหรือความรู้เกี่ยวกับการรักษาสิ่งแวดล้อม หรือส่งสินค้าทดลองให้อินฟลูเอ็นเซอร์ที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมทดลองใช้
2. อุปกรณ์สมาร์ทโฮม อุปกรณ์อัจฉริยะ
- กลุ่มเป้าหมาย: เจ้าของบ้านที่เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี คนที่มองหาความสะดวกสบาย เน้นกลุ่มเป้าหมายที่ค่อนข้างเป็นวัยรุ่นถึงวัยทำงาน
- บุคลิกของผู้ซื้อ: ผู้ที่ใช้เทคโนโลยีในช่วงแรกๆ มืออาชีพที่มีงานยุ่งที่กำลังมองหาระบบอัตโนมัติในบ้าน
- กลยุทธ์การตลาด:
- ใช้การตลาดแบบอินฟลูเอนเซอร์โดยร่วมมือกับอินฟลูเอนเซอร์และยูทูปเบอร์ด้านเทคโนโลยี เพื่อรีวิวและคอมเม้นต์ผลิตภัณฑ์สมาร์ทโฮมของคุณ
- ใช้การโฆษณาบนโซเชียลมีเดียอย่างการยิงแอดโฆษณาเพื่อกำหนดเป้าหมายกลุ่มประชากรเฉพาะที่สนใจระบบอัตโนมัติในบ้าน
- เขียนแคปชั่นเน้นถึงคุณสมบัติที่ช่วยประหยัดเวลาและประหยัดพลังงานของผลิตภัณฑ์ของคุณ
3. ผลิตภัณฑ์ฟิตเนสและสุขภาพ
- กลุ่มเป้าหมาย: คนที่ใส่ใจสุขภาพ ผู้ที่ชื่นชอบการออกกำลังกาย
- บุคลิกของผู้ซื้อ: เป็นคนที่ชื่นชอบการออกกำลังกาย ผู้ที่สนใจออกกำลังกายที่บ้าน คนที่สนใจดูแลสุขภาพและรูปร่างของตัวเอง
- กลยุทธ์การตลาด:
- ใช้ประโยชน์จากแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย โดยเฉพาะ Instagram และ YouTube เพื่อแสดงผลิตภัณฑ์ฟิตเนสของคุณ
- ทำงานร่วมกับอินฟลูเอนเซอร์และผู้ฝึกสอนด้านการออกกำลังกายเพื่อสร้างเนื้อหาเกี่ยวกับการออกกำลังกายหรือใช้ชีวิตด้วยผลิตภัณฑ์ของคุณอย่างน่าสนใจ
- เก็บข้อมูลชื่อและการติดต่ออย่างเบอร์และอีเมลล์ของผู้ที่มาซื้อเพื่อแลกกับส่วนลด 5% หรือ รับของแถม หรือ สิทธิประโยน์อื่นๆในอนาคตของสมาชิกเช่นส่วนลดพิเศษ
- ใช้แคมเปญการตลาดโดยการส่งอีเมลเพื่อโปรโมตผลิตภัณฑ์ใหม่กับกลุ่มลูกค้าที่ผ่านมา แบ่งปันเคล็ดลับการออกกำลังกาย เตือนถึงสิทธิพิเศษของสมาชิกเช่น ส่วนลดหรือการซื้อก่อน
4. สินค้า customize หรือ personalize เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว
- กลุ่มเป้าหมาย: นักช้อปของขวัญ บุคคลที่กำลังมองหาผลิตภัณฑ์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
- บุคลิกของผู้ซื้อ: ผู้ให้ของขวัญที่รอบคอบ ผู้คนที่เฉลิมฉลองในโอกาสพิเศษ
- กลยุทธ์การตลาด:
- ใช้การโฆษณาบนโซเชียลมีเดียเพื่อกำหนดเป้าหมายกลุ่มประชากรเฉพาะในช่วงเทศกาลมอบของขวัญ
- ใช้รูปตัวอย่างหรือบอกให้คนดูลองเขียนหรือออกแบบส่วนหนึ่งของของขวัญด้วยตัวเองโดยใช้เทคโนโลยี
- เปิดไลฟ์สตรีมเพื่อแสดงให้เห็นว่าชื่อจะถูกสลักลงบนของได้อย่างไร หรือ ทดลองออกแบบตามคำสั่งที่ได้รับตามคำขอในไลฟ์
- อธิบายเน้นคุณค่าทางอารมณ์และความรู้สึกของสินค้าส่วนบุคคลในข้อความทางการตลาดของคุณ เช่น สินค้าแฮนด์เมดนี้ที่สลักชื่อของคุณกับแฟนของคุณจะไม่เหมือนใคร และความไม่ซ้ำก็คือความพิเศษ
5. อุปกรณ์เสริมสำหรับการทำงานระยะไกล (work from home)
- กลุ่มเป้าหมาย: คนทำงานระยะไกล มืออาชีพที่ทำงานจากที่บ้าน work from home หรือ work from anywhere
- ลักษณะของผู้ซื้อ: ฟรีแลนซ์ที่อยู่ห่างไกล พนักงานในองค์กรที่ปรับตัวเข้ากับยุดหลังโควิดแล้ว
- กลยุทธ์การตลาด:
- ใช้แคมเปญการตลาดผ่านอีเมลเพื่อเข้าถึงมืออาชีพที่อาจได้รับประโยชน์จากอุปกรณ์เสริมเทคโนโลยีของคุณ เช่น อีเมลล์ฟรีแลนซ์ที่โพสต์รับงานอยู่บนเว็บไซต์ประกาศงาน
- อีเมลล์หาฝ่ายบุคคลของบริษัทที่คุณรู้ว่ามีการให้พนักงาน work from home เป็นส่วนใหญ่ของกลุ่มพนักงาน และเข้าไปเสนอส่วนลดหรือสิทธิพิเศษให้กับพนักงานต่อบริษัทของพวกเค้า
- ทำงานร่วมกับผู้มีอิทธิพลทางธุรกิจและประสิทธิภาพการทำงานเพื่อโปรโมตผลิตภัณฑ์ของคุณ
- บอกเน้นคุณสมบัติตามหลักสรีรศาสตร์ (ergonomics) บอกว่าผลิคภัณฑ์นี้จะปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานรวมถึงสุขภาพของคนใช้ได้อย่างไร สินค้าจะเพิ่มความสะดวกสบายเวลาทำงานที่บ้านหรือทำงานที่อื่นอย่างไร
อย่าลืมวิเคราะห์แนวโน้มของตลาดอย่างต่อเนื่อง เพราะคุณควรจะขายในสิ่งที่มีคนสนใจและเกี่ยวกับเรื่องที่คนให้ความสำคัญในชีวิต ปรับกลยุทธ์ทางการตลาดตามความคิดเห็นของลูกค้า และมีความยืดหยุ่นในการปรับการนำเสนอผลิตภัณฑ์ให้ตรงกับความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป ส่วนถ้าเลือกกลุ่มได้แล้ว แต่ยังไม่รู้จะขายสินค้าอะไร แล้ว ลงทุนขายอะไรดีออนไลน์ หรือสงสัยว่ากลยุทธ์การวิจัยตลาดทำอย่างไร เราจะไปกันต่อที่ส่วนถัดไปของบทความ
ขายของออนไลน์อะไรดี
นอกจากการเลือกสินค้าจากวิธีการ 3 ข้อ และ 5 กลุ่มสินค้าอินเทรนด์น่าขายด้านบนแล้ว เรามีสินค้าขายออนไลน์ที่น่าสนใจมาแนะนำ ดังนี้
- เสื้อผ้าแฟชั่นผู้หญิง: ขึ้นชื่อว่าเป็นสินค้าแฟชั่น ย่อมเป็นสินค้าที่มีการซื้อใหม่อยู่เรื่อย ๆ หากเราเป็นคนที่ชื่นชอบแฟชั่นและการแต่งกายอยู่แล้ว ก็จะรู้ได้เลยว่าสินค้าตัวไหนกำลังมาแรง โดยเฉพาะแฟชั่นผู้หญิงที่ขายได้ง่ายกว่าเสื้อผ้าผู้ชาย หรือหากอยากขายสินค้าที่ซื้อง่าย ขายได้ตลอด ก็แนะนำเป็นสินค้าแฟชั่นอย่าง เสื้อยืดสีพื้น ถุงเท้า ฯลฯ
- เครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้า: เป็นอีกหนึ่งสินค้าขายออนไลน์ที่สามารถขายได้ตลอด ทั้งเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้า ส่วนใหญ่จะเป็นสินค้าที่ต้องซื้อซ้ำอีกด้วย
- อาหารออร์แกนิค: ทุกคนต่างก็รู้ว่าโลกนี้มีปัญหาเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม โดยเป็นปัญหาสะสมจากหลายอย่างที่มนุษย์ทำกันมาทั้งด้วยการใช้สารเคมี สร้างมลพิษ ดังนั้นสินค้าออร์แกนิคจึงจะเป็นที่ต้องการของกลุ่มคนที่ใส่ใจสุขภาพทั้งของคนสัตว์และสิ่งแวดล้อม ลองหาแหล่งขาย ผัก ข้าว หรือ ไข่ ออร์แกนิค ส่งตรงพรีออเดอร์ได้จากฟาร์ม นำมาขายออนไลน์ดู
- เครื่องทำความเย็น: ไม่ว่าจะเป็นพัดลมตั้งพื้น พัดลมตั้งโต๊ะ หรือพัดลมไอเย็น สินค้าเหล่านี้ล้วนเป็นสินค้าที่มีเหมาะกับสภาพอากาศบ้านเรา ไม่เฉพาะหน้าร้อนเท่านั้น แต่สามารถซื้อได้ทุกฤดูของเมืองไทย
- อาหารสัตว์เลี้ยง: ผู้เลี้ยงสัตว์มักจะตัดสินใจซื้อสินค้าที่เกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงรวดเร็วกว่าการเลือกซื้อของของตัวเองเสมอ อาหารสัตว์ไม่ว่าจะเป็น อาหารแมว อาหารสุนัข อาหารสัตว์ฟันแทะ หรือจะเป็นอาหารสัตว์ทะเล เป็นสินค้าที่สามารถขายได้ตลอดเวลา เป็นสินค้าซื้อซ้ำ อย่างน้อยเดือน – 2 เดือนต่อครั้ง
- อุปกรณ์โทรศัพท์: อัตราการใช้งานโทรศัพท์มือถือมากขึ้นเรื่อย ๆ บางคนมีมากกว่า 1 เครื่อง หรือมีสมาร์ตโฟน และแท็บแล็ตอย่างละ 1 เครื่อง ทำให้เป็นที่มาของความต้องการสินค้ากลุ่มอุปกรณ์เสริม ไม่ว่าจะเป็นเคสโทรศัพท์ ฟิล์มติดหน้าจอ เคสไอแพด หูฟัง สายชาร์จ ฯลฯ
- หน้ากากและเจลแอลกอฮอล์: อย่างที่ทุกคนรู้ว่า โลกเปลี่ยนไปตั้งแต่ปี 2018-2019 คือวิกฤตเรื่องโรคระบาดโควิด-19นั่นเองที่ทำให้ผู้คนต่างมองหาอุปกรณ์ป้องกันตัวเองจากไวรัสมากขึ้นอย่างมาก ทำให้สินค้าไม่ว่าจะเป็นหน้ากากอนามัย เจลแอลกอฮอล์ และน้ำยาล้างมือ เป็นที่ต้องการของตลาดอย่างมาก และคนไทยหลายคนก็ยังเลือกที่จะใส่หน้ากากต่อไป ใครที่ยังไม่รู้จะขายของออนไลน์อะไรดี ลองเลือกสินค้ากลุ่มนี้มาเริ่มขายก็ได้เช่นกัน
ช่องทางการขายของออนไลน์
เมื่อรู้แล้วว่าอยากขายออนไลน์เป็นสินค้าอะไร ทีนี้เราก็ต้องมาเตรียมการขายว่าจะขายในแพลตฟอร์มไหนบ้าง ซึ่งในแต่ละแพลตฟอร์มก็มีกลุ่มเป้าหมายลูกค้าที่แตกต่างกันออกไป จะขายของออนไลน์ที่ไหนได้บ้าง มาดูกัน
1. Shopee
แพลตฟอร์มอีคอมเมิซอย่าง Shopee ถือว่าเป็นอีกหนึ่งที่ขายของออนไลน์อันดับต้น ๆ เลยก็ว่าได้ ขายอะไรดีใน Shopee ให้ปัง ๆ บอกเลยว่าขึ้นอยู่กบสินค้าของคุณ หากเลือกสินค้าได้ตรงตามตลาด จะทำให้เป็นสินค้าขายดี Shopee ยิ่งมีกำไรเพิ่มพูนเลยล่ะ วิธีการเปิดร้านในชอปปี้ก็ไม่ยากเลย แถมยังมีฝ่ายซัพพอร์ตลูกค้าคอยตอบคำถามของคุณอีกด้วย
2. เพจ Facebook
เรียกได้ว่าเป็นแพลตฟอร์มยอดนิยมในการขายของออนไลน์เลยก็ว่าได้ กลุ่มลูกค้ามีหลากหลาย และยังสามารถยิงโฆษณา (Facebook Ad) ตามกลุ่มเป้าหมายลูกค้าได้หลายกลุ่ม อีกทั้งจำนวนคนเล่น Facebook นั้นก็มีหลายล้านคน การขายของออนไลน์ใน Facebook จึงตอบโจทย์มาก
3. Instagram
การขายในอินสตราแกรมนั้นคุรอาจจะต้องมีทักษะการถ่ายรูป คุมโทนรูปซักหน่อย เพราะสมัยนี้หากไอจีไหนสวย มีเอกลักษณ์จะเป็นการส่งเสริมความน่าซื้อของสินค้านั้นไปด้วย หรือใครอยากจะขายควบคู่ไปกับ facebook ก็สามารถทำได้ เพราะเค้ามีให้เชื่อม Account แล้ว
วิธีเช็กความต้องการของสินค้านั้น ๆ บนออนไลน์
เราสามารถเช็กความต้องการของสินค้าที่เรากำลังสนใจจะนำมาขายออนไลน์ด้วยเครื่องมือของ Google ที่เปิดให้ใช้งานฟรีอย่าง Google Trend โดยการใส่ชื่อสินค้านั้นลงไปในช่องค้นหา แล้วเลือกระยะเวลาการแสดงผลย้อนหลังได้ถึงปี ค.ศ. 2004 (แนะนำให้เลือก 12 เดือน) กราฟที่ได้จะแสดงจำนวนการค้นหาคำ ๆ นั้นบน Google ในช่วงระยะเวลาต่าง ๆ เราก็จะเห็นแนวโน้มคร่าว ๆ ว่าคนบนโลกออนไลน์ยังมีความสนใจในสินค้านั้นหรือไม่
1. เทรนด์แนวโน้มเพิ่มขึ้น
2. เทรนด์แนวโน้มลดลง
การจะขายของออนไลน์ให้ประสบความสำเร็จ นอกจากการเลือกว่าจะขายของออนไลน์อะไรดีแล้ว ยังมีปัจจัยอื่นอีกมากมาย ทั้งการเลือกกลุ่มลูกค้า การโปรโมตหรือการทำการตลาดและรวมถึงบริการ นอกจากนี้ตัวสินค้าที่เราเลือกมาขายเอง ก็ต้องเป็นสินค้าที่มีคุณภาพ รูปภาพชัดเจน รายละเอียดเข้าใจง่าย ไม่สับสน และถูกต้อง รวมไปถึงช่องทางในการชำระเงินสะดวกสบายต่อลูกค้า เพื่อให้เกิดการซื้อง่ายที่สุด วิธีขายของออนไลน์ที่สำคัญคือเราจะต้องมองในมุมของผู้ซื้อให้มาก หากเราทำได้ ลูกค้าก็จะเลือกซื้อสินค้าของเรานั่นเอง