ณ เวลานี้หากใครกำลังมองหาลำโพงฟังเพลงเสียงดี ๆ สักตัว หรือใครที่ชื่นชอบการฟังเสียงดนตรีเป็นชีวิตจิตใจ ก็น่าจะเคยได้ยินลำโพงจากแบรนด์ Marshall มาก่อน แค่เพียงเอ่ยชื่อก็รู้แล้วว่าเป็นยี่ห้อลำโพงที่ได้รับความนิยมกันอย่างมาก ถือได้ว่าเป็นแบรนด์เครื่องเสียงระดับสูงเลยก็ว่าได้ ด้วยคุณภาพเสียงที่เป็นเอกลักษณ์อย่างโดดเด่น มีเสียงเบสที่แน่น และเสียงกีต้าร์ที่โดนใจเหล่าคอเพลง และสามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งปัจจุบันมีผู้คนมากมายที่หันมาเลือกใช้ลำโพง Marshall เนื่องจากทางแบรนด์ได้ดีไซน์ลำโพงออกมาสวยเตะตาเตะใจ! ทำให้เราสามารถเลือกใช้ให้เหมาะกับความต้องการของแต่ละคนได้ ไม่ว่าจะใช้ฟังเพลง ทำกิจกรรม หรือดูหนัง ก็สามารถที่จะตอบโจทย์ความต้องการได้ในแต่ละไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างกันออกไป ถ้าพร้อมแล้วก็ไปปักลำโพง Marshall รุ่นไหนดี 2023 กันได้เลย!
หัวข้อต่างๆ ของบทความนี้
รู้จัก Marshall แบรนด์ตำนานของวงการดนตรี
ก่อนที่เราจะไปดูว่าลำโพง Marshall มีกี่รุ่น หรือเราควรเลือกลำโพงมาแชล รุ่นไหนดี เราจะพามาเจาะลึกกันว่าทำไมลำโพง Marshall ถึงได้รับความนิยมกันนักกันหนา ไปดูกัน! เกริ่นก่อนว่ามาแชลเป็นแบรนด์ที่มาจากสัญชาติอังกฤษ ที่ก่อตั้งมาอย่างยาวนานกว่า 50 ปีแล้ว และได้เป็นที่ยอมรับแห่งวงการดนตรีกันมาอย่างยาวนาน และมีดีไซน์ที่ยังคงความคลาสสิคโดยเน้นงานเป็นแนววินเทจ ถือว่าถูกใจสุด ๆ และสาเหตุที่แบรนด์นี้ ได้รับความนิยมมาอย่างยาวนานนั่นก็คือ
- คุณภาพเสียงที่ดี : เนื่องจากสินค้าจากทาง Marshall ส่วนใหญ่ผลิตมาเพื่อใช้งานกับวงดนตรี คุณภาพในการดีไซน์จึงออกแบบมาเป็นอย่างดี จึงเป็นจุดเด่นที่ทำให้ใครหลายคนชื่นชอบเป็นอย่างมาก สามารถแยกเสียงดนตรีได้อย่างดีเยี่ยม มีเสียงที่นุ่ม แต่มีความหนักแน่น ถือเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของ Marshall
- ฟังก์ชันการใช้งานที่ทันสมัย และหลากหลาย : ด้วยคุณสมบัติอัจฉริยะ สามารถควบคุมผ่านมือถือและเชื่อมต่อได้หลากหลายเครื่อง รองรับการเชื่อมต่อแบบ Optical, Bluetooth, RCA, Aux และฟังก์ชั่นอื่น ๆ มีโหมดประหยัดพลังงานที่ช่วยถนอมแบตได้เป็นอย่างดี
- สวยงาม หรูหรา เรียบง่าย สไตล์วินเทจ : ใครที่เห็นเป็นต้องสะดุดตา ถูกออกแบบมาให้มีความสวยงาม หรูหรา มีความเรียบง่าย สีสันไม่ฉูดฉาด มีความคลาสสิคที่ผสมผสานกับความวินเทจได้อย่างลงตัว ไม่เพียงแต่แค่คุณภาพเสียงที่ดี คุณยังสามารถมีลำโพง Marshall ไว้ประดับบ้านได้อีกด้วย
- มีให้เลือกหลากหลายรุ่น : ถ้าจะถามว่าลำโพง Marshall มีกี่รุ่นอยากจะบอกเลยว่ามีหลากหลายมาก ๆ ทั้งหมดก็เพื่อรองรับการใช้งานลำโพงบลูทูธในทุกรูปแบบจึงมีหลายขนาดให้เลือก อย่างเช่น Marshall Acton, Marshall Stockwell, Marshall Kilburn, Marshall Stanmore, Marshall Woburn โดยแต่ละรุ่นจะให้คุณภาพเสียงที่แตกต่างกัน
แนะนำ 7 อันดับ ลำโพง Marshall รุ่นไหนดี 2023
1. Marshall Woburn II Bluetooth
ราคา 26,990 บาท
เป็นลำโพงที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นลำโพงที่ราวกับนักดนตรีผู้แข็งแกร่ง เป็นรุ่นลำโพง Marshall Home Speaker ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของซีรีย์นี้เลยก็ว่าได้ ให้เสียงที่ก้องกังวานเหมือนกับว่ากำลังฟังเสียงดนตรีสด ๆ มาพร้อมกับเสียงที่ดุดัน และทรงพลัง มีเสียงเบสที่หนักแน่น ถูกดีไซน์มาเพื่อเป็นลำโพงที่ให้เสียงในแบบเฉพาะของ Marshall เท่านั้น ถ้าใครที่กำลังมองหาลำโพง Marshall รุ่นไหนดีที่สามารถได้ยินเสียงแม้เราจะอยู่ไกล ต้องบอกเลยว่าตัวนี้คือตัวเด็ดเลย เพราะสามารถฟังเพลงได้ในระยะพื้นที่มากถึง 100 ตารางวา และทางแบรนด์บอกอีกด้วยว่าเจ้าตัว Marshall Woburn ll ถูกประกอบขึ้นมาอย่างละเอียดและประณีต มาพร้อมกับดีเทลแบบสุดคลาสสิค ด้วยตะแกรงครอบด้านหน้าลำโพงแบบ Salt & Pepper และโลโก้ตัวอักษรที่มีความเป็นเอกลักษณ์ประดับอยู่บนกรอบไม้ที่แข็งแรง นอกจากจะมีโลโก้ประดับที่ด้านหน้าของลำโพงแล้ว และยังมีดีเทลเล็ก ๆ แผ่นทองเหลืองสลักปี 1962 เป็นปีที่ก่อตั้งแบรนด์ขึ้นมานั่นเอง
คุณสมบัติ :
- ให้เสียงอันทรงพลัง : รุ่น Woburn II ให้เสียงที่มีโทนเสียงแหลมได้อย่างคมชัด เสียงเบสที่หนักแน่น
- เชื่อมต่ออย่างไร้สายด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย : สามารถเพลิดเพลินไปกับเสียงเพลง โดยไร้การรบกวนด้วยเทคโนโลยี bluetooth 5.0 และ aptX เทคโนโลยีที่จะให้เสียงเพลงแบบไร้สาย ในระยะไกลสุดโดยที่ยังเชื่อมต่อได้อยู่ไกลถึง 10 เมตร สามารถที่จะเชื่อมต่อได้ทั้งสมาร์ทโฟน, แท็บเล็ต, คอมพิวเตอร์
- ปรับแต่งเสียงได้ตามใจคุณ : เพียงแค่คุณมีแอพพลิเคชั่น Marshall Bluetooth หรือจะปรับแต่งเสียงตรงที่ลูกบิดบนแผงควบคุมที่อยู่ด้านบนตัวลำโพง สามารถปรับได้ทั้งระดับความดัง โทนเสียงแหลมและเสียงเบส
- ฟังก์ชันการใช้งานแบบ Multi-host : ลำโพงรุ่นนี้มีฟังก์ชันการใช้งานแบบ Multi-host ให้คุณสามารถเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ที่มี Bluetooth ได้ 2 เครื่องพร้อมกัน และยังสามารถสลับเปลี่ยนอุปกรณ์ได้อย่างง่ายดายอีกด้วย สามารถที่จะให้คุณและเพื่อนของคุณได้สลับกันฟังตามสไตล์ของแต่ละคนได้ทันที
รายละเอียด :
- ขนาด 400 x 310 x 200 มิลลิเมตร
- น้ำหนัก 8.55 กิโลกรัม
- ลำโพงซับวูฟเฟอร์ขนาด 5.25 นิ้ว
- สเปครองรับความถี่เสียงที่ 30 – 20,000 Hz
- กำลังขับเสียงทั้งหมด 130 วัตต์
- เหมาะกับห้องที่มีพื้นที่ขนาด 100 ตารางวา
2. Marshall Stanmore II Bluetooth Black
ราคา 17,990 บาท
มาต่อกันกับลำโพงรุ่นกลางที่อยู่ในซีรีย์ Marshall Home Speaker อีกตัวอย่าง Stanmore ll Buletooth มีขนาดกลางรองลงมาจาก รุ่น Marshall Woburn II Bluetooth ซึ่งมีคุณสมบัติคล้าย ๆ กัน และเจ้าตัวเป็นลำโพงที่ถูกกล่าวขานว่าเป็นตำนานในทุก ๆ ด้านจากลำโพงของ Marshall ทุกรุ่น โดยลำโพงรุ่นนี้ให้เสียงคุณภาพสูงที่มีรายละเอียดครบครันตามแบบฉบับของ Marshall ให้เสียงที่คมชัดและเคลียร์ใสในระดับที่สูงที่สุด ทางเราขอกระซิบว่าข้อควรระวังคือในรุ่นนี้ไม่มีแบตเตอรี่ภายในตัว ทำให้ต้องเสียบปลั๊กไฟตลอดการใช้งาน
คุณสมบัติ :
- ให้เสียงอันทรงพลัง : ให้เสียงที่คมชัดและเคลียร์ใสในระดับที่สูงที่สุด โดยที่ห้องลำโพงทำจากไม้ทำให้ได้เสียงที่อบอุ่น และเป็นธรรมชาติ ระบบสะท้อนเสียงเบสที่มีพอร์ตช่วยเพิ่มประสิทธิภาพแม้เป็นเสียงความถี่ต่ำ
- เชื่อมต่ออย่างไร้สายด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย : ด้วยเทคโนโลยี Bluetooth 5.0 และ aptX เทคโนโลยีที่จะให้เสียงเพลงแบบไร้สาย ไม่ทำให้เสียงขาดหาย ได้ในระยะไกลสุดโดยที่ยังเชื่อมต่อได้อยู่ถึง 30 ฟุต
- ฟังก์ชันการใช้งานแบบ Multi-host : ลำโพงรุ่นนี้มีฟังก์ชันการใช้งานแบบ Multi-host ให้คุณสามารถเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ที่มี Bluetooth ได้ 2 เครื่องพร้อมกัน และยังสามารถสลับเปลี่ยนอุปกรณ์ได้อย่างง่ายดายอีกด้วย สามารถที่จะให้คุณและเพื่อนของคุณได้สลับกันฟังตามสไตล์ของแต่ละคนได้ทันที
รายละเอียด :
- ขนาด 350 x 195 x 185 มิลลิเมตร
- น้ำหนัก 4.65 กิโลกรัม
- สเปครองรับความถี่เสียงที่ 50 – 20,000 Hz
- กำลังขับเสียงทั้งหมด 80 วัตต์
- เหมาะกับการใช้งานในห้องที่มีขนาด 50 ตารางวา
3. Marshall Stockwell II
ราคา 8,990 บาท
ต่อกันเลยกับลำดับที่ 3 เป็นอีกหนึ่งลำโพงที่ควรมีติดตัวไว้เลยเพราะ ลำโพงพกพารุ่นนี้ถูกสร้างมาเพื่อเป็นเพื่อนรักนักเดินทางโดยเฉพาะ ซึ่งอยู่ในซีรีย์ Portable Speaker มาพร้อมจุดเด่นที่ตอบโจทย์การใช้งานพกพา ด้วยการออกแบบที่สะท้อนถึงความคลาสสิคแห่งยุค Rock ‘n’ Roll, Stockwell II ใช้ตะแกรงด้านหน้าที่ทำจากโลหะอย่างดี ซึ่งเป็นโลหะชนิดเดียวกับที่ใช้เป็นตะแกรงในไมโครโฟนจำนวนมาก และสายสำหรับหิ้วที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากกีตาร์ เลยทำให้สะดวกสบายต่อการพกพาไปในที่ต่าง ๆ มาก ถือได้ว่าปลอดภัยเหมาะแก่การเดินทางและภายนอกตัวลำโพงที่เป็นซิลิโคน ถือว่าเหมาะสำหรับคนที่กำลังมองหาลำโพง Marshall รุ่นไหนดีสุด!
คุณสมบัติ :
- ระบบเสียงรอบทิศทาง : ด้วยระบบ Blumlein Stereo Sound ที่จะทำให้คุณนั้นดื่นด่ำไปกับเสียงเพลงได้ทุกที่ มอบประสบการณ์เสียงรอบทิศทางไม่ว่าจะเป็นในหรือนอกบ้าน และลำโพงทวีตเตอร์ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ให้ได้เสียงอันทรงพลังและใสกังวาน ตัวลำโพงถูกสร้างมาพร้อมกับระบบสะท้อนเสียงเบส ซึ่งจะช่วยให้ได้เสียงเบสที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น และขยายช่วงคลื่นความถี่ของเสียง ในขณะเดียวกันก็ทำให้เสียงเพี้ยนลดลงอีกด้วย
- การออกแบบที่ทนทานและปลอดภัย : Stockwell II มีค่ามาตรฐานการกันน้ำอยู่ที่ระดับ IPX4 ลำโพงรุ่นนี้จึงมีความทนทานอย่างมาก ภายนอกนั้นถูกห่อหุ้มด้วยซิลิโคน มาพร้อมกับตะแกรงด้านหน้าที่ทำจากโลหะอย่างดี
- ระยะเวลาในการใช้งาน : Stockwell II สามารถใช้งานได้ต่อเนื่องเป็นเวลากว่า 20+ ชั่วโมงต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง ว่ากันว่าด้วยขนาดเล็กกะทัดรัดและสายหิ้วที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากกีตาร์ ทำให้เหมาะที่จะพกพาไปกับคุณในทุก ๆ ที่
- ชาร์จได้อย่างรวดเร็ว : มีความสามารถในการชาร์จได้อย่างรวดเร็ว ให้คุณสามารถออกจากบ้านได้ทันที เพียง 20 นาที ก็สามารถใช้งานได้ถึง 6 ชั่วโมง โดยแบตเตอรี่สามารถชาร์จได้เต็มภายในเวลาเพียง 5 ชั่วโมงเท่านั้น
รายละเอียด :
- ขนาด 180 x 161 x 70 มิลลิเมตร
- น้ำหนัก 1.38 กิโลกรัม
- สเปครองรับความถี่เสียงที่ 50 – 20,000 Hz
- กำลังขับเสียงทั้งหมด 20 วัตต์
- กันน้ำกระเซ็นที่มาตรฐาน IPX4
4.Marshall Emberton
ราคา 6,990 บาท
มาต่อกันกับลำโพงสายพกพาอีกตัวอย่าง Emberton เป็นลำโพงขนาดพกพาที่มาพร้อมกับเสียงดังกระหึ่มและกังวานใสในแบบฉบับที่ Marshall เท่านั้นที่จะมอบให้กับคุณได้ โดยใช้ True Stereophonic ซึ่งเป็นระบบการให้เสียงรอบทิศทางเอกลักษณ์เฉพาะของ Marshall ให้คุณได้สัมผัสประสบการณ์เสียง 360 องศา ที่จะทำให้ทุกพื้นที่ในบ้านของคุณเป็นพื้นที่ที่คุณสามารถดื่มด่ำกับเสียงเพลงได้เป็นอย่างดี
คุณสมบัติ :
- คุณภาพเสียงยอดเยี่ยมอันเป็นเอกลักษณ์ : ให้เสียงที่ทรงพลัง ใสกังวาน และดังกังวานราวกับว่ามีนักร้องมาร้องให้ฟังอยู๋ตรงหน้า
- ดีไซน์ที่ปลอดภัย : มีความแข็งแรงและทนทานระดับสูงและเรื่องดีไซน์ที่ใช้งานง่าย และค่ามาตรฐานการกันน้ำในระดับ IPX7
รายละเอียด :
- ขนาด 68 x 160 x 76 มิลลิเมตร
- น้ำหนัก 0.7 กิโลกรัม
- สเปครองรับความถี่เสียงที่ 60 – 20,000 Hz
- กำลังขับเสียงทั้งหมด 20 วัตต์
- กันน้ำกระเซ็นที่มาตรฐาน IPX7 (กันน้ำลึก 1 เมตรไม่เกิน 30 นาที)
- ให้เสียงรอบทิศทาง 360 องศา
5.Marshall Kilburn II
ราคา 5,699 บาท
ด้วยดีไซน์แบบแอมป์สุดคลาสสิคของเเบรนด์ Marshall ทำให้พกพาง่ายด้วยสายหนังหูหิ้วสวยแบบไม่อายใคร เหมาะกับผู้ที่มองหาลำโพงแบบพกพาคลาสสิคเท่ ๆ เสียงเบสนั้นแน่นลงได้ลึก เสียงแหลมกำลังดี ไม่จัดจนแสบหู มิติเสียงเป็นลักษณะที่ก้องกังวาน เครื่องดนตรีแยกชิ้นกันได้ดี โดยในรุ่นนี้มาพร้อมกับการที่แบรนด์นั้นปรับเปลี่ยนหลายจุดใหญ่ ๆ โดยอย่างแรกก็คือ เรื่องของแบตเตอรี่ ที่อัพเกรดให้ตอบโจทย์ลำโพงที่พกพาไปได้ทุก ๆ ที่มากกว่าเดิมกับการใช้งานต่อเนื่องยาวนานถึง 20+ ชั่วโมงกันเลย ทำให้หมดกังวลกันไปได้เลยว่าชาร์จเต็มแล้วจะอยู่ได้ไม่นาน เพราะรอบนี้จัดมาให้เต็ม ๆ
คุณสมบัติ :
- ระยะเวลาในการใช้งาน : แบตเตอรีใช้งานได้ต่อเนื่อง 20 ชั่วโมง พร้อมระบบชาร์จเร็วเพื่อการใช้งานที่ต่อเนื่อง
- ขับเสียงแบบ Multi-Direction
- ควบคุมง่ายด้วยระบบ Control Knob
รายละเอียด :
- ขนาด 243 × 162 × 140 มิลลิเมตร
- น้ำหนัก 2.5 กิโลกรัม
- สเปครองรับความถี่เสียงที่ 52 – 20,000 Hz
- กำลังขับเสียงทั้งหมด 36 วัตต์
- กันน้ำกระเซ็นที่มาตรฐาน IPX2
6. Marshall Major IV Bluetooth Brown
ราคา 5,490 บาท
เรามาเกินครึ่งทางกันแล้วกับลำโพง Marshall รุ่นไหนดี ซึ่งตัวต่อมาขอแนะนำให้รู้จักกับ Major IV หูฟังครอบหูสุดคลาสสิคของ Marshall ที่ถูกออกแบบมาห้คุณรู้สึกว่าสวมใส่ได้สบาย แม้ว่าคุณใส่มาแล้วในชั่วโมงที่ 10 ก็จะยังคงรู้สึกเหมือนกับชั่วโมงแรกที่ใส่ และฟองน้ำครอบหูของ Major IV ทำให้รู้สึกนุ่มยิ่งขึ้น และเข้ารูปกับหูมากยิ่งขึ้น ทำให้เป็นหูฟังที่สวมใส่สบายและใส่ได้ยาวนานยิ่งกว่าเดิม และมีเสียงที่ทรงพลังไม่ว่าจะใส่เล่นเกม หรือใส่เพื่อฟังเพลงก็ได้
คุณสมบัติ :
- เสียงอันเป็นเอกลักษณ์ : Major IV เพื่อระเบิดเสียงอันทรงพลัง ด้วยไดรเวอร์แบบปรับเสียงได้ dynamic driver ทำให้ได้เสียงเบสที่ดุดัน, เสียงย่านกลางนุ่มละมุน และเสียงปลายแหลมที่ชัดเจนมีมิติ ทำให้ออกมาเป็นเสียงที่เต็มไปด้วยรายละเอียดครบครัน
- รองรับการชาร์จแบบไร้สาย : ช่วยให้การชาร์จแบตในเวลาเร่งด่วนนั้นง่ายดายยิ่งขึ้น โดยวางหูฟังของคุณไว้บนแท่นชาร์จ
- ระยะเวลาในการใช้งาน : มีระยะเวลาการใช้งานแบบไร้สายที่ยาวนานถึง 80+ ชั่วโมง ด้วยแบตเตอรี่ที่สามารถใช้งานได้นานกว่า 2 วันเต็ม ๆ สามารถชาร์จได้อย่างรวดเร็ว ในการชาร์จเพียง 15 นาที สามารถใช้งานได้นานถึง 15 ชั่วโมง
- แบ่งปันเพลงที่คุณฟังได้ : Major IV ยังสามารถให้เพื่อนของคุณเชื่อมต่อสายหูฟังเข้ากับช่องเสียบนั้น แล้วเพลิดเพลินไปกับเสียงเพลงพร้อมกันกับคุณได้ ให้คุณได้แชร์เพลงของคุณให้เพื่อนฟังได้อย่างง่ายดายและรวดเร็ว
รายละเอียด :
- สายชาร์จ USB-C
- ออกแบบที่เข้ากับสรีระ และทนทาน
- ช่องเสียบขนาด 3.5 มิลลิเมตร
- ปุ่มควบคุมแบบหลายคำสั่งในปุ่มเดียว
7. Marshall Mode II
ราคา 5,990 บาท
มาที่ตัวสุดท้ายกันเลยอย่างหูฟังไร้สาย Marshall Mode ll หูฟังไร้สายที่เกิดมาเพื่อให้เสียงดังกระหึ่ม เป็นหูฟังอินเอียร์ไร้สายในแบบหูฟัง True Wireless รุ่นแรกของ Marshall ถูกดีไซน์ขึ้นมาเพื่อเพื่อให้คุณได้สัมผัสประสบการณ์ฟังเสียงที่ดังก้องกังวาน เสียงทรงพลังอันเป็นเอกลักษณ์โดย มีไดรเวอร์ขับเสียง Custom-Tuned Dynamic Drivers ช่วยให้ผู้ฟังได้สัมผัส การฟังเพลงในแบบที่เสียงมีรายละเอียดชัดเจน โดยมีเสียงเบสที่หนักแน่น เสียงกลางที่เป็นธรรมชาติ และเสียงแหลมที่คมชัด ทำให้คุณได้สัมผัสกับประสบการณ์ราวกับว่าคุณกำลังยืนอยู่หน้าเวทีคอนเสิร์ตแบบจริง ๆ
คุณสมบัติ :
- เสียงอันเป็นเอกลักษณ์ : มีไดรเวอร์ขับเสียง Custom-Tuned Dynamic Drivers ช่วยให้ผู้ฟังได้สัมผัสการฟังเพลงแบบเต็มอิ่ม เสียงเบสที่แน่น เสียงกลางที่เป็นธรรมชาติ และเสียงแหลมที่คมชัด
- เคสชาร์จไร้สาย : มาพร้อมกับเคสชาร์จไร้สายที่พกพาได้อย่างง่ายดาย สามารถที่จะพกใส่กระเป๋าสะพาย หรือจะกางเกงได้พอดี โดยที่เคสชาร์จไร้สายนี้สามารถชาร์จหูฟังได้ถึง 4 ครั้งเมื่อชาร์จแบตเตอรี่จนเต็ม และ มีไฟ LED แสดงระดับแบตเตอรี่ปัจจุบันของตัวเคสและจะแสดงเมื่อชาร์จแบตเตอรี่หูฟังจนเต็มแล้ว
- ระยะเวลาในการใช้งาน : คุณสามารถชาร์จแบตเตอรี่ให้ Mode II ได้มากถึง 4 ครั้ง ซึ่งทำให้สามารถใช้งานได้ยาวนานถึง 25 ชั่วโมงนั่นเอง จะเฉลี่ยได้ว่าสามารถใช้งานได้ยาวนาน 5 ชั่วโมงต่อการชาร์จ 1 ครั้ง
รายละเอียด :
- ออกแบบที่เข้ากับสรีระ และทนทาน
- มาตรฐานการกันน้ำในระดับ IPX4
ลำโพง Marshall รุ่นไหนดี 2023 ที่ควรมีไว้ฟังเพลงกันอย่างเพลิดเพลิน
เป็นยังไงกันบ้างจะเห็นได้ว่า ลำโพง Marshall รุ่นไหนดี 2023 แต่ละซีรีย์นั้นมีจุดเด่น จะเห็นได้ว่าแต่ละซีรีย์ แต่ละรุ่นนั้นมีความสามารถ และแนวเสียงที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน เราก็ควรที่จะเลือกตามความต้องการของเราว่าชอบเสียงแนวไหน และความเหมาะสมในการใช้งานว่าจะไปใช้งานแบบไหน บางคนก็มีเพื่อไว้ฟังเองคนเดียว หรือจะมีไว้เพื่อสามารถที่จะเปิดให้คนอื่นได้ฟังด้วยเวลาทำกิจกรรมต่าง ๆ ด้วยความที่ลำโพง Marshall มีราคาค่อนข้างสูง ใครมีงบก็จัดเลย! ด้วยเรื่องของคุณภาพแล้ว บอกเลยว่าคุ้มเกินคุ้ม! เราหวังว่าจะสามารถช่วยประกอบการตัดสินใจได้ง่ายขึ้นในการเลือกซื้อลำโพง Marshall กัน ครั้งต่อไปถ้ามีอะไรดี ๆ เราจะรีบเอามาแชร์ให้กับเพื่อน ๆ ทุกคนได้รู้กันเลย หรือใครที่อยากได้ซาวด์บาร์เพิ่มอีกก็สามารถเข้าไปอ่านบทความ Soundbar ยี่ห้อไหนดี ได้เลย
Credit:pixabay