เคยเป็นกันไหม? เวลาถึงรอบเช็คระยะรถยนต์ทีไร พอเดินเข้าไปในร้านขายอะไหล่หรือศูนย์บริการ แล้วเจอกับแผงน้ำมันเครื่องเรียงรายเต็มไปหมด ทั้งขวดสีทอง สีเงิน สีน้ำเงิน ราคาตั้งแต่หลักร้อยไปจนถึงหลักพัน ยิ่งอ่านฉลากก็ยิ่งงง โดยเฉพาะคำว่า “สังเคราะห์แท้” กับ “กึ่งสังเคราะห์” ที่ราคาต่างกันเกือบเท่าตัว ทำให้หลายคนเกิดคำถามในใจว่า แล้วตกลง น้ำมันเครื่องกึ่งสังเคราะห์ คืออะไรกันแน่? มันดีพอสำหรับรถลูกรักของเราไหม หรือต้องกัดฟันจ่ายแพงเพื่อซื้อสังเคราะห์แท้ไปเลย?
วันนี้ Shopee Blog จะมาไขข้อข้องใจให้เพื่อน ๆ ได้กระจ่างกันไปเลย เราจะมาเจาะลึกกันว่า น้ำมันเครื่องชนิดนี้มีดีอย่างไร เหมาะกับการใช้งานแบบไหน และทำไมถึงเป็นตัวเลือกยอดฮิตของคนใช้รถบ้านเรา พร้อมแนะนำรุ่นเด็ดที่หาซื้อได้ง่ายใน Shopee รับรองว่าอ่านจบแล้ว เพื่อน ๆ จะเลือกน้ำมันเครื่องได้โปรและคุ้มค่าที่สุดแน่นอน
หัวข้อต่างๆ ของบทความนี้
น้ำมันเครื่องกึ่งสังเคราะห์ คืออะไร?
น้ำมันเครื่องกึ่งสังเคราะห์ (Semi-Synthetic Oil) คือ ลูกผสมระหว่าง “น้ำมันแร่” (Mineral Oil) กับ “น้ำมันสังเคราะห์” (Synthetic Oil) นั่นเอง มันคือการนำข้อดีของทั้งสองโลกมารวมกัน เพื่อให้ได้น้ำมันเครื่องที่มีประสิทธิภาพดีกว่าน้ำมันแร่ธรรมดา แต่ราคาเข้าถึงง่ายกว่าน้ำมันสังเคราะห์แท้ 100%
ลองจินตนาการดูว่า น้ำมันเครื่องสังเคราะห์แท้เปรียบเสมือนกาแฟเกรดพรีเมียมที่คัดเมล็ดมาอย่างดี รสชาตินุ่มลึก แต่ราคาสูงลิ่ว ส่วนน้ำมันแร่เปรียบเหมือนกาแฟโบราณที่ราคาถูกแต่รสชาติอาจจะไม่ละมุนเท่า น้ำมันเครื่องกึ่งสังเคราะห์ก็คือ กาแฟเบลนด์สูตรพิเศษ ที่เอาความพรีเมียมมาผสมเพื่อให้ได้รสชาติที่ดีขึ้น ในราคาที่เพื่อน ๆ จ่ายได้สบายกระเป๋านั่นเอง
โดยปกติแล้ว อัตราส่วนผสมของน้ำมันเครื่องกึ่งสังเคราะห์ คือ การใช้น้ำมันแร่ (Mineral) เป็นฐานหลักประมาณ 70-80% และผสมน้ำมันสังเคราะห์ (Synthetic) เข้าไปประมาณ 10-30% (ขึ้นอยู่กับสูตรของแต่ละแบรนด์) การเติมส่วนผสมสังเคราะห์เข้าไปนี้ จะช่วยเพิ่มฟิล์มน้ำมันที่แข็งแรงขึ้น ทนความร้อนได้ดีขึ้น และช่วยชะล้างคราบเขม่าในเครื่องยนต์ได้ดีกว่าน้ำมันแร่เพียว ๆ หลายเท่าตัว จึงไม่แปลกใจที่มันกลายเป็นตัวเลือกยอดนิยมสำหรับรถยนต์ใช้งานทั่วไปในเมืองไทย
น้ำมันกึ่งสังเคราะห์ คืออะไร ต่างจากน้ำมันธรรมดายังไง?

เพื่อให้เห็นภาพชัดขึ้น เราต้องเข้าใจก่อนว่า น้ำมันเครื่องธรรมดา หรือน้ำมันแร่ (Mineral Oil) นั้น ได้มาจากการกลั่นน้ำมันดิบโดยตรง ซึ่งโมเลกุลของน้ำมันจะไม่ค่อยเป็นระเบียบ และมีความไม่บริสุทธิ์ปนอยู่ ทำให้เมื่อเจอกับความร้อนสูง ๆ หรือใช้งานหนัก ๆ น้ำมันจะเสื่อมสภาพเร็ว เกิดคราบยางเหนียวได้ง่าย
แต่เมื่อเราพูดถึงน้ำมันกึ่งสังเคราะห์ คือ การอัปเกรดประสิทธิภาพขึ้นมาอีกขั้น ด้วยการเติมสารสังเคราะห์เข้าไป ทำให้โครงสร้างโมเลกุลมีความเสถียรมากขึ้น ผลลัพธ์ที่ได้คือ
- ทนร้อนได้ดีกว่า ไม่ระเหยหายง่ายเหมือนน้ำมันธรรมดา
- หล่อลื่นได้ลื่นกว่า ช่วยลดแรงเสียดทานในเครื่องยนต์ได้ดีขึ้น ทำให้รถเร่งแซงได้ทันใจกว่า
- ยืดอายุการเปลี่ยนถ่าย จากปกติที่น้ำมันแร่อาจจะใช้ได้แค่ 3,000-5,000 กิโลเมตร แต่น้ำมันกึ่งสังเคราะห์สามารถลากยาวไปได้ถึง 5,000-7,000 กิโลเมตร หรือมากกว่านั้นในบางรุ่น
น้ำมันเครื่องสังเคราะห์ vs กึ่งสังเคราะห์ ต่างกันอย่างไร?
คำถามโลกแตกที่นักขับทุกคนต้องเจอคือ น้ำมันเครื่องสังเคราะห์ กับ กึ่งสังเคราะห์ ต่างกันอย่างไร และทำไมราคาถึงต่างกันขนาดนั้น? ถ้าจะเปรียบเทียบให้เห็นภาพชัดเจน เราต้องมาชำแหละกันทีละประเด็น ทั้งในเรื่องของส่วนผสม ประสิทธิภาพ และความคุ้มค่า
ความแตกต่างด้านส่วนผสม
- น้ำมันเครื่องสังเคราะห์แท้ (Fully Synthetic) ผลิตจากกระบวนการทางเคมีในห้องแล็บ 100% โมเลกุลของน้ำมันจะเรียงตัวกันอย่างเป็นระเบียบ สม่ำเสมอ ไม่มีสิ่งเจือปน
- น้ำมันเครื่องกึ่งสังเคราะห์ (Semi-Synthetic) อย่างที่เกริ่นไปข้างต้น มันคือการนำน้ำมันพื้นฐานธรรมชาติ (Mineral) มาผสมกับน้ำมันสังเคราะห์ ทำให้ความบริสุทธิ์และความสม่ำเสมอของโมเลกุลยังเป็นรองแบบสังเคราะห์แท้ 100%
ความทนทานต่อความร้อนและการปกป้องเครื่องยนต์
เรื่องนี้เป็นจุดตัดสินที่สำคัญ เมื่อเครื่องยนต์ทำงานหนัก หรือขับรถทางไกลต่อเนื่อง ความร้อนในห้องเครื่องจะสูงมาก
- สังเคราะห์แท้ ทนความร้อนได้สูงที่สุด ฟิล์มน้ำมันไม่ขาดง่าย ๆ แม้อุณหภูมิจะพุ่งสูงปรี๊ด เหมาะกับรถสมรรถนะสูง หรือคนที่ชอบขับรถรอบจัด
- กึ่งสังเคราะห์ ทนความร้อนได้ดีในระดับใช้งานทั่วไป ขับไปทำงาน ขับเที่ยวต่างจังหวัดบ้าง แต่ถ้าเอาไปซิ่งหนัก ๆ หรือรถติดโหด ๆ นาน ๆ ประสิทธิภาพอาจจะดรอปลงเร็วกว่าแบบสังเคราะห์แท้
ความหนืดและประสิทธิภาพการไหล
- สังเคราะห์แท้ มีค่าดัชนีความหนืด (Viscosity Index) ที่ดีเยี่ยม หมายความว่า ไม่ว่าจะอากาศหนาวจัดหรือร้อนจัด น้ำมันยังคงไหลเวียนไปหล่อเลี้ยงชิ้นส่วนต่าง ๆ ได้ทันทีที่สตาร์ทรถ (Cold Start Protection)
- กึ่งสังเคราะห์ ประสิทธิภาพการไหลเวียนดีกว่าน้ำมันธรรมดามาก แต่ในช่วงสตาร์ทเครื่องยนต์ตอนเช้า หรือช่วงที่เครื่องเย็น อาจจะใช้เวลาเสี้ยววินาทีนานกว่าสังเคราะห์แท้ในการวิ่งไปเคลือบลูกสูบ
รอบการใช้งาน / อายุการใช้งานของน้ำมัน
นี่คือสิ่งที่เพื่อน ๆ ต้องกาปฏิทินไว้เลย เพราะ น้ำมันเครื่องสังเคราะห์ กับ กึ่งสังเคราะห์ มีอายุขัยไม่เท่ากัน
- สังเคราะห์แท้ ใช้งานได้ยาวนานถึง 10,000 – 15,000 กิโลเมตร (หรือ 6 เดือน – 1 ปี)
- กึ่งสังเคราะห์ รอบการเปลี่ยนถ่ายจะอยู่ที่ประมาณ 5,000 – 7,000 กิโลเมตร (หรือ 4 – 6 เดือน)
ราคา: สังเคราะห์แท้ vs กึ่งสังเคราะห์
- สังเคราะห์แท้ ราคาสูงกว่าชัดเจน เริ่มต้นที่หลักพันต้น ๆ ไปจนถึงหลายพันบาท
- กึ่งสังเคราะห์ ราคาเป็นมิตรมาก เริ่มต้นเพียงหลักร้อย (400 – 800 บาท) ซึ่งเป็นจุดขายสำคัญที่ทำให้คนหันมาเลือกใช้เยอะที่สุด
ตารางเปรียบเทียบแบบเข้าใจง่าย
เพื่อให้เพื่อน ๆ เห็นภาพรวมชัดเจน เราสรุปความแตกต่างมาให้ในตารางนี้
| น้ำมันเครื่องธรรมดา (Mineral) | น้ำมันเครื่องกึ่งสังเคราะห์ (Semi-Synthetic) | น้ำมันเครื่องสังเคราะห์แท้ (Fully Synthetic) | |
|---|---|---|---|
| ส่วนประกอบหลัก | น้ำมันดิบกลั่น 100% | น้ำมันแร่ + สารสังเคราะห์ | สังเคราะห์ทางเคมี 100% |
| การปกป้องเครื่องยนต์ | พอใช้ | ดี | ดีเยี่ยม |
| ระยะทางเปลี่ยนถ่าย | 3,000 – 5,000 กม. | 5,000 – 8,000 กม. | 10,000 – 15,000 กม. |
| ราคาโดยประมาณ (4 ลิตร) | 300 – 500 บาท | 400 – 900 บาท | 1,000 – 2,500+ บาท |
| ความเหมาะสม | รถเก่า เครื่องหลวม ใช้งานน้อย | รถใช้งานทั่วไป รถบ้าน รถกระบะ | รถใหม่ รถยุโรป รถสมรรถนะสูง |
แนะนำน้ำมันเครื่องกึ่งสังเคราะห์ ยี่ห้อไหนดี
ในท้องตลาดมีน้ำมันเครื่องให้เลือกเยอะจนตาลาย วันนี้เราคัดมาให้เน้น ๆ กับแบรนด์ยอดฮิตที่ได้รับการรีวิวอย่างล้นหลามใน Shopee ว่าคุ้มค่าและคุณภาพดีจริง
1. PTT Performa Syntec Plus Evotec

ถ้าพูดถึงน้ำมันเครื่องขวัญใจมหาชน ต้องยกให้ PTT Performa ตัวนี้เลย เป็นน้ำมันเครื่องเทคโนโลยีสังเคราะห์ที่ออกแบบมาเพื่อเครื่องยนต์เบนซินโดยเฉพาะ จุดเด่นคือเทคโนโลยี EVOTEC ที่ช่วยลดแรงเสียดทานภายในเครื่องยนต์ได้ดีเยี่ยม ทำให้เครื่องยนต์ทำงานได้ราบรื่นและตอบสนองอัตราเร่งได้ดีขึ้น นอกจากนี้ยังมีส่วนผสมของ Smart Molecules ที่ช่วยทำความสะอาดคราบเขม่า ป้องกันการเกิดโคลนในน้ำมัน ทำให้เครื่องยนต์สะอาดเหมือนใหม่อยู่เสมอ
ตัวนี้เหมาะมากสำหรับเพื่อน ๆ ที่ใช้รถเก๋งทั่วไป ขับในเมืองสลับกับออกต่างจังหวัดบ้าง รองรับเชื้อเพลิงทางเลือกทั้ง E20, E85 หรือแม้แต่รถติดแก๊ส CNG/LPG ก็ใช้ได้หายห่วง ถือเป็นตัวเลือกที่คุ้มค่าในงบประมาณที่ไม่แพง หาซื้อง่าย และมั่นใจได้ในคุณภาพมาตรฐาน ปตท.
- ราคาประมาณ: 400 – 650 บาท (แกลลอน 4 ลิตร)
2. Shell Helix HX7

ขยับมาที่ค่ายหอยเชลล์กันบ้าง กับ Shell Helix HX7 ที่โด่งดังเรื่องเทคโนโลยี Flexi Molecule ซึ่งเป็นนวัตกรรมเฉพาะของ Shell โมเลกุลของน้ำมันจะมีความยืดหยุ่นสูง สามารถปรับเปลี่ยนรูปร่างเพื่อเข้าไปปกป้องชิ้นส่วนเครื่องยนต์ในจุดที่รับแรงกดสูงได้อย่างทั่วถึง จุดเด่นที่หลายคนชอบคือเรื่องของ ความเงียบ และความลื่น หลังจากเปลี่ยนถ่ายใหม่ ๆ จะรู้สึกได้เลยว่าเสียงเครื่องยนต์เบาลง และเหยียบคันเร่งแล้วพุ่งดีกว่าเดิม
นอกจากนี้ HX7 ยังขึ้นชื่อเรื่องการป้องกันการสึกหรอ และช่วยยืดอายุการใช้งานของเครื่องยนต์ แม้จะต้องเจอสภาพการจราจรที่ติดขัดแบบในกรุงเทพฯ ที่ต้องเบรก ๆ เร่ง ๆ ตลอดเวลา ก็ยังเอาอยู่ ใครที่รักรถและอยากได้การปกป้องที่เหนือกว่ามาตรฐานทั่วไป ตัวนี้ตอบโจทย์มาก
- ราคาประมาณ: 600 – 850 บาท (แกลลอน 4 ลิตร)
3. Castrol Magnatec

“ปกป้องทันทีที่สตาร์ท” สโลแกนนี้ไม่ได้พูดเล่น ๆ เพราะ Castrol Magnatec มีเทคโนโลยี Intelligent Molecules หรือโมเลกุลอัจฉริยะที่จะทำตัวเหมือนแม่เหล็ก ยึดเกาะกับชิ้นส่วนเครื่องยนต์ไว้ตลอดเวลา แม้ตอนที่เราดับเครื่องยนต์ไปแล้ว น้ำมันเครื่องทั่วไปจะไหลลงไปกองที่ก้นอ่าง แต่โมเลกุลของ Castrol Magnatec จะยังเกาะเคลือบอยู่ ทำให้ตอนสตาร์ทเครื่องครั้งต่อไป (ซึ่งเป็นช่วงที่เครื่องยนต์สึกหรอมากที่สุดถึง 75%) เครื่องยนต์จะได้รับการปกป้องทันที
ตัวนี้จึงเหมาะมาก ๆ กับพฤติกรรมการขับขี่ของคนเมืองที่ต้องสตาร์ทแล้วไป หรือการขับรถระยะสั้น ๆ บ่อย ๆ ที่เครื่องยนต์ยังไม่ทันร้อนได้ที่ ใครกังวลเรื่องการสึกหรอตอนเช้า ๆ แนะนำรุ่นนี้เลย เป็นกึ่งสังเคราะห์ที่ให้ความรู้สึกใกล้เคียงเกรดพรีเมียมมาก
- ราคาประมาณ: 700 – 900 บาท (แกลลอน 4 ลิตร)
4. Valvoline MaxLife

ถ้าเพื่อน ๆ ใช้รถมานาน เลขไมล์ทะลุ 95,000 กิโลเมตรไปแล้ว และเริ่มรู้สึกว่าเครื่องยนต์กินน้ำมันเครื่อง หรือมีควันขาวจาง ๆ แนะนำให้ลอง Valvoline MaxLife ตัวนี้เลย เพราะเขาเคลมว่าเป็นน้ำมันเครื่องกึ่งสังเคราะห์รายแรก ๆ ที่พัฒนามาเพื่อรถเลขไมล์สูงโดยเฉพาะ
ความพิเศษของ MaxLife คือมีสารปรับสภาพซีลยาง (Seal Conditioners) ผสมอยู่ ซึ่งจะช่วยฟื้นฟูซีลยางต่าง ๆ ภายในเครื่องยนต์ที่แข็งกระด้างให้กลับมานุ่มและยืดหยุ่นขึ้น ช่วยลดปัญหาน้ำมันเครื่องรั่วซึม และลดการกินน้ำมันเครื่องได้จริง นอกจากนี้ยังมีสารชะล้างคราบเขม่าที่เข้มข้นกว่าปกติ ช่วยขจัดคราบสะสมเก่า ๆ ออกไป ทำให้เครื่องยนต์กลับมาฟิตปั๋งอีกครั้ง ใครใช้รถเก่า แนะนำตัวนี้เลย เหมือนได้ยาอายุวัฒนะให้รถ
- ราคาประมาณ: 650 – 950 บาท (แกลลอน 4 ลิตร)
เลือกใช้น้ำมันเครื่องแบบไหนให้เหมาะกับรถของคุณ
อ่านมาถึงตรงนี้ หลายคนอาจจะเริ่มมีคำตอบในใจแล้ว แต่เพื่อให้ชัวร์ที่สุด เรามาลองดูสถานการณ์การใช้งานจริงกันดีกว่า ว่าไลฟ์สไตล์แบบเพื่อน ๆ ควรเลือกแบบไหน
ถ้าใช้รถในเมือง รถติดบ่อย เลือกแบบไหนดี?

การขับรถในเมืองที่เดี๋ยวเบรก เดี๋ยวเร่ง เป็นภาระกับเครื่องยนต์มากกว่าที่คิด เพราะความร้อนสะสมสูงและการเผาไหม้ที่ไม่สมบูรณ์
- คำแนะนำ น้ำมันเครื่องกึ่งสังเคราะห์ ถือว่า “เพียงพอ” และคุ้มค่า แต่ต้องหมั่นเปลี่ยนถ่ายตามระยะอย่างเคร่งครัด (ทุก 5,000 – 6,000 กม.) เพราะความร้อนสะสมอาจทำให้น้ำมันเสื่อมสภาพเร็วกว่ากำหนด
ถ้าเดินทางไกลบ่อย ต้องใช้แบบไหน?
การวิ่งทางไกลด้วยความเร็วคงที่ จริง ๆ แล้วเครื่องยนต์สึกหรอน้อยกว่ารถติดในเมือง แต่สิ่งที่ต้องเจอคือความร้อนสูงต่อเนื่องยาวนาน
- คำแนะนำ ถ้ามีงบ แนะนำให้ขยับไปใช้ สังเคราะห์แท้ จะดีกว่า เพราะทนความร้อนแช่ยาว ๆ ได้ดี ฟิล์มน้ำมันไม่ขาด แต่ถ้าใข้กึ่งสังเคราะห์ก็ไหวอยู่ เพียงแต่ต้องเช็คระดับน้ำมันเครื่องบ่อย ๆ หน่อย เพราะอาจมีการระเหยได้บ้าง
รถเก่า–รถใหม่ ต่างกันอย่างไรในการเลือกน้ำมันเครื่อง
- รถใหม่ (ไม่เกิน 5 ปี) เครื่องยนต์ยังฟิต ระยะห่างระหว่างชิ้นส่วนยังน้อย ควรใช้น้ำมันเครื่องที่มีความหนืดใส (เบอร์หลังต่ำ ๆ เช่น 20 หรือ 30) ซึ่งส่วนใหญ่มักจะเป็นสังเคราะห์แท้ แต่กึ่งสังเคราะห์เบอร์ 10W-30 ก็ใช้ได้เช่นกัน
- รถเก่า (เกิน 100,000 กม.) เครื่องเริ่มหลวม ต้องการฟิล์มน้ำมันที่หนาขึ้นเพื่อเข้าไปอุดช่องว่าง ควรเลือกเบอร์ความหนืดสูงขึ้น เช่น 10W-40 หรือ 20W-50 ซึ่งน้ำมันเครื่องกึ่งสังเคราะห์ในตลาดส่วนใหญ่จะอยู่ที่เบอร์ 10W-40 จึงเป็นคำตอบที่ลงตัวมากสำหรับรถกลุ่มนี้
เลือกตามคู่มือรถ (สำคัญที่สุด)
ไม่ว่าเพื่อน ๆ จะอ่านรีวิวมาเยอะแค่ไหน สิ่งแรกที่ต้องทำคือ “เปิดคู่มือรถ” ดูว่าผู้ผลิตกำหนดมาตรฐาน API (เช่น API SN, SP) และค่าความหนืด (SAE) ไว้ที่เท่าไหร่ แล้วเลือกซื้อน้ำมันเครื่องที่มีสเปคตรงตามนั้น หรือสูงกว่า จะปลอดภัยต่อเครื่องยนต์ที่สุด
ข้อดี–ข้อเสียของน้ำมันเครื่องกึ่งสังเคราะห์
สรุปกันอีกครั้งชัด ๆ เพื่อช่วยตัดสินใจก่อนกดสั่งซื้อ

ข้อดี:
- ราคาสบายกระเป๋า ถูกกว่าสังเคราะห์แท้เกือบครึ่ง แต่ประสิทธิภาพดีกว่าน้ำมันธรรมดามาก
- หาซื้อง่าย มีขายทั่วไป ทั้งร้านอะไหล่ ปั๊มน้ำมัน และใน Shopee
- ปกป้องได้ดีในระดับมาตรฐาน เพียงพอสำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวันของคนส่วนใหญ่
- เหมาะกับรถหลากหลาย โดยเฉพาะรถบ้าน รถใช้งานทั่วไป และรถที่มีอายุการใช้งานมาระดับหนึ่ง
ข้อเสีย:
- อายุการใช้งานสั้นกว่า ต้องเปลี่ยนถ่ายบ่อยกว่าแบบสังเคราะห์แท้ (ต้องเข้าอู่บ่อยกว่า)
- ทนร้อนสู้สังเคราะห์แท้ไม่ได้ ไม่เหมาะกับรถแข่ง รถซิ่ง หรือรถที่ใช้งานหนักหน่วงตลอดเวลา
- อัตราเร่งอาจไม่ปรู๊ดปร๊าดเท่า ถ้าเทียบกับสังเคราะห์แท้เกรดท็อป ๆ ความลื่นไหลอาจจะรู้สึกต่างกันนิดหน่อยในรอบสูง
สรุป: น้ำมันเครื่องกึ่งสังเคราะห์เหมาะกับใคร?
สรุปแล้ว น้ำมันเครื่องกึ่งสังเคราะห์ คือ ทางสายกลางที่ลงตัวที่สุดสำหรับ “ผู้ใช้งานทั่วไป” ที่ไม่ได้ต้องการสมรรถนะระดับรถแข่ง แต่ต้องการการปกป้องเครื่องยนต์ที่ดีในราคาที่สมเหตุสมผล หากเพื่อน ๆ ใช้รถขับไปทำงาน ส่งลูกเรียน หรือเที่ยวต่างจังหวัดบ้างเป็นครั้งคราว และมีวินัยในการนำรถเข้าเช็คระยะตามกำหนด น้ำมันเครื่องกึ่งสังเคราะห์คือคำตอบที่คุ้มค่าที่สุด ไม่จำเป็นต้องจ่ายแพงเกินความจำเป็น เก็บเงินส่วนต่างไว้เติมน้ำมันหรือแต่งรถสวย ๆ ดีกว่า
แต่ถ้าเพื่อน ๆ เป็นสายรักความเร็ว ชอบลากรอบเครื่องสูง ๆ หรือขี้เกียจไปเปลี่ยนน้ำมันเครื่องบ่อย ๆ การขยับไปเล่นสังเคราะห์แท้ 100% ก็เป็นการลงทุนที่ซื้อความสบายใจได้
หวังว่าบทความนี้จะช่วยให้เพื่อน ๆ หายข้องใจและเลือกซื้อน้ำมันเครื่องได้เหมาะกับรถคู่ใจนะ ถ้าเริ่มสนใจแล้ว ลองเข้าไปเช็คราคาน้ำมันเครื่องกึ่งสังเคราะห์แบรนด์ดัง ๆ พร้อมโปรโมชั่นดี ๆ ได้ที่ Shopee รับรองว่ามีให้เลือกครบจบในที่เดียวแน่นอน
และสำหรับใครที่อยากดูแลรถให้เหมือนใหม่ตลอดเวลา อย่าลืมแวะไปอ่านบทความดี ๆ เพิ่มเติมจาก Shopee Blog ได้เลย
บทความแนะนำ