หลายคนนั้นมักรู้จักกับ วรรณสิงห์ ประเสริฐกุล หนุ่มหล่อสายลุย จากรายการสารคดีสุดโหด ที่ชื่อว่า เถื่อน Travel
วันนี้ Shopee Thailand อยากจะพาคุณมารู้จักกับอีกหนึ่งมุมใหม่ของหนุ่ม สิงห์ วรรณสิงห์ กับการส่งต่อแรงบันดาลใจเกี่ยวกับ “ความรัก” ใน “งาน”
“ไม่ว่าจะไปที่ที่ลำบาก อันตราย และโหด แค่ไหน แต่ใจเรารู้สึกว่าเราสงบมาก เหมือนเราเกิดมาเพื่อสิ่งนี้”
อีกหนึ่งประโยคของสิงห์ ที่แสดงให้เห็นถึงแรงบันดาลใจ พลังความรักที่เขามี และศรัทธาในงานของเขาที่อยากจะส่งต่อให้กับคนอื่น ๆ ได้มีความรู้สึกเดียวกัน การบรรยายในครั้งนี้ถึงแม้ว่าเขาจะมีอาการตื่นเต้นเล็กน้อยแต่ก็ทำให้เห็นว่า สิงห์ได้เตรียมตัวมาพร้อมที่จะส่งต่อแรงบันดาลใจให้กับผู้ฟังอย่างแท้จริง
หัวข้อต่างๆ ของบทความนี้
นักสำรวจ ไม่เคยอยู่ในความฝันแต่กลายเป็นความจริงที่เขารักมากที่สุด
สิงห์ ได้เล่าความฝันในวัยเด็ก มีหลากหลายอาชีพที่เขานั้นเคยอยากเป็น และมีการเปลี่ยนแปลงไปตามความคิดและการเติบโตเหมือนเด็กคนอื่น ๆ แต่คำว่า “นักสำรวจ” นั้น ก็ยังไม่เคยอยู่ในความคิดของเขาแม้แต่น้อย
สิงห์เริ่มต้นเข้าวงการตั้งแต่อายุ 18 ปี ไม่ว่าจะเป็น พิธีกร งานเขียน งานแสดง งานเพลง ทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลังวงการ แต่น่าแปลกที่งานก่อนหน้านี้ที่เขาได้ทำมาทั้งหมดนั้นกลับไม่มีงานไหนที่ทำให้เขาคลั่งไคล้และค้นพบจุดมุ่งหมายของชีวิตได้เท่ากับการได้เข้าไปทำงานในรายการ “พื้นที่ชีวิต” รายการสารคดีที่อยากให้คนเข้าใจเรื่องธรรมะ แต่เป็นธรรมะในมุมมองของคนทั่วไปในหลากหลายมุมมอง จนทำให้เขาค้นพบสิ่งที่ตัวเองนั้นรู้สึกรักมากที่สุดในชีวิต นั้นก็คือ การเดินทาง เปิดโลกกว้าง มากกว่าการแค่อ่านหนังสือ
“โลกมันใหญ่กว่าที่เราคิด แต่การได้ออกไปสัมผัสกับโลกที่กว้างใหญ่ มันเป็นโอกาสที่ไม่ใช่ทุกคนจะทำได้ง่าย ผมอาจจะมาได้เพราะดวง แต่นั่นมันช่วยละลายอีโก้ในตัวเราออกไป และมันก็ทำให้เราเข้าใจว่าการเรียนรู้ผ่านประสบการณ์นั่น มันไม่มีวันหายไป มันอยู่ในเส้นเลือด อยู่ในความทรงจำที่ยาวนานกว่าการอ่านหนังสือ
แต่ก่อนเราอ่านหนังสือ เราอ่านสิ่งที่คนอื่นเขาคิดแล้วกลั่นกรองมา แต่ไม่ได้มาจากสิ่งที่เราคิด แต่การเรียนรู้ผ่านประสบการณ์การเดินทาง เราได้สังเคราะห์ความคิดของตัวเราเองอย่างช้า ๆ ผ่านการสนทนา ภูเขา มหาสมุทร ทะเลทราย ทุกอย่างมันค่อย ๆ กลั่นเราให้กลายเป็นคนใหม่ จากคนที่เคยใช้ความคิดตัวเองตัดสินโลกใบนี้ กลายเป็นคน ๆ หนึ่งที่เป็นแค่ผู้สำรวจโลก และเราหลงรักการเรียนรู้แบบนี้ รักที่ได้มองเห็นการเติบโตของตัวเอง ”
ถึงแม้ว่าจุดเริ่มต้นนั้นมันจะไม่ใช่สิ่งที่เราฝันเอาไว้ และไม่ได้อยากจะทำในตอนแรก แต่เมื่อมีโอกาสได้เข้าไปลองลงมือทำ งานที่ไม่ได้คาดหวังกลับค่อย ๆ สานเข้ากับความรู้สึกของสิงห์ จนสิงห์ได้เปลี่ยน “งาน” ให้กลายมาเป็น “วิถีชีวิต”
เมื่อรายการที่เป็นดั่งชีวิตถูกถอด
หลังจากที่ สิงห์ ทำรายการ พื้นที่ชีวิตมากว่า 5 ปี มันทำให้เขากลายเป็นคนเสพติดกับงาน เสพติดการที่จะได้ออกไปข้างนอก แต่เรื่องราวชีวิตมักจะไม่ได้ราบรื่นและสวยหรูเสมอไป เพราะไม่นานพื้นที่ชีวิตก็ได้ถูกถอดออกจากช่อง
สิงห์เล่าว่าในช่วงนั้น การเปลี่ยนแปลงหลายอย่างเกิดขึ้นพร้อมกัน ทั้งเรื่องครอบครัว เรื่องความรัก ที่รุมเร้าเข้ามาพร้อม ๆ กับมันทำให้ทุกวันที่ผมตื่นขึ้นมาในตอนนั้นไม่มีแรงและไม่อยากที่จะทำอะไรเลย ไม่อยากที่จะใช้ชีวิตต่อ จนเกือบที่จะเป็นโรคซึมเศร้า
“เหมือนชีวิตดิ่งสุดขั้ว จากเดิมที่เราเป็นคนรักชีวิตมาก ไม่ใช่เพราะว่าเรากลัวตาย แต่เพราะเราเห็นทุกวันมีค่า แล้วเราอยากที่จะตื่นขึ้นมาทำอะไรตลอดเวลา ตอนนั้นเรารู้สึกเคว้ง รวมถึงคนรอบข้างก็เริ่มรู้สึกว่า เราค่อย ๆ ตายลงไปช้า ๆ ตัวเราเองที่เราเคยรู้จักที่เคยแอคทีฟมันหายไปไหน”
เมื่อคนหมด Passion ต้องออกไปพูดเรื่อง Passion
ในช่วงที่สิงห์ต้องเผชิญกับปัญหาหลายด้าน เขาได้รับคำเชิญให้ไปบรรยายเรื่องแรงบันดาลใจ ก่อนการบรรยาย สิงห์ได้เห็นน้อง ๆ นักศึกษากำลังทำบอร์ดเพื่อตกแต่งสถานที่ ซึ่งก็มีคนเขียนข้อความให้กำลังใจสิงห์นับร้อยข้อความอยู่บนบอร์ด
“ตอนที่ผมเห็นตอนแรก ผมก็รู้สึกดีใจ แต่ลึก ๆ แล้วมันกลับรู้สึกเศร้าซะมากกว่า เพราะว่าสิ่งที่พวกเขาชื่นชมอยู่ในตอนนี้มันกลับไม่ใช่ตัวเราเองอีกต่อไปแล้ว ตัวเราในตอนนั้น เหมือนเป็นแค่เปลือกกลวง ๆ เท่านั้นเอง”
แต่นั่นก็เป็นแรงผลักดันที่ทำให้สิงห์รู้สึกว่าเขาจะเป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว หนึ่งความคิดของสิงห์ได้ตั้งคำถามขึ้นมาว่า
“ในเมื่อการเดินทางนั้นมันเคยเป็นแรงบันดาลใจ เป็นสิ่งกระตุ้นเรา งั้นเรากลับไปอยู่ตรงนั้นไหม? กลับไปยังจุดที่ทำให้เรามีความสุข
ในเมื่อไม่มีรายการ งั้นเราลองทำรายการใหม่ขึ้นมา
ในเมื่อไม่มีทีมงานแล้ว งั้นเราก็ลองทำคนเดียว
ก็เลยลองซื้อตั๋วไปแอฟริกา ทวีปที่ทำให้ผมมีความสุขมากที่สุดจากทุก ๆ การเดินทางที่ผ่านมา”
สิงห์เลือกที่จะเดินทาง ซื้อตั๋วเครื่องบินไปแอฟริกาใต้ ประเทศที่เขารู้สึกว่าเขาแทบจะไม่รู้จักอะไรเลย แต่เขาไปด้วยความเชื่อว่าเขาจะได้อะไรสักอย่างหนึ่งกลับมา จากการเดินทางครั้งนี้ จากที่ไม่เคยจับกล้อง เคยทำแค่เขียนบท เป็นพิธีกร กำกับ ก็ลองซื้อกล้อง ยืมอุปกรณ์ของคนอื่น ๆ แล้วลองไปถ่ายรายการด้วยตัวเอง
เพียงแค่ 3 วันจากการเดินทางครั้งนี้ มันทำให้เขานั้นกลับมาเป็นตัวเองอีกครั้ง สิงห์ลืมปัญหาทุกอย่างที่เคยมี และค้นพบว่าเขามีความสุขท่ามกลางการเดินทางผ่านสายลมและแสงแดด
“การเดินทางครั้งนี้มันทำให้เราคอนเฟิร์มกับตัวเองจริง ๆ ว่า นี่คือวิถีชีวิต นี่คือความรักของเรา แต่ก่อนมีคนหยิบยื่นมาให้ แล้วเราได้รับสิ่งนั้นมา งั้นเราลองมาสร้างพื้นที่ใหม่ให้ตัวเองได้มีโอกาสที่จะทำมันอยู่เรื่อย ๆ ดีกว่า”
และนี่คือจุดเริ่มต้นการเปลี่ยนความคิดของสิงห์ ที่ทำให้เกิดรายการเถื่อนทราเวลขึ้นมา
เถื่อนทราเวล ความสำเร็จที่เกิดจากความเปลี่ยนแปลง
“เรารู้แค่เพียงว่า อยากทำสิ่งนั้นต่อให้กับชีวิต ทำยังไงให้เราได้ทำสิ่งนี้ต่อ”
“ตอนนั้นยังไม่รู้ว่ารายการจะชื่ออะไร แต่คอนเซปต์มันชัดอยู่ในตัวมันเองแล้วว่า เราอยากไปในที่แบบนี้ เราไม่อยากไปในที่หรู หรือประเทศที่ศิวิไลซ์แล้ว เราต้องทำยังไงต่อจากนี้ ก็เริ่มต้นเอาคลิปวีดีโอที่ไปแอฟริกาครั้งนั้นกลับมาตัด เป็นวีดีโอ pirot แล้วส่งไปให้ที่นู้นที่นี่ จนเกิดคลิปวิดีโอ 4 ตัวขึ้นมา”
นอกจากการเปลี่ยนแปลงตัวเองของสิงห์แล้ว การเปลี่ยนแปลงทางด้านเทคโนโลยีก็มีผลที่ทำให้เกิดเป็นรายการเถื่อน Travel ขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอุปกรณ์การถ่ายภาพ ขาตั้งกล้อง ไมโครโฟน ที่ทำให้สามารถถ่ายงานคนเดียวได้สบายมากขึ้น รวมถึงการเปลี่ยนแปลงของโลกทั้งด้านโลกออนไลน์ ที่ทำให้เกิดธุรกิจใหม่ ๆ วงการสื่อต้องมีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบ ลดต้นทุนค่าใช้จ่าย ซึ่งสิงห์ก็ให้คำแนะนำว่า เราต้องมีการเรียนรู้อยู่ตลอด
ทำไมต้องเป็น เถื่อน Travel ทำไมถึงไม่เป็นอย่างอื่น??
อีกหนึ่งคำถามที่ใครหลาย ๆ คนมักจะสงสัย และถามสิงห์อยู่บ่อย ๆ สิงห์ได้ให้คำตอบกับเราว่า
“เถื่อนทราเวล ไม่ใช่ความอันตรายอย่างเดียว แต่มันคือด้านมืดของสังคม ที่เรามักจะกลัว ไม่ว่าจะเป็นผู้ก่อการร้าย ค้ายา ธุรกิจสีดำ”
“ถ้ามีคนถามว่าผมทำงานอะไร ผมว่างานของผมคือการเล่าเรื่องมนุษย์ การทำรายการ เราอยากที่จะเล่าเรื่องราวหรือ story มากกว่า information”
สิงห์เล่าถึงชีวิตการทำงานและเรื่องราวการเดินทางที่เขาได้ผจญภัยจากการทำรายการเถื่อนทราเวลว่า
“เราทำงานคนเดียวตลอด ไม่ว่าจะไปในประเทศไหน ถึงแม้ว่าจะมีทีมงานที่คอยประสานงานหรือเตรียมการต่าง ๆ ไว้ให้ตลอดที่เมืองไทยก็ตาม เหตุผลแรกอาจจะเป็นเพราะเราไม่มีงบมากพอ แต่อีกเหตุผลหนึ่งคือความชอบ เพราะการไปคนเดียวนั้นมันตื่นเต้นดี ไม่ต้องคอยระวังหน้าระวังหลัง
แต่สิ่งที่ชอบที่สุดของการไปคนเดียวคือ เราสามารถเป็นส่วนหนึ่งกับชาวบ้านได้จริง ๆ ซึ่งก็ได้รับประสบการณ์ต่าง ๆ มากมายพอที่จะมาเล่าเรื่องราว ๆ ต่าง ๆ ให้คนอื่น ๆ ได้ดูกันได้ “
บทเรียนกับ Passion ในแบบของ สิงห์ วรรณสิงห์
“คนปัจจุบันโดนกดดันเรื่อง passion มากเกินไป ว่าเราต้องหา passion ให้เจอ เราเชื่อว่ามันจะมาของมันเองและมันจะไปของมันเอง แต่สิ่งหนึ่งคือ เราจะรู้ได้ยังไงว่าเราจะทำยังไงให้มันอยู่ การดำเนินชีวิตจะทำให้มันเปิดเผยขึ้นมาเรื่อย ๆ สิ่งที่เราต้องทำคือเปิดเผยตัวเอง อย่าไปบล็อกมัน ว่าไม่เอา อย่าเข้ามา”
“อีกหนึ่งบทเรียนสำคัญที่ผมได้เรียนรู้ก็คือ ต้องรู้จักที่จะหยุด”
“บางทีเราไปยึดติดกับตัวตน ว่าเราต้องเป็นนักเดินทาง แล้วเราก็ทำสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้เพื่อเติมช่องว่างภายในใจเรา ในช่วงปีที่ผ่านมาผมเดินทางมากกว่า 29 ประเทศและผมก็เริ่มมองว่าการเดินทางนั้นมันไม่ใช้ความสุข แต่มันเป็น Routine น่าแปลกที่เราได้เจอสิ่งใหม่ในสิ่งเก่า เพราะเราต้องทำมันและต้องอยู่กับมันตลอดเวลา ไม่มีทะเลทรายไหนทำให้เราตื่นเต้น ไม่มีสงครามไหนที่ทำให้อะดรีนาลีนเราฉีดได้อีกต่อไปแล้ว”
“เมื่อมันถึงจุดนี้ ผมรู้สึกเราทำตามความต้องการของเรามามากพอละ ผมอยากที่จะอยู่นิ่ง ๆ เพื่อมองหาว่าเราอยากที่จะทำอะไรต่อไป เราอาจจะมีความสุขกับตัวเองในปัจจุบัน แต่ว่าเมื่อถึงจุดหนึ่งเราต้องยอมให้ความรู้สึกมันเปลี่ยน แล้วไม่ไปยึดติดกับมัน มองตัวเองให้เป็นธรรมชาติว่า ต่อไปเราจะเป็นใคร และเราจะเติบโตไปอย่างไร”
ตลอดระยะเวลากว่า 2 ชั่วโมงกับการบรรยายของ สิงห์ วรรณสิงห์ ประเสริฐกุล ไม่ใช่แค่การบอกเล่าประสบการณ์หรือเรื่องราวความบังเอิญจากการเดินทางสุดแปลกของเขา แต่มันคือการส่งต่อแรงบันดาลใจและพลังบวก รวมถึงเปิดมุมมองทัศนคติที่มีต่อโลกใบนี้ ให้กับผู้ฟังทุกคนสามารถนำไปปรับใช้ในงานและชีวิตของตัวเอง