รถยนต์ที่ใช้ขับไปเรียนหรือขับไปทำงานทุกวัน ทุกคนมีวิธีการดูแลรถคันโปรดของตัวเองอย่างไรกันบ้าง ? นอกจากล้างรถ เติมลมแล้ว เรื่องที่หลายคนพลาดหรือเผลอมองข้ามไป นั่นก็คือ การเปลี่ยนน้ำมันเครื่องรถยนต์ หากเราไม่รู้ว่าน้ำมันเครื่องควรเปลี่ยนตอนไหน รถยนต์ของเราก็มีสิทธิ์พัง สตาร์ทไม่ติด ต้องซ่อมยกเครื่องเลย! หากไม่อยากให้รถคันโปรดของเราเข้าอู่ จนต้องเสียเงินซ้ำซ้อน ก็ต้องรู้ว่าน้ำมันเครื่องรถยนต์ ควรเปลี่ยนตอนไหน มีวิธีสังเกตอย่างไร หรือเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องทุก ๆ ระยะเท่าใด ว่าแล้วก็ไปเช็กพร้อม ๆ กันเลยว่ารถยนต์ของเราเข้าข่ายต้องเปลี่ยนน้ำมันเครื่องหรือยัง ?
หัวข้อต่างๆ ของบทความนี้
น้ำมันเครื่อง คืออะไร? มีหน้าที่อย่างไร?
น้ำมันเครื่อง คือ สารหล่อลื่นที่อยู่ภายในเครื่องยนต์ ช่วยป้องกันให้ชิ้นส่วนต่าง ๆ นั้นเสียดสีกันน้อยที่สุด โดยเฉพาะตอนสตาร์ตรถที่จะมีการเคลื่อนไหวของเครื่องยนต์ หรือการเสียดสีของวัตถุโลหะ เพราะเหตุนี้น้ำมันจึงเครื่องมีความสำคัญต่อเครื่องยนต์เป็นอย่างมาก ซึ่งหากเปรียบเป็นอวัยวะบนร่างกายของมนุษย์ ก็เปรียบเสมือนเส้นเลือดของเรา ที่คอยหล่อเลี้ยงอวัยวะต่าง ๆ ให้ทำงานได้อย่างมั่นคง
ประโยชน์ของน้ำมันเครื่อง
- ช่วยหล่อลื่นชิ้นส่วนต่าง ๆ ทำให้เครื่องยนต์ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ช่วยลดแรงเสียดทานและการสึกหรอของเครื่องยนต์
- ช่วยระบายความร้อนให้ชิ้นส่วนเครื่องยนต์
- ป้องกันการเกิดสนิม การกัดกร่อน คราบเขม่า
- รักษาความสะอาดภายในเครื่องยนต์ ลดสะสมสิ่งสกปรกและผงโลหะที่อาจทำให้เกิดการอุดตันภายในชิ้นส่วนเครื่องยนต์
- เป็นตัวป้องกันการรั่วของกำลังอัด โดยน้ำมันเครื่องจะทำหน้าที่คล้ายฟิล์มเคลือบผนังกระบอกลูกสูบ และแทรกอยู่ตามชิ้นส่วนต่าง ๆ เพื่อป้องกันไม่ให้ก๊าซไหลผ่านช่องว่างเข้าไปได้ และเพื่อป้องกันไม่ให้กำลังอัดรั่วไหลออกจากห้องเผาไหม้
รู้ครบ! 3 ประเภทของน้ำมันเครื่อง ต่างกันอย่างไร?
1. น้ำมันเครื่องธรรมดา (Mineral Oil)
เป็นน้ำมันที่ได้จากการกลั่นน้ำมันดิบ (ปิโตรเลียม) อาจมีสิ่งเจือปนมากกว่าน้ำมันเครื่องสังเคราะห์ จึงทำให้น้ำมันชนิดนี้มีราคาไม่สูงมากและให้ประสิทธิภาพในการปกป้องเครื่องยนต์เพียงพอ
- ระยะประมาณ 5,000 – 7,000 กิโลเมตร
- มีอายุการใช้งานประมาณ 6 เดือน
- ราคาถูกที่สุด
2. น้ำมันเครื่องกึ่งสังเคราะห์ (Semi Synthetic)
เป็นน้ำมันเครื่องสังเคราะห์แท้ผสมกับน้ำมันจากธรรมชาติ คุณสมบัติหลักคือดีกว่าน้ำมันเครื่องธรรมดาทั่ว ๆ ไป แต่ยังอยู่ในเรทราคากลาง ๆ ถือว่าเป็นอีกประเภทน้ำมันเครื่องที่นิยมใช้กัน เพราะคุ้มค่าและไม่แพงเกินไป
- ระยะใช้งานประมาณ 7,000 – 10,000 กิโลเมตร
- มีอายุการใช้งานประมาณ 6-9 เดือน
- ราคาปกติ (ราคาอยู่ระหว่างน้ำมันเครื่องธรรมดาและแบบสังเคราะห์แท้)
3. น้ำมันเครื่องสังเคราะห์ (Full Synthetic)
เป็นน้ำมันหล่อลื่นที่ผ่านกระบวนการผลิตและกลั่นด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง เรียกว่าเป็นสารสังเคราะห์ 100% ที่มีสิ่งแปลกปลอมเจือปนน้อย มีความบริสุทธิ์ จุดเด่นก็คือช่วยยืดอายุการใช้งานของรถ แถมยังสามารถปกป้องและหล่อลื่นเครื่องยนต์ได้เต็มสมรรถนะ
- ระยะใช้งานประมาณ 10,000 -15,000 กิโลเมตร
- มีอายุการใช้งานประมาณ 1 ปี
- ราคาสูงที่สุด
หากถามว่า “น้ำมันเครื่องแบบไหนดีที่สุด” คงตอบได้ว่า ขึ้นอยู่กับการใช้งานและงบประมาณของแต่ละคน ใครที่มีมีรถราคาแพงที่ต้องการการดูแลเป็นพิเศษ ก็แนะนำว่าเลือกน้ำมันเครื่องสังเคราะห์ 100% สบายใจกว่า แต่ใครมีรถธรรมดาที่ใช้งานเป็นประจำ หรือเป็นรถที่ใช้งานมานานแล้ว ก็สามารถใช้เป็นน้ำมันเครื่องกึ่งสังเคราะห์แทนได้ โดยทุกคนสามารถพิจารณาจากค่าความหนืด และเลือกให้เหมาะสมกับรถ เพียงเท่านี้ก็จะช่วยให้เครื่องยนต์ทำงานได้เติมประสิทธิภาพแล้ว
สัญญาณอันตราย! น้ำมันเครื่องรถยนต์ ควรเปลี่ยนตอนไหน
สิ่งที่เราควรพิจารณาว่าน้ำมันเครื่องรถยนต์ ควรเปลี่ยนตอนไหน อันดับหนึ่งก็คือระยะทาง ระยะเวลา การใช้งาน และสภาพของเครื่องยนต์ แล้วต้องเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องทุก ๆ ระยะเท่าใด ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ล้วนขึ้นอยู่กับประเภทน้ำมัน ดังนี้
- น้ำมันเครื่องธรรมดา (ปิโตรเลียม) ควรเปลี่ยนที่ระยะ 7,000-7,500 กม. (ทุก 6 เดือน)
- น้ำมันเครื่องกึ่งสังเคราะห์ ควรเปลี่ยนที่ระยะ 10,000-15,000 กม. (6-9 เดือน)
- น้ำมันเครื่องสังเคราะห์ ควรเปลี่ยนที่ระยะ 15,000-20,000 กม. (ทุก 1 ปี)
สุดท้ายแล้วก็ขึ้นอยู่กับคุณภาพของน้ำมันที่ใช้ด้วย ถ้าเกรดดี ๆ บางแบรนด์ก็สามารถวิ่งได้ถึง 15,000 กิโลเมตรเลยทีเดียว แต่ทุกคนสงสัยไหมว่าหากไม่มีสูตรตายตัวแบบนี้ แล้วคนส่วนใหญ่เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องทุก ๆ ระยะเท่าใด? คำตอบคือ ทุก 8,000 – 10,000 กิโลเมตร เพราะเราไม่จำเป็นต้องรอให้ครบระยะทางหรือระยะเวลาที่กำหนด เราก็สามารถเปลี่ยนได้เลยเพื่อความเซฟ หรือใครที่รู้สึกว่ารถยนต์เริ่มมีอาการแปลก ๆ และน้ำมันเครื่องมีปริมาณลดลงหรือมีสีดำผิดปกติ นั่นก็ถือเป็นสัญญาณอันตรายที่บ่งบอกว่าต้องเปลี่ยนน้ำมันเครื่องทันที
หากไม่เปลี่ยนน้ำมันเครื่องรถยนต์ มีผลต่อรถยนต์อย่างไร
1. รถเร่งเครื่องไม่ขึ้น : เครื่องยนต์เสียดสีจนเกิดความร้อน หรือถึงขั้นทำให้ชิ้นส่วนภายในเครื่องยนต์เริ่มละลายติดกันจนไม่สามารถหมุนได้ หรือที่เรียกว่าชาร์ปละลาย
2. เครื่องยนต์มีเสียงดังผิดปกติ : เกิดจากความหนืดของน้ำมันเครื่องที่ไม่ได้เปลี่ยนถ่าย ทำให้มีเสียงดังผิดปกติขณะที่เครื่องยนต์ทำงาน
3. ชิ้นส่วนภายในรถสึกหรอ : เนื่องจากน้ำมันเครื่องลดการเสียดสีของโลหะภายใน ช่วยยืดอายุการใช้งานของรถยนต์
4. รถกินน้ำมัน : การเคลื่อนตัวรถช้าลง ทำให้รถยนต์ต้องทำงานหนักมากกว่าปกติเมื่อมีการเร่งเครื่อง
5. เกิดควันขาว : ควันขาวที่ออกมาจากท่อไอเสียเป็นสัญญาณที่ได้บอกว่าน้ำมันได้รั่วซึมเข้าไปในเครื่องยนต์แล้วถูกเผาไหม้ออกมาเป็นสีขาว ควรรีบนำรถเข้ารับการแก้ไขโดยทันที
การเปลี่ยนน้ำมันเครื่องรถยนต์ ทำเองได้ไหม
ทำเองได้ หากมีอุปกรณ์ครบ และเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องรถอย่างแท้จริง เพราะต้องใช้อุปกรณ์ค่อนข้างเยอะ ไม่ว่าจะเป็นเบอร์น้ำมันเครื่อง กรองกระดาษ แม่แรง ขาตั้งรับน้ำหนักรถ ประแจต่าง ๆ ต้องรู้วิธีการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องตั้งแต่การจอดรถทิ้งไว้ให้เครื่องยนต์เย็นก่อน เพื่อที่น้ำมันเครื่องจะได้เย็นลงและไหลกลับอ่างน้ำมันเครื่อง จากนั้นต้องใช้แม่แรงยกรถส่วนหน้า แต่ต้องระวังเพราะมันสิทธิ์พับลงมาทำตัวได้ ไปจนถึงเรื่องการทิ้งน้ำมันเครื่องเก่าอย่างถูกวิธีควรทำอย่างไร เอาเป็นว่าหากคุณไม่ใช่เจ้าของอู่ เป็นเรื่องที่ค่อนข้างยากเลยหากต้องทำเอง เพื่อการถ่ายน้ำมันเครื่องอย่างมีประสิทธิภาพและประหยัดเวลา แนะนำให้เลือกเปลี่ยนที่ศูนย์บริการรถยนต์ และศูนย์บริการทั่วไปหรืออู่นอก จะช่วยให้เรามั่นใจได้มากกว่าว่าจะได้รับการบริการที่ดีตามมาตรฐาน โดยช่างผู้เชี่ยวชาญนั่นเอง
รู้ครบจบทุกประเด็น! “น้ำมันเครื่องรถยนต์ ควรเปลี่ยนตอนไหนดี?” กันแล้ว ก็ไปดูวิธีเลือกซื้อน้ำมันเครื่องรถยนต์ เพื่อช่วยให้รถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด! ดูแลเรื่องน้ำมันเครื่องกันไปแล้ว ก็ห้ามละเลยการตรวจเช็คยางรถยนต์และแบตเตอรี่กันด้วย คนรักรถอย่างเราไปตามอ่านกันต่อเลยที่ 7 ยางรถยนต์ยี่ห้อไหนดี พร้อม Top 10 แบตเตอรี่รถยนต์ยี่ห้อไหนดี