ยุค 2024 นี่เราบอกได้เลยว่า ไอเทมสำคัญสำหรับการใช้งานควบคู่กับสมาร์ทโฟน นอกจากพาวเวอร์แบงค์แล้ว ก็มีหูฟังบลูทูธ หรือที่ในปัจจุบันมาในรูปร่างของหูฟัง True Wireless ที่เป็นหูฟังไร้สาย และได้รับความนิยมมาก เพราะว่าสามารถใช้งานได้อย่างสะดวกสบาย ไม่มีสายรบกวนให้รุงรัง แถมยังให้คุณภาพเสียงที่ดีมากๆ เลยก็ว่าได้ นอกจากนั้น ด้วยดีไซน์ของหูฟังที่มีหลากหลายรูปแบบ เมื่อสวมใส่และใช้งานนั้น ก็เปรียบเสมือนกับเป็นเครื่องประดับอย่างหนึ่ง ทำให้ในปัจจุบัน หูฟัง True Wireless จึงได้รับความนิยมมากๆ โดยเฉพาะในหมู่วัยรุ่นและวัยทำงานที่เดินทางด้วยรถโดยสารสาธารณะเป็นหลัก เพราะทำให้สามารถฟังเพลง รับชมวิดีโอ คอนเทนต์ หรือคุยสายสนทนาได้อย่างเป็นส่วนตัวและสะดวกสบายนั่นเอง
แต่หลายคนที่ไม่ค่อยคุ้นเคยกับวงการหูฟัง True Wireless ก็อาจจะมีความสงสัยว่า แล้วถ้าอยากจะซื้อหูฟัง True Wireless หรือบลูทูธสักตัว จะเลือกหูฟังบลูทูธ ยี่ห้อไหนดี ในบทความนี้ Shopee Blog เลยจะมาแนะนำเกี่ยวกับ 10 หูฟัง True Wireless สุดปังปั๊วะแห่งยุค เสียงดี คุยสายเทพ แถมราคาหลากหลาย ให้สามารถนำไปประกอบการตัดสินใจเลือกหูฟังบลูทูธ ยี่ห้อไหนดีตามงบประมาณที่มีกันเลย ว่าแต่ จะมีหูฟังบลูทูธ ยี่ห้อไหนดีรุ่นไหนบ้าง มาดูกัน
Credit: Freepik
หัวข้อต่างๆ ของบทความนี้
4 ประเภทของหูฟัง ที่ควรรู้ก่อนซื้อ
แน่นอนว่าหูฟังนั้นก็เป็นหนึ่งไอเท็มที่มีรูปแบบอยู่หลากหลายประเภท และแต่ละประเภทก็มีลักษณะทั้งทางกายภาพและคุณสมบัติเพิ่มเติมอื่นๆ ที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งโดยคร่าวๆ แล้ว หูฟังในปัจจุบัน (ทั้งหูฟังมีสาย หูฟังไร้สาย หูฟังบลูทูธ หูฟัง True Wireless) จะมีอยู่ทั้งหมด 4 ประเภท ได้แก่
หูฟังประเภท Over Ear (Full Size)
Credit: Sony
หูฟังประเภทแรกจะเป็นประเภทที่หลายคนคุ้นเคยกันมาอย่างยาวนาน นั่นก็คือ หูฟังประเภท Over Ear หรือในอีกชื่อคือ Full Size เป็นประเภทของหูฟังที่จะมาในรูปของตัวหูฟังชิ้นเดียว และมีไดรเวอร์ขนาดใหญ่อยู่ที่บริเวณด้านข้าง สำหรับครอบหูเพื่อใช้งาน โดยจะมีวัสดุรูปทรงโค้งเชื่อมระหว่างไดรเวอร์ทั้งสองฟังเข้าหากัน หูฟังประเภทนี้จะเป็นหูฟังในรูปแบบของ Professional เพราะจะมีไดรเวอร์ขนาดใหญ่ ทำให้สามารถให้รายละเอียดเสียงได้อย่างครบถ้วน รวมถึงเป็นหูฟังประเภทที่สามารถตัดเสียงรบกวนได้เป็นอย่างดี เพราะตัวรูปทรงส่วนมากจะครอบหูไปเลย ทำให้สามารถตัดเสียงด้วยวัสดุ และ Software ร่วมกันได้อย่างเต็มประสิทธิภาพนั่นเอง แต่หูฟังประเภทนี้ อาจจะมีขนาดที่ใหญ่ ทำให้พกพาลำบาก นอกจากนั้นยังอาจจะไม่เหมาะกับการใช้งานนอกสถานที่ และขณะสวมใส่อาจจะเกิดความร้อนอบอ้าวที่ใบหูได้
หูฟังประเภท In-ear
Credit: OnePlus
หูฟังประเภทถัดมา จะเป็นหูฟังประเภท In-ear คือเป็นหูฟังตัวรูปทรงที่มีส่วนยื่นเข้าไปในรูหู และมีส่วนปลายเป็นยางหรือซิลิโคนอ่อนนุ่มลักษณะเป็นจุกเพื่อสอดลึกเข้าไปในรูหู หูฟังประเภทนี้ก็จะเป็นอีกหนึ่งประเภทที่ได้รับความนิยมมาก เพราะด้วยความที่มีท่อนำเสียงยาว และสอดลึกเข้าไปในรูหู ทำให้ผู้ใช้งานสามารถซึมซับรายละเอียดเสียงขณะรับฟังได้เป็นอย่างดี และด้วยลักษณะทางกายภาพที่เป็นจุกซิลิโคนเกาะแน่นภายในช่องรูหู ทำให้หูฟังนี้สามารถตัดเสียงรบกวนได้เป็นอย่างดี และหากมีระบบตัดเสียงรบกวนแบบ ANC ร่วมด้วย หูฟังประเภท In-ear นั้นจะเป็นหนึ่งในหูฟังที่สามารถตัดเสียงรบกวนได้ดีมากเลย แต่หูฟังประเภทนี้นั้น สำหรับคนที่มีช่องรูหูเล็ก ก็อาจจะรู้สึกสวมใส่ไม่ค่อยสบายเอาได้ เพราะอาจจะรู้สึกแน่นหูตลอดเวลาจากการที่หูฟังเสียบแน่นเข้าไป และการใช้งานหูฟังประเภทนี้อาจจะตัดเสียงรอบข้างออกไปมาก ทำให้อาจจะต้องระมัดระวังในการใช้งานนอกสถานที่ โดยเฉพาะริมถนนเป็นพิเศษ แต่ในปัจจุบัน ผู้ผลิตส่วนมากจะใส่ฟีเจอร์ Transparent Mode มาให้ในหูฟัง (ซึ่งอาจจะมีชื่อเรียกที่แตกต่างกันไปในแต่ละแบรนด์) เพื่อดูดเสียงภายนอกเข้ามาให้ผู้ใช้งานได้ยินเหมือนกับการใส่หูฟังประเภท Earbuds
หูฟังประเภท Earbuds
Credit: Apple
หูฟังประเภทถัดมา นั่นก็คือ หูฟังประเภท Earbuds หรือหูฟังที่ลักษณะของส่วนที่สวมใส่เข้ากับช่องหูนั้น จะเป็นลักษณะกลมมนและป้าน และสวมใส่เพื่อใช้งานโดยการวางไว้บริเวณช่องหูส่วนนอก หูฟังประเภทนี้เป็นหนึ่งในประเภทหูฟังที่สวมใส่สบาย สามารถรับฟังเสียงภายนอกได้ระดับหนึ่ง และเหมาะกับการใช้งานในชีวิตประจำวันทั่วไปในหลายๆ สถานการณ์ หูฟังประเภทนี้มีข้อดีคือสวมใส่สบาย เพราะไม่มีส่วนที่ยื่นเข้าไปในรูหู และมีขนาดที่เล็ก กระทัดรัด ทำให้ได้รับความนิยมมากในการใช้งาน แต่อาจจะมีข้อสังเกตุคือ ด้วยความที่หูฟังนั้นเกาะอยู่ช่องหูส่วนนอกเท่านั้น ความกระชับในการสวมใส่อาจจะน้อยกว่าหูฟังประเภท In-ear ทำให้บางครั้งในการใช้งานหูฟังอาจจะหลุดออกจากหูได้ง่าย และไม่เหมาะกับการใช้ในระหว่างออกกำลังกาย เพราะถ้าเหงื่อออกมาก หูฟังอาจจะหลุดร่วงออกจากหูและเกิดความเสียหายขึ้นได้ แต่ความไม่กระชับนี้อาจะแก้ไขได้ ด้วยการใช้ฟองน้ำหุ้มบริเวณตัวหูฟังเพื่อให้เกิดความกระชับขณะสวมใส่มากขึ้น
หูฟังประเภท Open Ear
Credit: Huawei
หูฟังประเภทสุดท้าย อาจจะเป็นหูฟังประเภทที่หลายคนไม่คุ้นเคยกันสักเท่าไหร่ นั่นก็คือ หูฟังประเภท Open Ear โดยหูฟังประเภทนี้จะเป็นหูฟังที่ไม่ต้องเสียบเข้าไปในรูหูหรือช่องหูชั้นนอกโดยตรง แต่จะอาศัยการเกาะหรือเกี่ยวกับใบหู และจะมีส่วนของไดรเวอร์วางอยู่ภายนอกตรงจุดที่ตรงกับช่องหู และจะมีช่องเพื่อให้ไดรเวอร์สามารถขับเสียงเข้าไปในหูให้เราสามารถได้ยินเสียงนั่นเอง โดยหูฟังประเภทนี้นั้นจะมีข้อดีคือมีความสบายในการสวมใส่ที่สูงมาก เนื่องจากไม่มีส่วนใดของหูฟังที่ยื่นเข้าไปในรูหูเลย ทำให้ไม่รู้สึกอึดอัดหูในระหว่างการใช้งาน และหูฟังประเภทนี้มักจะมีก้านที่สามารถเกาะกับใบหูได้อย่างกระชับและแน่นหนา ทำให้ไม่หลุดออกจากหูได้ง่ายๆ และเหมาะกับการใช้งานขณะที่ออกกำลังกายนั่นเอง ส่วนข้อสังเกตุของหูฟังประเภทนี้หลักๆ จะเป็นเรื่องของคุณภาพเสียง ที่ไดรเวอร์จะอยู่ค่อนข้างไกลหู ทำให้รายละเอียดเสียงที่ได้จะมาไม่ครบ และเนื่องจากไม่มีส่วนใดของหูฟังที่ยื่นเข้ามาในช่องรูหูเลย ทำให้จะได้ยินเสียงรบกวนจากภายนอกได้อย่างชัดเจน และเสียงจากหูฟังอาจจะเล็ดรอดออกไปภายนอกได้ถ้าเปิดใช้งานด้วยระดับเสียงที่ดัง
5 หูฟังบลูทูธ ยี่ห้อไหนดี กลุ่มราคาไม่เกี่ยง เสียงดีเป็นพอ
หลังจากเรียนรู้เกี่ยวกับประเภทหูฟังกันมาแล้ว ก็มาถึงในส่วนของการแนะนำหูฟังกันบ้าง เปิดมาชุดแรกก็บอกกันเลยว่าจัดเต็มคุณภาพแน่นอน กับ 5 หูฟังบลูทูธ ยี่ห้อไหนดี กลุ่มราคาไม่เกี่ยง เสียงดีเป็นพอ ที่บอกเลยว่า 5 ตัวในลิสต์นี้ แต่ละตัวนั้นมีความไม่ธรรมดา แถมบางตัวยังเป็นตัวท็อปของแบรนด์เครื่องเสียงชื่อดัง ที่การันตีได้ถึงคุณภาพกันสุดๆ มาดูกันว่า 5 ตัวที่เราจะนำมาแนะนำนั้น จะมีรุ่นอะไรกันบ้าง
1. Bose QuietComfort Ultra Earbuds
เมื่อพูดถึงแบรนด์เครื่องเสียง Bose เป็นหนึ่งในแบรนด์ในใจของสาย Audiophile หลายคนแน่นอน และแน่นอนว่าเมื่อแนะนำหูฟังแล้ว ก็พลาดไม่ได้ที่จะแนะนำ Bose QuietComfort Ultra Earbuds ที่ขึ้นชื่อเป็นอย่างมากในเรื่องของการตัดเสียงรบกวน เพราะสามารถตัดเสียงรบกวนได้ดีลำดับต้นๆ ของตลาดหูฟัง True Wireless ในปีนี้เลยก็ว่าได้ แถมยังมารูปแบบของหูฟัง In-ear ที่ให้คุณภาพเสียงดีมากๆ ตัวหนึ่งเลย บอกเลยว่าใครเงินถึง จัดตัวนี้เลย ถือเป็นหูฟังบลูทูธ ยี่ห้อไหนดีตัวจบตัวหนึ่งของตลาดเลยก็ว่าได้ แต่อาจจะมีข้อสังเกตุนิดนึงตรงที่คุณภาพของไมค์อาจจะไม่เทียบเท่า AirPods แต่ก็สามารถใช้งานได้ดีในระดับหนึ่งในการคุยสายสนทนา
คุณสมบัติ
- เสียงเบสแน่น กระชับ ลูกใหญ่
- ไมโครโฟนที่จับเสียงและตัดเสียงรบกวนได้เป็นอย่างดี
- ระบบตัดเสียงรบกวน Active Noise Cancelation ระดับ World Class
- ระบบเสียง Bose Immersive Audio ฟังเพลงได้อรรถรสแบบเต็มรูปแบบ
- กันเหงื่อและน้ำระดับ IPX4 สำหรับหลายสถานการณ์
- การควบคุมแบบสัมผัส ที่ทำได้หลายฟังก์ชั่น รวมไปถึงการสไลด์ขึ้น-ลง
- แบตเตอรี่ใช้งานต่อเนื่อง 6 ชั่วโมงต่อการชาร์จ และ 24 ชั่วโมงเมื่อรวมกับเคส
- ทำงานบน Bluetooth 5.3
- ราคา 11,490 บาท
2. Sennheiser Momentum True Wireless 4
อีกหนึ่งแบรนด์ที่ไม่พูดถึงไม่ได้ นั่นก็คือ Sennheiser ในเรื่องของคุณภาพเสียงระดับพระกาฬ และแน่นอนว่าพลาดไม่ได้ที่จะแนะนำ Sennheiser Momentum True Wireless 4 หูฟังรุ่นล่าสุดจากแบรนด์ที่พัฒนาคุณภาพจากตัวรุ่นที่ 3 มาพอสมควร โดยมาพร้อมกับกล่องเคสแบบกึ่งผ้ากำมะหยี่ ให้ความรู้สึกพรีเมี่ยม พร้อมตัวหูฟังรูปทรงถั่วแบบ In-ear ที่ให้ความกระชับในการสวมใส่และขนาดกำลังพอดีกับช่องหู ในเรื่องของคุณภาพเสียงนั้นจะพัฒนาขึ้นมาจากรุ่นที่ 3 พอสมควร ให้เบสที่ดี เสียงครบทุกย่าน และยังคงยืนหนึ่งในเรื่องของการตัดเสียงรบกวนระดับต้นๆ ของวงการ ใครที่อยากหาตัวจบของหูฟังไร้สาย รุ่นนี้ก็เป็นอีกหนึ่งรุ่นแนะนำเลย
คุณสมบัติ
- เคสรูปทรงเหลี่ยม ผิวสัมผัสกำมะหยี่ ให้ความรู้สึกพรีเมี่ยมขณะสัมผัส
- ไมโครโฟนข้างละ 3 ตัว รวม 6 ตัว ช่วยในการพูดคุยและตัดเสียงรบกวน
- ระบบตัดเสียงรบกวน Active Noise Cancelation ที่ทำงานแบบ Adaptive
- โทนเสียงสไตล์ Sennheiser Signature Sound
- การควบคุมแบบสัมผัส ที่กำหนดค่าได้เอง
- แบตเตอรี่ใช้งานต่อเนื่อง 7.5 ชั่วโมงต่อการชาร์จ และ 30 ชั่วโมงเมื่อรวมกับเคส
- ทำงานบน Bluetooth 5.4 ใหม่ล่าสุด
- ราคา 11,890 บาท
3. Apple AirPods Pro 2
เมื่อพูดถึงหูฟังบลูทูธ ยี่ห้อไหนดี มีตัวเลือกหนึ่งจะโผล่ขึ้นมาในใจของใครหลายๆ คน นั่นก็คือ AirPods Pro 2 นั่นเอง แน่นอนว่าตัวนี้ไม่ต้องพูดอะไรมาก ถือเป็นตัวจบหูฟัง True Wireless สำหรับคนที่ใช้งาน iPhone และ iPad เลยก็ว่าได้ เพราะว่าตัวนี้นั้นให้โทนเสียงกลางๆ ค่อนไปทางดี เบสไม่หนักมาก เรียกได้ว่าฟังเพลงเพลินๆ เลย และสำหรับใครที่ใช้ควบคู่กับ iPhone นั้นก็จะมีฟีเจอร์อีกมากมายให้ใช้งาน ทั้งการตัดเสียงรบกวนที่ถือว่าทำได้ดีมากๆ รวมไปถึงโหมด Transparency ที่ดูดเสียงรอบข้างได้เป็นธรรมชาติแบบหาใครเทียบยาก แถมยังรองรับ Spatial Audio อีกด้วย ทำให้ฟังเพลงได้อย่างมีมิติมากขึ้น และแน่นอนว่าด้วยความที่เป็นหูฟังยอดฮิต ทำให้เคสและอุปกรณ์เสริมนั้นมีเยอะมากๆ และในปีนี้เราขอแนะนำให้ซื้อรุ่นที่เป็นพอร์ตเชื่อมต่อ USB-C เพราะเป็นรุ่นที่ได้รับการอัปเกรดทั้งเคสและหูฟังให้มีประสิทธิภาพที่ดีมากขึ้น ใครใช้ iPhone อยู่ไม่ควรพลาดตัวนี้
คุณสมบัติ
- ระบบตัดเสียงรบกวน Active Noise Cancellation ขั้นเทพ และโหมด Transparency ที่ทำงานได้ยอดเยี่ยม
- ฟีเจอร์การสั่งงานด้วยการบีบ และการขยับหัวเพื่อสั่งการ (ใช้ได้กับ iOS เท่านั้น)
- ไมโครโฟนคู่แบบบีมฟอร์มมิ่ง ที่สนทนาได้เป็นอย่างดี
- ชิปหูฟัง Apple H2 และชิป Apple U1 ในเคสชาร์จ MagSafe
- กันน้ำและเหงื่อได้ในระดับ IP54 กันละอองน้ำกระเซ็นและเหงื่อ
- สามารถใช้งานได้ต่อเนื่องยาวนานถึง 6 ชั่วโมงต่อการชาร์จ 1 ครั้ง และชาร์จเพิ่มจากเคสได้อีกรวมเป็น 30 ชั่วโมง
- ราคา 7,990 บาท
4. Sony WF-1000XM5
อีกหนึ่งสุดยอดหูฟังบลูทูธ ยี่ห้อไหนดีในตำนาน ที่ขึ้นชื่อเรื่องการตัดเสียงรบกวนขั้นเทพและคุณภาพเสียงระดับพรีเมี่ยม หนีไม่พ้น Sony แน่นอน กับรุ่นล่าสุดในไลน์อัพหูฟัง True Wireless ขนาดเล็ก กับ Sony WF-1000XM5 ที่มาในรูปทรงเล็กกระทัดรัด แต่คุณภาพอัดแน่น ไม่ว่าจะเป็นการเชื่อมต่อ Bluetooth 5.3 ที่เสถียรและให้คุณภาพเสียงที่ดี พร้อมระบบตัดเสียงรบกวน Active Noise Canceling ระดับเทพจาก Sony ที่ตัดเสียงรบกวนออกแทบจะทั้งหมด และโหมด Transparency ที่สามารถดูดเสียงรอบข้างได้อย่างเป็นธรรมชาติ พร้อมเคสที่มีผิวสัมผัสแบบ Matte ให้ความรู้สึกพรีเมี่ยม และจุกหูฟังแบบ Memory Foam ที่จะยืดหยุ่นตามขนาดของช่องรูหู ทำให้สวมใส่สบายได้ตลอดทั้งวันมากยิ่งขึ้น ส่วนเรื่องคุณภาพเสียงนั้น ดีตามสไตล์ Sony เบสแน่น เสียงกลางดี เสียงร้องเด่น เป็นอีกหนึ่งตัวจบในราคาที่คุ้มค่าเลยก็ว่าได้ (ช่วงโปรโมชั่น อาจจะหาได้ในราคา 5 พันปลายๆ ด้วยนะ)
คุณสมบัติ
- ระบบตัดเสียงรบกวน Active Noise Cancellation ยอดเยี่ยมตามสไตล์ Sony และโหมด Transparency ที่ทำงานได้เป็นธรรมชาติ
- ฟีเจอร์การสั่งงานด้วยการสัมผัส กำหนดค่าได้ในแอปพลิเคชั่น
- ไมโครโฟน 6 ตัว ข้างละ 3 ตัว เพื่อการตัดเสียงรบกวนขณะสนทนา และการจับเสียงพูดอันยอดเยี่ยม
- จุกหูฟังแบบ Memory Foam ที่ให้ความสบายในการสวมใส่ และความกระชับ เพิ่มมิติเสียงและคุณภาพของ ANC
- กันน้ำและเหงื่อได้ในระดับ IPX4
- สามารถใช้งานได้ต่อเนื่องยาวนานถึง 8 ชั่วโมงต่อการชาร์จ 1 ครั้ง และชาร์จเพิ่มจากเคสได้อีกรวมเป็น 24 ชั่วโมง
- ราคา 9,490 บาท
5. Jabra Elite 10
เป็นอีกหนึ่งหูฟังบลูทูธระดับท็อปในราคาสุดคุ้มค่า เพราะในวันที่เขียนบทความนี้ สามารถหาซื้อได้ในราคา 5 พันกลางๆ และสามารถใช้คูปองส่วนลดเหลือเพียง 4 พันกว่าบาทเท่านั้น กับตัวนี้ Jabra Elite 10 สุดยอดหูฟังสวมใส่สบายจากแบรนด์ Jabra ที่เป็นผู้นำด้านหูฟังบลูทูธมากว่าสิบปี แน่นอนว่าตัวนี้เมื่อเป็นตัวท็อปของแบรนด์นั้นก็มีความสามารถที่ไม่ธรรมดาเลยก็ว่าได้ ทั้งจุกหูฟังแบบ Ear Gel ที่ทำให้สวมใส่สบายทั้งวัน การเชื่อมต่อ Bluetooth 5.3 ที่รวดเร็วและเสถียร สามารถใช้งานแยกข้างได้ รองรับ Dolby Atmos เสียงมีมิติมากขึ้น เบสที่ดี ไม่เยอะและไม่น้อยจนเกินไป เสียงระดับกลางฟังสนุกทุกประเภทของเพลง สามารถใช้งานออกกำลังกายได้ ใส่สบาย กระชับ ไมโครโฟนคุยสายระดับเทพ พร้อม Jabra Advanced ANC™ ระบบตัดเสียงรบกวนขั้นเทพสไตล์ Jabra ใครมองหาสเปกหูฟังระดับเรือธงในราคาคุ้มๆ ตัวนี้ห้ามพลาดเด็ดขาด
คุณสมบัติ
- ระบบตัดเสียงรบกวน Jabra Advanced ANC™ คุณภาพสูงตามแบบฉบับของ Jabra
- ฟีเจอร์การสั่งงานด้วยการสัมผัส กำหนดค่าได้ในแอปพลิเคชั่น
- ไมโครโฟน 6 ตัว ข้างละ 3 ตัว เพื่อการตัดเสียงรบกวนขณะสนทนา และการจับเสียงพูดอันยอดเยี่ยม
- จุกหูฟังแบบ Ear Gel ที่ให้ความสบายในการสวมใส่ และความกระชับ เพิ่มมิติเสียงและคุณภาพของ ANC
- กันน้ำและเหงื่อได้ในระดับ IP57 กันเหงื่อและกันน้ำได้ดีเยี่ยม
- สามารถใช้งานได้ต่อเนื่องยาวนานถึง 8 ชั่วโมงต่อการชาร์จ 1 ครั้ง และชาร์จเพิ่มจากเคสได้อีกรวมเป็น 36 ชั่วโมง
- ราคา 5,490 บาท
5 หูฟังบลูทูธ ยี่ห้อไหนดี กลุ่มราคาสบายกระเป๋า แต่เราให้เสียงเทพๆ
มาถึงโซนราคาประหยัดกันบ้าง กับหูฟังบลูทูธ ยี่ห้อไหนดี ในงบประมาณต่ำกว่า 4,000 บาท ที่ให้คุณภาพเสียงที่ดีเทียบเท่ารุ่นราคาแพง อาจจะมีฟีเจอร์ที่ไม่ครบครันเท่า แต่ก็ยังใช้งานได้ดีเยี่ยมทุกรุ่น มาดูกันว่า ในงบน้อยๆ นั้น มีตัวไหนที่น่าสนใจบ้าง
6. Nothing Ear (a)
มาเริ่มต้นกับหูฟังบลูทูธ ยี่ห้อไหนดีตัวแรกในงบต่ำกว่า 5,000 บาท กับแบรนด์ Nothing ที่คนทั่วไปอาจจะไม่คุ้นเคยชื่อแบรนด์นี้มากนัก แต่บอกได้เลยว่าในกลุ่มคนที่ชื่นชอบสมาร์ทโฟนและแก็ดเจ็ทแล้ว จะคุ้นเคยกับแบรนด์นี้เป็นอย่างดี กับหูฟัง True Wireless ระดับเทพในราคาเพียง 3,790 บาทเท่านั้น กับ Nothing Ear (a) ที่บอกได้เลยว่าเป็นหนึ่งในตัวคุ้มค่า กับสเปกที่เกินราคาไปพอสมควร ไม่ว่าจะเป็นการเชื่อมต่อ Bluetooth 5.3 เสถียรและดีเลย์น้อย พร้อมดีไซน์ที่เราบอกได้เลยว่าเท่และโดดเด่นสุดๆ เสียงของหูฟังนั้นก็เรียกได้ว่าเป็นเสียงที่หลายคนน่าจะชื่นชอบ เพราะให้รายละเอียดดีครบทุกย่าน เบสดี กลางดี แหลมไม่โดดเกินไป ทำให้เหมาะกับการฟังเพลงทุกแนว สำหรับตัวนี้หากใครงบไม่สูง แนะนำเลย
คุณสมบัติ
- ระบบตัดเสียงรบกวน ANC ที่ตัดเสียงรบกวนได้ราวๆ 45dB พร้อม AI ตัดเสียงรบกวนอัจฉริยะ
- ฟีเจอร์การสั่งงานด้วยการบีบก้าน กำหนดค่าได้ในแอปพลิเคชั่น
- ไมโครโฟน 6 ตัว ข้างละ 3 ตัว สามารถใช้สนทนาได้ดีเยี่ยม
- จุกหูฟังที่ให้ความสบายในการสวมใส่ และความกระชับ
- กันน้ำและเหงื่อได้ในระดับ IP54 กันเหงื่อและกันน้ำได้ระดับดี
- สามารถใช้งานได้ต่อเนื่องยาวนานถึง 9.5 ชั่วโมงต่อการชาร์จ 1 ครั้ง และชาร์จเพิ่มจากเคสได้อีกรวมเป็น 42.5 ชั่วโมง
- ราคา 3,799 บาท
7. Huawei FreeBuds 5
หลายท่านอาจจะยังไม่รู้ว่า Huawei นั้นเริ่มหันมาพัฒนา Wearable Device ที่มีฟีเจอร์ยอดเยี่ยมหลากหลายตัว ไม่ว่าจะเป็นนาฬิกา หรือหูฟัง อย่างตัวที่เราจะหยิบยกมาแนะนำ นั่นก็คือ Huawei FreeBuds 5 ก็เป็นอีกหนึ่งในหูฟัง True Wireless ราคาประหยัดสุดคุ้มค่า ที่สวมใส่ได้อย่างสบาย และดีไซน์โดดเด่นอีกด้วย เพราะรุ่นนี้เป็นหูฟังแบบ Earbuds ที่ใส่สบาย และรูปทรงหูฟังที่ได้แรงบันดาลใจมาจาก Prince Rupert’s Drop ทำให้หยิบจับได้ง่าย ส่วนคุณภาพเสียงนั้นเรียกได้ว่าดีมาก เบสแน่น เสียงกลางดี ใช้ฟังเพลงได้ทุกแนว แถมไมโครโฟนนั้นยังให้คุณภาพสนทนาที่ดีมากๆ แต่อาจจะเหมาะกับการใช้งานทั่วไป ไม่เหมาะกับใช้ออกกำลังกาย เพราะอาจจะหลุดจากหูได้นั่นเอง (สามารถใส่ซิลิโคนที่มีมาให้ในกล่องเพื่อเพิ่มความกระชับระหว่างใช้งานได้)
คุณสมบัติ
- ระบบตัดเสียงรบกวน ANC ที่ตัดเสียงรบกวนในย่านต่ำๆ ได้เล็กน้อย
- ฟีเจอร์การสั่งงานด้วยการสัมผัส กำหนดค่าได้ในแอปพลิเคชั่น
- ไมโครโฟน 3 ตัว สามารถใช้สนทนาได้ดีเยี่ยม
- รองรับ Hi-res Audio และ Codec แบบ LDAC ให้คุณภาพเสียงที่ยอดเยี่ยม
- กันน้ำและเหงื่อได้ในระดับ IP54 กันเหงื่อและละอองน้ำได้
- สามารถใช้งานได้ต่อเนื่องยาวนานถึง 5 ชั่วโมงต่อการชาร์จ 1 ครั้ง และชาร์จเพิ่มจากเคสได้อีกรวมเป็น 30 ชั่วโมง
- ราคา 3,299 บาท
8. Sony LinkBuds S
ใครอยากได้ WF-1000XM5 แต่งบประมาณไม่ถึง ลองมามองที่ตัวนี้ได้เลย กับ Sony LinkBuds S ที่บอกเลยว่าคุณภาพดีไม่ต่างจากรุ่นพี่ แต่เพิ่มเติมคือมาในน้ำหนักที่เบามาก และมีขนาดที่เล็ก สามารถสวมใส่ได้สบายทั้งวัน พร้อมการตัดเสียงรบกวนแบบ ANC ที่ทำงานได้ดีเยี่ยมไม่แพ้รุ่นพี่เลย นอกจากนั้นยังมีผิวสัมผัสแบบ Matte ให้ความพรีเมี่ยมไม่ต่างจากรุ่นราคาแพง ในราคาที่เบากว่าเกือบครึ่ง แต่ส่วนของราคา แม้ราคาขายปกติอาจจะอยู่ที่ 5,790 ซึ่งอาจจะสูงกว่าตัวอื่นในโซนนี้ แต่พอช่วงลดราคาโปรโมชั่นต่างๆ ก็อาจจะหาได้ในราคาที่ 4 พันต้นๆ ทำให้เป็นอีกหนึ่งตัวที่มีราคาคุ้ม เสียงดี ที่เราอยากแนะนำให้กับทุกคนเลย
คุณสมบัติ
- ระบบตัดเสียงรบกวน ANC คุณภาพสูงตามแบบฉบับของ Sony
- ฟีเจอร์การสั่งงานด้วยการสัมผัส กำหนดค่าได้ในแอปพลิเคชั่น
- ไมโครโฟนรับเสียงสนทนาคมชัด ตัดเสียงรบกวนได้ดี
- รองรับ Hi-res Audio และ Codec แบบ LDAC ให้คุณภาพเสียงที่ยอดเยี่ยม
- กันน้ำและเหงื่อได้ในระดับ IPX4 กันเหงื่อและละอองน้ำได้
- สามารถใช้งานได้ต่อเนื่องยาวนานถึง 6 ชั่วโมงต่อการชาร์จ 1 ครั้ง และชาร์จเพิ่มจากเคสได้อีกรวมเป็น 20 ชั่วโมง
- ราคา 5,799 บาท
9. Tozo Tonal Fits
มาถึงตัวเด็ดราคาคุ้มสุดๆ กันบ้าง กับราคาเพียง 1,599 บาทเท่านั้น โดยเป็นหูฟังจากแบรนด์ Tozo แบรนด์ดังจากสหรัฐอเมริกา ที่ขึ้นชื่อเรื่องคุณภาพเสียงเบสที่แน่นตึ้บในราคาสุดคุ้ม กับ Tozo Tonal Fits หูฟังทรง Earbuds กับคุณภาพเสียงเบสระดับพระกาฬ ที่บอกเลยว่า สายฟังเพลง EDM นั้นจะต้องชื่นชอบมากแน่นอน เพราะหูฟังตัวนี้ให้คุณภาพเสียงเบสที่ดีที่สุดในงบราคานี้ ส่วนย่านเสียงอื่นๆ อาจจะไม่โดดเด่นเท่าเบส แต่ยังคงให้คุณภาพเสียงที่ดี พร้อมโมโครโฟนที่สามารถคุยสายสนทนาได้อย่างดีเยี่ยม สำหรับใครที่ชอบหูฟังราคาสุดคุ้มที่ให้เสียงเบสดี บอกเลยว่า Tozo ตัวนี้ตอบโจทย์อย่างแน่นอน
คุณสมบัติ
- เสียงเบสแน่น โดดเด่น ตามสไตล์ Tozo
- ฟีเจอร์การสั่งงานด้วยการสัมผัสก้านหูฟัง กำหนดค่าได้ในแอปพลิเคชั่น
- ไมโครโฟนรับเสียงสนทนาคมชัด ใช้งานได้ดีเยี่ยม
- กันน้ำและเหงื่อได้ในระดับ IPX6 กันเหงื่อและละอองน้ำได้ดี
- สามารถใช้งานได้ต่อเนื่องยาวนานถึง 10 ชั่วโมงต่อการชาร์จ 1 ครั้ง และชาร์จเพิ่มจากเคสได้อีกรวมเป็น 44 ชั่วโมง
- ราคา 1,590 บาท
10. realme Buds T300
มาถึงตัวสุดท้ายกันแล้ว กับมหาเทพที่ขึ้นชื่อลือชาในกลุ่มผู้ใช้งานหูฟัง True Wireless เพราะเป็นรุ่นที่ราคาต่ำกว่า 1,000 บาทที่ให้คุณภาพในการใช้งานครบครันรอบด้าน และทุกฟีเจอร์นั้นใช้งานได้จริงอย่างมีประสิทธิภาพ กับ realme Buds T300 หูฟัง In-ear ในงบประมาณ 1,089 บาท ที่มีโปรโมชั่นลดราคาประจำ สามารถกดได้ในราคาประมาณ 700-800 บาท หรือช่วงโปรโมชั่นก็อาจจะลดไปได้ถึง 500 บาทเลยทีเดียว ส่วนคุณภาพนั้นไม่ต้องพูดเยอะ เป็นตัวที่เรียกได้ว่าให้คุณภาพการใช้งานเกินงบไปมาก ไม่ว่าจะเป็น คุณภาพเสียงที่ดี เบสดี เสียงสนทนาที่ทำได้ดี รวมไปถึงการตัดเสียงรบกวนที่แม้จะมีค่าตัวต่ำกว่าพัน แต่สามารถตัดเสียงรบกวนได้ดีเกินค่าตัวไปมาก เรียกได้ว่าไม่ต้องขายอะไรมาก ลองซื้อเลย รับรองเป็นหนึ่งในตัวจบงบต่ำกว่า 1,000 บาทที่คุ้มมากอีกตัวหนึ่งเลย
คุณสมบัติ
- คุณภาพเสียงดีที่สุด ในงบราคาต่ำกว่า 1,000 บาท
- เชื่อมต่อผ่านบลูทูธ 5.3 คุณภาพเสียงดี การเชื่อมต่อเสถียร
- ฟีเจอร์การสั่งงานด้วยการสัมผัสก้านหูฟัง กำหนดค่าได้ในแอปพลิเคชั่น
- ไมโครโฟนรับเสียงสนทนาคมชัด ใช้งานได้ดีเยี่ยม
- กันน้ำและเหงื่อได้ในระดับ IP55 กันเหงื่อและละอองน้ำได้ดี
- สามารถใช้งานได้ต่อเนื่องยาวนานถึง 7 ชั่วโมงต่อการชาร์จ 1 ครั้ง และชาร์จเพิ่มจากเคสได้อีกรวมเป็น 40 ชั่วโมง
- ราคา 1,089 บาท
เป็นอย่างไรกันบ้างกับหูฟังบลูทูธ ยี่ห้อไหนดีที่ Shopee Blog หยิบยกมาฝากทุกคนในบทความนี้ ถ้าสนใจล่ะก็ สามารถสั่งซื้อได้ตามลิงก์ที่แปะไว้ให้ได้เลยนะจ้ะ แต่ถ้าหูฟังบลูทูธยังไม่จุใจสายฟังเพลง อย่าลืมไปลองดูลำโพงบลูทูธ ซาวน์บาร์ หรือหาเครื่องเสียงรถยนต์ อยู่ ก็ตามไปซื้อได้เลยที่ Shopee นะ แล้วพบกันใหม่บทความหน้าจ้า