เคยไหมเวลานั่งดูอนิเมะกีฬาอย่าง ไฮคิว!! แล้วรู้สึกตื่นเต้นกับจังหวะ “รับ – เซต – ตบ” ของทีมวอลเลย์บอล ที่เคลื่อนที่กันอย่างเป็นระบบ จนอยากลองเล่นหรืออย่างน้อยก็อยากดูให้เข้าใจมากขึ้น วอลเลย์บอลไม่ใช่แค่เกมตีลูกข้ามเน็ตเท่านั้น แต่ยังเต็มไปด้วยเทคนิค กติกา และตำแหน่งผู้เล่นที่ซับซ้อนกว่าที่คิด บทความนี้จะพาเพื่อน ๆ ไปรู้จัก กติกาวอลเลย์บอล ตั้งแต่ประวัติ จุดเริ่มต้น วิธีการเล่น ตําแหน่งวอลเลย์บอล แต่ละตำแหน่ง ไปจนถึง กฎกติกาวอลเลย์บอล ที่ควรรู้ เพื่อให้ทั้ง “เล่น” และ “ดู” กีฬาโปรดชนิดนี้ได้สนุกยิ่งกว่าเดิม

หัวข้อต่างๆ ของบทความนี้
ประวัติย่อของวอลเลย์บอล ที่มา กำเนิด และพัฒนาการ
วอลเลย์บอลถูกคิดค้นโดย วิลเลียม จี. มอร์แกน (William G. Morgan) ครูฝึกของสมาคม YMCA ในรัฐแมสซาชูเซตส์ สหรัฐอเมริกา เขาต้องการสร้างกีฬาที่ผสมผสานระหว่างความเคลื่อนไหวของบาสเกตบอล ความสง่างามของเทนนิส และความยืดหยุ่นของแฮนด์บอล แต่ไม่ต้องใช้แรงปะทะสูง จึงเกิดแนวคิดให้ “ตีลูกบอลข้ามตาข่าย” แทนการปะทะกันโดยตรง เดิมทีใช้ลูกบาสเกตบอลหุ้มหนัง แต่ภายหลังได้ออกแบบลูกเฉพาะสำหรับกีฬานี้โดยบริษัท Spalding ในปี 1900 ซึ่งกลายเป็นต้นแบบของลูกวอลเลย์บอลในปัจจุบัน
กีฬานี้เริ่มได้รับความนิยมใน YMCA ทั่วสหรัฐฯ ก่อนจะแพร่หลายไปยังประเทศอื่นผ่านทหารอเมริกันในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ต่อมาในปี 1947 ได้มีการก่อตั้งองค์กร FIVB (Fédération Internationale de Volleyball) เพื่อกำหนดมาตรฐานสากลทั้งในด้านกติกา สนาม และการแข่งขันอย่างเป็นทางการ
จากนั้นในปี 1964 วอลเลย์บอลได้ถูกบรรจุในโอลิมปิกเป็นครั้งแรกที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ถือเป็นก้าวสำคัญที่ทำให้กีฬานี้กลายเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก และต่อมาในปี 1996 ยังมีการเพิ่มประเภท “วอลเลย์บอลชายหาด” เข้าสู่การแข่งขันโอลิมปิกอีกด้วย
ปัจจุบันวอลเลย์บอลถือเป็นหนึ่งในกีฬาที่มีผู้เล่นและแฟนคลับมากที่สุดในโลก ทั้งในระดับสมัครเล่น โรงเรียน มหาวิทยาลัย ไปจนถึงลีกอาชีพทั่วทุกทวีป
กติกาการเล่นพื้นฐาน เข้าใจง่ายก่อนลงรายละเอียด
ก่อนที่เพื่อน ๆ จะลงสนามจริง สิ่งสำคัญที่สุดคือการเข้าใจ “กติกาการเล่นวอลเลย์บอลพื้นฐาน” เพราะนี่คือหัวใจของเกมทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการเสิร์ฟ การรับลูก หรือแม้แต่การยืนตำแหน่ง ทุกอย่างล้วนมีกฎระเบียบที่ชัดเจน ซึ่งถูกกำหนดโดยสมาพันธ์วอลเลย์บอลนานาชาติ (FIVB) เพื่อให้การแข่งขันเป็นธรรมและสนุกเท่าเทียมกันทั้งสองฝ่าย นอกจากจะรู้วิธีเล่นแล้ว การเข้าใจเรื่อง ขนาดสนามวอลเลย์บอล และ ลูกวอลเลย์บอล ที่ใช้ในการแข่งขันก็สำคัญไม่แพ้กัน เพราะทั้งสองอย่างนี้ส่งผลต่อการควบคุมลูกและจังหวะเกมโดยตรง หากเพื่อน ๆ เข้าใจพื้นฐานเหล่านี้ได้ จะสามารถดูและเล่นวอลเลย์บอลได้อย่างเข้าใจเหมือนนักกีฬาอาชีพเลยทีเดียว
โดยภาพรวมแล้ว กติกาพื้นฐานของวอลเลย์บอลมีดังนี้:
- เกมนี้เล่นโดยสองทีม ฝั่งละ 6 คน (ในรูปแบบมาตรฐานของ FIVB)
- เป้าหมายคือส่งลูกบอลให้ตกในสนามของคู่แข่ง หรือบังคับให้ฝ่ายตรงข้ามทำผิดพลาด
- แต่ละทีมสามารถสัมผัสลูกได้ไม่เกิน 3 ครั้ง ก่อนส่งข้ามเน็ต และห้ามผู้เล่นคนเดิมสัมผัสสองครั้งติดกัน
- สนามวอลเลย์บอลมีขนาดมาตรฐาน 9 × 18 เมตร แบ่งครึ่งด้วยตาข่ายสูง 2.43 เมตร สำหรับผู้ชาย และ 2.24 เมตร สำหรับผู้หญิง
- ลูกวอลเลย์บอลที่ใช้แข่งขันมีเส้นรอบวง 65–67 เซนติเมตร น้ำหนักประมาณ 260–280 กรัม และต้องทำจากหนังหรือวัสดุสังเคราะห์ที่ยืดหยุ่น เพื่อให้การควบคุมลูกมีความแม่นยำ
การเข้าใจเรื่องสนามและอุปกรณ์ รวมถึงกฎการเล่นพื้นฐานเหล่านี้ จะช่วยให้เพื่อน ๆ มองเห็นภาพรวมของเกมวอลเลย์บอลได้ชัดเจนขึ้น ก่อนจะไปต่อในรายละเอียดของ “วิธีนับคะแนน” และ “บทบาทของผู้เล่นในสนาม” ที่เราจะพูดถึงต่อไป

วิธีนับคะแนน
ก่อนจะเริ่มแข่งขันหรือแม้แต่ดูเกมให้เข้าใจ หนึ่งในสิ่งที่เพื่อน ๆ ควรรู้คือ “วิธีนับคะแนนในวอลเลย์บอล” เพราะนี่คือหัวใจสำคัญของทุกแมตช์ หลายคนอาจเคยสงสัยว่าทำไมบางทีมไม่ได้เสิร์ฟแต่กลับได้คะแนน หรือทำไมบางแมตช์เล่นยาวกว่าปกติ ทั้งหมดนี้อยู่ภายใต้ระบบคะแนนที่เรียกว่า “Rally Point System” ซึ่งเป็นมาตรฐานที่ใช้ทั่วโลกในปัจจุบัน ระบบนี้ทำให้เกมเร็วขึ้น สนุกขึ้น และลุ้นได้ทุกแต้ม แม้แต่จังหวะเล็ก ๆ ก็สามารถเปลี่ยนผลการแข่งขันได้ทันที
โดยสรุปหลักของการนับคะแนนใน กติกาวอลเลย์บอล มีดังนี้:
- ทุกครั้งที่มีการเล่นหนึ่งช่วง (rally) จะต้องมีทีมหนึ่งได้คะแนน ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายเสิร์ฟหรือรับ
- หากทีมใดทำให้ลูกบอลตกในฝั่งคู่แข่ง หรือคู่แข่งทำผิดพลาด เช่น ลูกออกนอก สัมผัสเน็ต หรือส่งบอลเกิน 3 ครั้ง จะได้คะแนนทันที
- ทีมที่ได้คะแนนจะเป็นฝ่ายเสิร์ฟในลูกถัดไป
- หนึ่งเซตจะเล่นถึง 25 คะแนน และต้องชนะด้วยคะแนนห่างอย่างน้อย 2 แต้ม เช่น 25–23 หรือ 26–24
- หากต้องแข่งจนถึงเซตตัดสิน (เซตที่ 5) จะเล่นเพียง 15 คะแนน แต่ยังคงต้องชนะด้วยความห่าง 2 แต้มเช่นเดิม
ระบบนับคะแนนแบบนี้ทำให้ทุกแต้มในเกมมีความหมาย และเปิดโอกาสให้ทีมที่เป็นรองสามารถพลิกกลับมาชนะได้ตลอดเวลา
จำนวนผู้เล่นในแต่ละทีม
ก่อนที่เพื่อน ๆ จะเริ่มเล่นวอลเลย์บอลจริง สิ่งสำคัญที่ควรรู้คือ “จำนวนผู้เล่นในแต่ละทีม” และลำดับการหมุนเวียนตำแหน่ง เพราะวอลเลย์บอลเป็นกีฬาที่ต้องอาศัยทั้งทีมเวิร์กและความเข้าใจในตำแหน่งของตนเอง ไม่ใช่เพียงแค่ตีลูกให้ข้ามเน็ตเท่านั้น แต่ทุกตำแหน่งมีหน้าที่เฉพาะและมีผลโดยตรงต่อจังหวะเกม การรู้ว่ามีผู้เล่นกี่คน อยู่ตรงไหน และต้องขยับเมื่อใด จะช่วยให้การเล่นของทีมเป็นระบบและลดข้อผิดพลาดได้มาก
โดยกติกามาตรฐานของ กติกาวอลเลย์บอลในร่ม (Indoor Volleyball) มีรายละเอียดดังนี้:
- แต่ละทีมมีผู้เล่น 6 คนในสนาม แบ่งเป็น 3 คนอยู่แนวหน้า (Front Row) และ 3 คนอยู่แนวหลัง (Back Row)
- ผู้เล่นต้องยืนตามตำแหน่งที่กำหนดไว้ในตอนเริ่มแต่ละรอบการเสิร์ฟ เพื่อให้การหมุนเวียนตำแหน่ง (Rotation) เป็นไปตามกติกา
- เมื่อทีมได้สิทธิ์เสิร์ฟ ผู้เล่นทุกคนจะ หมุนตำแหน่งตามเข็มนาฬิกา โดยคนในแนวหลังจะขยับขึ้นแนวหน้า และแนวหน้าจะเลื่อนไปทางขวา เพื่อรักษาลำดับการเล่นให้ถูกต้อง
- หากผู้เล่นยืนผิดตำแหน่ง หรือหมุนไม่ถูกลำดับ จะถือเป็นการ ฟาวล์ตำแหน่ง (Rotation Fault) ซึ่งทำให้เสียแต้มให้ฝ่ายตรงข้ามทันที
- นอกจากนี้ แต่ละทีมสามารถมี ผู้เล่นสำรอง ได้สูงสุดถึง 6 คน และสามารถเปลี่ยนตัวได้หลายครั้งต่อเซต แต่ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขของแต่ละลีก เช่น การเปลี่ยนตัวต้องทำในช่วงที่ผู้ตัดสินอนุญาตเท่านั้น
การเข้าใจระบบผู้เล่นและตำแหน่งเหล่านี้ จะช่วยให้เพื่อน ๆ มองเห็นว่าเหตุใดการสื่อสารในทีมวอลเลย์บอลถึงสำคัญมาก และทำไมทุกคนถึงต้องเคลื่อนที่พร้อมกันอย่างมีแบบแผนในทุกจังหวะของเกม

การเสิร์ฟ การบล็อก การรับลูก
ก่อนที่เพื่อน ๆ จะเริ่มฝึกเล่นหรือชมการแข่งขันวอลเลย์บอลอย่างเข้าใจ สิ่งสำคัญที่ควรรู้คือ “ทักษะหลักของเกม” ซึ่งเป็นพื้นฐานของการเล่นทั้งหมด ไม่ว่าทีมจะเก่งแค่ไหน หากขาดทักษะเหล่านี้ก็ยากที่จะรักษาเกมหรือทำแต้มได้ วอลเลย์บอลเป็นกีฬาที่ต้องใช้ทั้งพลัง ความแม่นยำ และการประสานงานระหว่างผู้เล่นในทุกจังหวะ โดยเฉพาะ 3 ทักษะสำคัญ ได้แก่ การเสิร์ฟ (Serve), การรับลูก (Receive/Dig/Pass) และ การบล็อกหรือการตบ (Block/Spike) ที่ทำให้เกมสมบูรณ์แบบทั้งรุกและรับ การเข้าใจรายละเอียดของแต่ละทักษะจะช่วยให้เพื่อน ๆ เล่นได้ถูกต้องและมองเห็นความงามของเกมมากขึ้น
โดยใน กฎกติกาการเล่นวอลเลย์บอล ทักษะทั้งสามมีรายละเอียดดังนี้:
การเสิร์ฟ (Serve)
เป็นจังหวะเริ่มเกมทุกครั้ง และถือว่าเป็นการเปิดโอกาสทำแต้มก่อนฝ่ายตรงข้าม ผู้เล่นที่ได้สิทธิ์เสิร์ฟจะยืนหลังเส้นหลังสนาม โยนหรือตีลูกด้วยมือข้ามเน็ตไปยังฝั่งคู่แข่ง เป้าหมายคือให้ลูกพุ่งแรงหรือหมุนจนอีกฝ่ายรับยาก ถ้าเสิร์ฟแล้วลูกตกในสนามโดยตรงโดยที่คู่แข่งรับไม่ได้ จะเรียกว่า “เอซ (Ace)” ซึ่งได้คะแนนทันที นอกจากนี้ยังมีหลายรูปแบบ เช่น เสิร์ฟลอย (Float Serve) และเสิร์ฟกระโดด (Jump Serve) ซึ่งต้องอาศัยแรงและความแม่นยำสูง
การรับลูก (Receive / Pass / Dig)
เป็นทักษะสำคัญในเกมรับ ที่ช่วยให้ทีมยังคงควบคุมบอลและเปลี่ยนจากรับเป็นรุกได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผู้เล่นต้องใช้แขนทั้งสองข้างรับแรงปะทะของลูกที่มาด้วยความเร็ว แล้วส่งต่อให้เซตเตอร์เพื่อเริ่มเกมรุก ท่ารับที่ถูกต้องต้องรักษาท่าทางต่ำ มีสมดุล และมองลูกตลอดเวลา หากทีมมีผู้เล่นที่รับลูกดี เกมรุกจะไหลลื่นขึ้นทันที
การบล็อก / การตบ (Block / Spike)
เป็นจังหวะที่ตื่นเต้นที่สุดในเกมและมักเป็นตัวชี้ขาดคะแนน การบล็อกคือการกระโดดขึ้นหน้าเน็ตเพื่อป้องกันการตบของคู่แข่ง โดยพยายามให้ลูกเด้งกลับไปฝั่งตรงข้าม ส่วนการตบคือการโจมตีโดยใช้มือกระแทกลูกลงในสนามฝ่ายตรงข้ามอย่างรุนแรงและแม่นยำ การจะทำได้ดีต้องอาศัยการกระโดดสูง จังหวะที่ถูกต้อง และการประสานงานกับเซตเตอร์
เมื่อเพื่อน ๆ เข้าใจพื้นฐานของการเสิร์ฟ รับลูก และบล็อก/ตบแล้ว จะมองเห็นเกมได้ลึกขึ้นกว่าเดิม รู้ว่าทำไมจังหวะหนึ่งถึงได้คะแนน หรือเหตุใดจังหวะหนึ่งถึงพลาด ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการ “อ่านเกมวอลเลย์บอล” อย่างแท้จริง
ตำแหน่งผู้เล่นในสนาม ชื่อตำแหน่งวอลเลย์บอลและหน้าที่
ก่อนจะไปทำความรู้จักแต่ละตำแหน่งอย่างละเอียด เพื่อน ๆ ควรรู้ก่อนว่า “ตำแหน่งผู้เล่นในสนามวอลเลย์บอล” ไม่ได้ถูกจัดแบบสุ่ม แต่เป็นระบบที่ออกแบบมาเพื่อให้การเล่นมีประสิทธิภาพสูงสุด แต่ละตำแหน่งมีบทบาทเฉพาะที่ส่งผลโดยตรงต่อการรุก รับ และจังหวะของเกม ทั้งสามตำแหน่งหลักที่สำคัญที่สุดในทีมคือ ตัวเซต (Setter), ตัวตบ (Spiker) และ ลิเบอโร่ (Libero) ซึ่งทำหน้าที่ต่างกันแต่ต้องประสานกันอย่างลงตัว เพื่อให้ทีมสามารถหมุนเวียนเกมได้อย่างลื่นไหล การเข้าใจตำแหน่งเหล่านี้จะช่วยให้เพื่อน ๆ ดูเกมสนุกขึ้น และเล่นได้อย่างเข้าใจโครงสร้างของทีมมากขึ้น
ตัวเซต (Setter)
ตำแหน่ง เซตเตอร์ (Setter) คือผู้ควบคุมจังหวะเกม เปรียบเสมือน “มันสมองของทีม” ที่คอยจัดลูกให้ผู้เล่นคนอื่นทำแต้ม โดยมักจะอยู่ใกล้เน็ตและเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วตลอดเกม
หน้าที่หลัก:
- รับบอลจากเพื่อนร่วมทีมที่รับลูกเสิร์ฟหรือรับการโจมตี แล้ว “ตั้งบอล” (Set) ให้ตัวตบในตำแหน่งที่เหมาะสมที่สุด
- อ่านเกมของคู่แข่ง และตัดสินใจเลือกแนวทางการรุก เช่น จะให้บอลเร็ว บอลช้า หรือบอลหลอก เพื่อสร้างความสับสนให้ฝ่ายตรงข้าม
- ต้องมีความแม่นยำสูง สื่อสารเก่ง และคุมจังหวะทีมให้มั่นคง
เพิ่มเติม: เซตเตอร์มักเป็นผู้เล่นที่มีความเป็นผู้นำ เพราะทุกการโจมตีเริ่มจากการตัดสินใจของพวกเขา
ตัวอย่างนักกีฬาทีมชาติไทยที่เป็นตำแหน่งนี้ : นุศรา ต้อมคำ, นัทธณิชา ใจแสน, พรพรรณ เกิดปราชญ์
ตัวตบ (Spiker / Outside Hitter / Opposite)
ตำแหน่ง ตัวตบ หรือที่เรียกอีกอย่างว่า ฮิตเตอร์ (Hitter) คือผู้เล่นที่มีหน้าที่โจมตีเพื่อทำคะแนนโดยตรงจากการตบลูกบอลลงฝั่งคู่แข่ง พลังและความแม่นยำคือหัวใจของตำแหน่งนี้
หน้าที่หลัก:
- รับบอลจากเซตเตอร์ แล้วกระโดดโจมตี (Spike) ให้บอลตกในสนามคู่แข่งหรือทำให้รับยาก
- มีบทบาทในเกมรับด้วย โดยช่วยบล็อกการโจมตีของคู่แข่งที่หน้าเน็ต
- ต้องฝึกจังหวะกระโดด การวางมุมตบ และการใช้แรงมือให้เหมาะสมกับสถานการณ์
เพิ่มเติม: ตัวตบที่ดีจะไม่พึ่งพาแค่พลัง แต่ยังต้องอ่านเกมได้รวดเร็ว และรู้วิธีใช้ลูกหลอกหรือเปลี่ยนจังหวะเพื่อหลอกคู่แข่ง
ตัวอย่างนักกีฬาทีมชาติไทยที่เป็นตำแหน่งนี้ : ชัชชุอร โมกศรี, อัจฉราพร คงยศ,พิมพิชยา ก๊กรัมย์, วิภาวี ศรีทอง
ลิเบอโร่ (Libero)
ตำแหน่ง ลิเบอโร่ (Libero) เป็นผู้เล่นพิเศษที่สวมเสื้อคนละสีกับเพื่อนร่วมทีม เพื่อให้ผู้ตัดสินสังเกตได้ง่าย ลิเบอโร่จะเล่นเฉพาะแนวหลังเท่านั้น และมีหน้าที่หลักในการป้องกันและควบคุมเกมรับของทีม
ข้อควรรู้:
- เล่นได้เฉพาะใน “แถวหลัง (Back Row)” ห้ามกระโดดตบหรือบล็อกเหนือเน็ต
- เป็นผู้เล่นที่มีทักษะการรับลูกเสิร์ฟ (Serve Receive) และขุดลูก (Dig) ที่ดีที่สุดในทีม
- มีหน้าที่ช่วยทีมตั้งเกมจากการรับลูกแรกให้เซตเตอร์ทำงานง่ายขึ้น
เพิ่มเติม: แม้จะไม่ได้มีบทบาทในการทำคะแนนโดยตรง แต่ลิเบอโร่ถือเป็น “ผู้กู้ชีวิตของทีม” เพราะสามารถพลิกสถานการณ์จากการป้องกันที่ยอดเยี่ยมให้กลายเป็นเกมรุกได้ภายในพริบตา
ตัวอย่างนักกีฬาทีมชาติไทยที่เป็นตำแหน่งนี้ : ปิยะนุช แป้นน้อย, สุพัตรา ไพโรจน์, ทอง บุญเกื้อ
กฎ กติกาที่ควรรู้ สิ่งที่มักถูกมองข้ามแต่มีความสำคัญ
เมื่อเข้าใจภาพรวมเกมและตำแหน่งผู้เล่นแล้ว ต่อไปคือ “กฎกติกาที่ควรรู้” ซึ่งเป็นพื้นฐานของ กติกาการเล่นวอลเลย์บอล โดยไม่ได้พูดถึงแค่การเล่นพื้นฐานเท่านั้น แต่รวมถึง การฟาวล์ การเปลี่ยนตัว และกฎเฉพาะของการแข่งขัน
ในสนามแข่งขันจริง นอกจากต้องรู้ กติกาการเล่นพื้นฐานแล้ว ยังมี “กฎเฉพาะ” ที่หากละเมิดอาจเสียคะแนนทันที เช่น การเสิร์ฟผิด, การสัมผัสเน็ต, การขึ้นบล็อกในตำแหน่งไม่ถูกต้อง ฯลฯ การเข้าใจจุดนี้จะช่วยให้เพื่อน ๆ ไม่ถูกเสียเปรียบหรือเข้าใจผิดเมื่อดูการแข่งขัน
การฟาวล์ (Foul/Violation)
การฟาวล์ถือเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นบ่อยในเกม โดยอาจมาจากการเคลื่อนไหวผิดตำแหน่ง หรือเล่นบอลผิดวิธี ซึ่งจะทำให้ฝ่ายตรงข้ามได้คะแนนทันที
ตัวอย่างกฎที่ถือว่าฟาวล์ ได้แก่:
- ผู้เล่นสัมผัส ตาข่าย (Net) ระหว่างการเล่น ไม่ว่าจะเป็นมือ เสื้อ หรือส่วนใดของร่างกาย ถือเป็นการละเมิดกติกา
- บอลตก นอกเขตสนามของฝ่ายตรงข้าม (แม้เพียงเส้นเดียว) ถือว่าเสียคะแนนให้คู่แข่ง
- การสัมผัสบอล เกิน 3 ครั้งต่อฝั่ง หรือผู้เล่นคนเดิมสัมผัสสองครั้งติดกัน (Double Hit) ถือเป็นการฟาวล์
- ผู้เล่น ยืนผิดตำแหน่ง ตอนเริ่มเสิร์ฟ หรือเสิร์ฟข้ามเส้นหลังสนาม (Foot Fault) ก็ถือเป็นการผิดกติกาเช่นกัน
เพิ่มเติม: ผู้เล่นควรฝึกจังหวะและการสื่อสารในทีมให้ดี เพื่อหลีกเลี่ยงฟาวล์ที่เกิดจากความสับสนระหว่างตำแหน่ง
การเปลี่ยนตัว (Substitution)
ในการแข่งขันวอลเลย์บอลสมัยใหม่ การเปลี่ยนตัวถือเป็นกลยุทธ์สำคัญที่โค้ชใช้ปรับสมดุลของทีม ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนผู้เล่นสายรุก สายรับ หรือปรับตามแท็กติกของคู่แข่ง
หลักการทั่วไป:
- สามารถเปลี่ยนผู้เล่นได้ระหว่างเซต หรือตามจังหวะที่ผู้ตัดสินอนุญาตเท่านั้น
- ผู้เล่นที่ถูกเปลี่ยนออกสามารถกลับมาเล่นได้อีก แต่ต้องสลับกับคนเดิมที่แทนตำแหน่งไว้
- ในการแข่งขันระดับสากล ทีมหนึ่งสามารถเปลี่ยนตัวได้ สูงสุด 6 ครั้งต่อเซต
- หากผู้เล่นบาดเจ็บ สามารถเปลี่ยนได้แบบ “พิเศษ (Exceptional Substitution)” โดยไม่จำกัดจำนวนครั้ง
เพิ่มเติม: การเปลี่ยนตัวให้ถูกจังหวะช่วยเพิ่มความได้เปรียบ และรักษาความต่อเนื่องของเกมโดยไม่เสียสมาธิของทีม
กฎเฉพาะของการแข่งขัน
นอกจากกฎทั่วไปแล้ว ยังมีกฎเฉพาะที่ใช้ในแต่ละลีกหรือระดับการแข่งขัน ซึ่งมักถูกปรับเพื่อให้เกมมีมาตรฐานและความยุติธรรมมากที่สุด
ตัวอย่างกฎเฉพาะที่ควรรู้:
- ขนาดสนามมาตรฐานคือ 9 × 18 เมตร โดยมีเส้นขอบเขตชัดเจน และความสูงของตาข่ายกำหนดไว้ที่ 2.43 เมตร สำหรับผู้ชาย และ 2.24 เมตร สำหรับผู้หญิง
- ในระดับการแข่งขันระดับโลก เช่น FIVB หรือโอลิมปิก จะใช้ระบบ Challenge หรือ Video Review เพื่อตรวจสอบจังหวะปัญหา เช่น ลูกใน–ลูกนอก หรือการสัมผัสเน็ต
- กำหนดให้ใช้ระบบคะแนน Rally Point System เล่นแบบ 3 ใน 5 เซต โดยแต่ละเซตถึง 25 คะแนน (เซตสุดท้ายถึง 15 คะแนน)
เพิ่มเติม: กฎเฉพาะเหล่านี้อาจแตกต่างเล็กน้อยในบางลีกหรือการแข่งขันท้องถิ่น เช่น การจำกัดเวลาเสิร์ฟ หรือการนับเวลา Time-out ซึ่งควรศึกษาก่อนเข้าร่วมแข่งขัน
เคล็ดลับสำหรับผู้เริ่มเล่น
ก่อนที่เพื่อน ๆ จะก้าวเข้าสู่โลกของวอลเลย์บอลอย่างจริงจัง สิ่งสำคัญคือการเริ่มต้นอย่างถูกวิธี หลายคนมักรีบร้อนอยาก “ตบลูกแรง ๆ” หรือ “บล็อกให้สวย ๆ” แต่ในความเป็นจริง การเล่นวอลเลย์บอลที่ดีเริ่มจากพื้นฐานเล็ก ๆ เช่น การยืน การส่ง การสื่อสารในทีม และการเข้าใจตำแหน่งของตัวเอง การฝึกฝนอย่างต่อเนื่องและใส่ใจในรายละเอียดเล็กน้อยเหล่านี้จะช่วยให้เพื่อน ๆ พัฒนาได้เร็วกว่าที่คิด อีกทั้งยังช่วยป้องกันการบาดเจ็บและเพิ่มความมั่นใจเมื่อลงสนาม
ต่อไปนี้คือ เคล็ดลับสำหรับผู้เริ่มเล่นวอลเลย์บอล ที่จะช่วยให้เพื่อน ๆ พัฒนาทักษะได้อย่างมั่นคงและสนุกไปพร้อมกัน
เริ่มจากฝึกพื้นฐานให้ชำนาญ
ทักษะสำคัญสามอย่างที่ผู้เริ่มต้นต้องฝึกคือ การรับลูก (Pass), การตั้งลูก (Set) และการตบ (Attack) เพราะเป็นพื้นฐานของทุกจังหวะในเกม การฝึกแต่ละทักษะอย่างเป็นขั้นตอนจะช่วยให้ร่างกายจดจำการเคลื่อนไหวได้ถูกต้อง และเพิ่มความแม่นยำในการเล่นมากขึ้น
ฝึกการยืนตำแหน่งและการเคลื่อนที่ในสนาม
วอลเลย์บอลไม่ใช่แค่เรื่องของแรง แต่คือเกมของการยืนตำแหน่งและการเคลื่อนไหวอย่างมีระบบ การรู้ว่าแต่ละตำแหน่งอยู่ตรงไหน เช่น ตัวเซตอยู่หน้า ตัวตบอยู่ข้าง และลิเบอโร่อยู่หลัง จะช่วยให้เพื่อน ๆ เข้าใจ “ตำแหน่งวอลเลย์บอล” ของตนเองและสามารถหมุนตำแหน่งได้ถูกต้องเมื่อทีมได้สิทธิ์เสิร์ฟ
ใช้อุปกรณ์และสื่อฝึกที่เหมาะสม
การเรียนรู้จากคลิปการสอนใน YouTube หรือเข้าคอร์สคลินิกวอลเลย์บอลในโรงเรียน/ชมรม จะช่วยให้เห็นภาพเทคนิคจริงจากผู้เล่นมืออาชีพ เพื่อน ๆ สามารถฝึกตามได้จากบ้าน โดยไม่จำเป็นต้องมีอุปกรณ์มากมาย แต่อุปกรณ์ที่ดี เช่น ลูกวอลเลย์บอลมาตรฐาน หรือแผ่นกันเข่า จะช่วยลดความเสี่ยงจากการบาดเจ็บได้มาก
ฝึกสม่ำเสมอและพัฒนาทัศนคติทีมเวิร์ก
วอลเลย์บอลเป็นกีฬาที่ต้องพึ่งพา “ทีม” มากกว่าความสามารถเฉพาะตัว การสื่อสารระหว่างผู้เล่น เช่น การเรียกลูก การให้สัญญาณ หรือแม้แต่การให้กำลังใจกันในเกม จะช่วยให้ทีมเล่นได้มีจังหวะและพลังมากขึ้น การฝึกสมาธิและความอดทนจึงสำคัญพอ ๆ กับทักษะทางร่างกาย
เลือกอุปกรณ์ที่เหมาะสมกับการเล่น
การมีรองเท้าวอลเลย์บอลที่ดีจะช่วยซัพพอร์ตข้อเท้าและลดแรงกระแทกจากการกระโดด ซึ่งจำเป็นมากสำหรับผู้เริ่มต้น เพื่อน ๆ สามารถเลือกซื้อ รองเท้าวอลเลย์บอล ได้ง่าย ๆ บน Shopee โดยพิมพ์ค้นหาคำว่า “รองเท้าวอลเลย์บอล” เพื่อเลือกแบรนด์คุณภาพ เช่น Mizuno, Asics หรือ Li-Ning ที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับสนามในร่ม
อุกรณ์วอลเลบอลต่าง ๆ ที่เราอยากแนะนำ
อุปกรณ์วอลเลย์บอล ที่เหมาะสมและได้มาตรฐาน เพราะนอกจากจะช่วยให้เล่นได้สะดวกและปลอดภัยแล้ว ยังส่งผลต่อประสิทธิภาพในการฝึกซ้อมและการแข่งขันด้วย ไม่ว่าจะเป็นลูกบอล สนาม หรืออุปกรณ์ป้องกันต่าง ๆ แต่ละชิ้นล้วนมีบทบาทสำคัญต่อเกม หากเลือกใช้อย่างถูกวิธี จะช่วยให้เพื่อน ๆ เล่นได้ดีขึ้น เหมือนนักกีฬามืออาชีพเลยทีเดียว อุปกรณ์วอลเลย์บอลที่ควรมีติดไว้ สำหรับทั้งมือใหม่และผู้เล่นที่อยากพัฒนาอย่างจริงจัง มีอะไรบ้างมาดูกัน
1. ลูกวอลเลย์บอล (Volleyball)

หัวใจหลักของเกมนี้คือ “ลูกบอล” ที่ใช้ในการแข่งขันมาตรฐานของ FIVB ลูกวอลเลย์บอลจะมีเส้นรอบวงประมาณ 65–67 เซนติเมตร น้ำหนักอยู่ที่ 260–280 กรัม และทำจากวัสดุหนังหรือหนังสังเคราะห์ที่นุ่มเพื่อให้ควบคุมทิศทางได้ง่าย ลูกที่ดีจะมีแรงกระเด้งพอดีและทนทาน เหมาะสำหรับทั้งในร่มและกลางแจ้ง
2. รองเท้าวอลเลย์บอล (Volleyball Shoes)

รองเท้าวอลเลย์บอลต่างจากรองเท้ากีฬาทั่วไปตรงที่พื้นจะถูกออกแบบให้ “ยึดเกาะพื้นสนามในร่มได้ดี” และช่วยซับแรงกระแทกจากการกระโดดบ่อย ๆ มีน้ำหนักเบา เพื่อช่วยให้เคลื่อนไหวได้คล่องตัว โดยเฉพาะตำแหน่งตัวตบและตัวเซตควรเลือกรุ่นที่มีการซัพพอร์ตข้อเท้าอย่างดี เช่น Mizuno Wave, Asics Sky Elite หรือ Li-Ning Hero ที่หาได้ง่ายบน Shopee
3. สนับเข่า (Knee Pads)

หนึ่งในอุปกรณ์ที่จำเป็นที่สุดสำหรับผู้เล่นทุกระดับ เพราะในเกมวอลเลย์บอล ผู้เล่นต้องล้มตัวรับลูก (Dig) หรือสไลด์ตัวไปกับพื้นบ่อยครั้ง สนับเข่าช่วยลดแรงกระแทกและป้องกันการถลอกหรือบาดเจ็บบริเวณหัวเข่า รุ่นที่ดีควรมีฟองน้ำหนา ยืดหยุ่น และระบายอากาศได้ดี เช่น สนับเข่า Nike Essentials หรือ Mizuno LR6
4. เสื้อผ้าและชุดวอลเลย์บอล (Volleyball Uniform)

เสื้อผ้าที่เหมาะกับการเล่นวอลเลย์บอลควรเป็นผ้าระบายอากาศดี แห้งไว และไม่อึดอัด เพื่อให้เคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ เสื้อของผู้เล่นแต่ละตำแหน่งอาจแตกต่างกัน เช่น ลิเบอโร่ (Libero) จะสวมเสื้อคนละสีเพื่อให้ผู้ตัดสินสังเกตได้ง่าย ส่วนกางเกงควรเป็นแบบขาสั้นพอดีตัวเพื่อไม่เกะกะเวลาเคลื่อนที่
5. เทปพันนิ้วหรืออุปกรณ์พยุงข้อมือ (Finger Tape / Wrist Support)

นักวอลเลย์บอลมืออาชีพมักใช้ เทปพันนิ้ว เพื่อช่วยป้องกันข้อนิ้วจากแรงกระแทกขณะตบหรือบล็อกลูก โดยเฉพาะผู้เล่นตำแหน่งตัวตบและเซตเตอร์ ส่วน อุปกรณ์พยุงข้อมือ (Wrist Support) จะช่วยลดแรงกดและเพิ่มความมั่นคงขณะตีลูก เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้นที่ยังไม่ชินกับแรงปะทะของบอล
6. ตาข่ายวอลเลย์บอล (Volleyball Net)

อุปกรณ์สำคัญที่ขาดไม่ได้ในทุกสนามแข่งขัน มาตรฐานความสูงของตาข่ายคือ 2.43 เมตรสำหรับผู้ชาย และ 2.24 เมตรสำหรับผู้หญิง ตัวตาข่ายที่ดีควรมีความตึงพอดี ไม่หย่อน และมีเส้นขอบบน–ล่างที่แข็งแรง เพื่อให้การเล่นและบล็อกมีความแม่นยำ สามารถติดตั้งได้ทั้งแบบสนามในร่มและกลางแจ้ง
สรุป
วอลเลย์บอลไม่ใช่แค่เกมที่ต้องตีลูกข้ามตาข่ายเท่านั้น แต่เป็นกีฬาที่รวมทั้งพละกำลัง ความแม่นยำ และการทำงานเป็นทีมเข้าไว้ด้วยกัน การเข้าใจ กติกาวอลเลย์บอล อย่างถูกต้อง ตั้งแต่พื้นฐานไปจนถึงตำแหน่งของผู้เล่น จะช่วยให้เพื่อน ๆ มองเกมได้ลึกขึ้น สนุกยิ่งขึ้น และเล่นได้อย่างมั่นใจมากกว่าเดิม ไม่ว่าจะเป็นการชมแมตช์ระดับโลก การฝึกซ้อมกับเพื่อน หรือแม้แต่การเลือกอุปกรณ์ที่เหมาะกับตัวเอง การรู้กติกาที่ดี คือจุดเริ่มต้นของการเล่นที่ยอดเยี่ยม และเป็นก้าวแรกสู่การพัฒนาฝีมือในสนามอย่างมืออาชีพ
บทความอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง:


