การขายของออนไลน์นั้น สิ่งหนึ่งที่สำคัญมากที่สุดที่จะช่วยดึงดูดลูกค้าให้เข้ามาดูสินค้าหรือมาเยี่ยมชมร้านค้าของเรานั้น ก็คงจะหนีไม่พ้น “ชื่อสินค้า” และ “ชื่อร้านค้า” ที่แทบจะเป็นสิ่งแรกๆ ที่ลูกค้าสามารถมองเห็นได้จากทั้งภายในแอปพลิเคชัน Shopee และผ่านการค้นหาสินค้าบน Google แต่หลายร้าน ก็อาจจะประสบปัญหาว่า ตั้งชื่อสินค้าแล้ว ตั้งชื่อร้านตามต้องการแล้ว แต่ก็ยังไม่ค่อยมียอดชมสินค้าสักเท่าไหร่ ทำให้ยอดขายนั้นไม่เยอะตามไปด้วย หากพบปัญหาแบบนี้อยู่ล่ะก็ ลองมาเรียนรู้วิธีการทำ SEO บน Shopee ที่จะช่วยเพิ่มการมองเห็นให้กับร้านค้าได้แบบฟรีๆ โดยไม่ต้องจ่ายเงินสักบาทเดียว !!
หัวข้อต่างๆ ของบทความนี้
SEO คืออะไร
SEO นั้นย่อมาจากคำว่า Search Engine Optimization หรือการปรับปรุงประสิทธิภาพของหน้าเพจหรือเว็บไซต์ เพื่อรองรับการติดอันดับบน Search Engine หรือ Google นั่นเอง โดยในมุมของ Shopee นั้น การทำ SEO บน Shopee ก็คือการปรับปรุงประสิทธิภาพของหน้าร้านค้าและหน้าสินค้าให้มีประสิทธิภาพที่ดีมากขึ้น โดยการทำ SEO บน Shopee นั้น ส่วนประกอบสำคัญที่ร้านค้าควรให้ความใส่ใจเป็นพิเศษ จะมีอยู่ทั้งหมด 4 ส่วน ได้แก่
- ชื่อร้านค้า ที่ควรตั้งเป็นชื่อร้านค้าที่แสดงตัวตนของร้านค้าได้อย่างชัดเจน และมีความน่าเชื่อถือ
- ชื่อสินค้า ที่ควรเป็นชื่อของสินค้า ยี่ห้อ รุ่น และบอกประเภทสินค้าอย่างคร่าวๆ ที่ทำให้ลูกค้าเห็นว่าสินค้านี้คืออะไร
- คำอธิบายรายละเอียดสินค้า ที่บอกรายละเอียดทั้งหมดของสินค้าที่ลูกค้าควรรู้ เช่น คำอธิบายสเปกสินค้า ขนาดของสินค้า น้ำหนัก ความจุ รายละเอียดทั่วไป การรับประกัน หรือรายละเอียดการจัดส่ง
หรือกล่าวแบบสรุปได้ว่า การทำ SEO บน Shopee นั้น เกี่ยวข้องกับการตั้งชื่อร้านค้า ชื่อสินค้า คำอธิบายรายละเอียดสินค้า ที่แสดงข้อมูลอย่างชัดเจนว่าร้านค้าชื่ออะไร ขายสินค้าอะไร รายละเอียดสินค้าเป็นอย่างไร โดยใช้คำหรือ คีย์เวิร์ด ต่างๆ ประกอบในข้อมูลเหล่านั้นนั่นเอง
ข้อดีของการทำ SEO บน Shopee มีอะไรบ้าง
การทำ SEO บน Shopee นั้น มีข้อดีมากมายที่จะช่วยให้ร้านค้าสามารถเพิ่มโอกาสในการขายได้ ไม่ว่าจะเป็น
- สินค้าได้รับการมองเห็นมากขึ้น การทำ SEO คือการปรับการตั้งชื่อสินค้าให้ระบุรายละเอียดอย่างเฉพาะเจาะจงมากขึ้น ทำให้มีโอกาสที่เมื่อลูกค้าค้นหาสินค้าด้วยคำต่างๆ เช่น รองเท้าผ้าใบ มีโอกาสที่สินค้า “รองเท้าผ้าใบ” ของร้านค้าจะไปปรากฏในผลการค้นหาบน Shopee เป็นลำดับแรกๆ มากขึ้น ทำให้มีโอกาสได้รับการมองเห็นมากขึ้นนั่นเอง
- สินค้าปรากฏบนผลการค้นหาใน Google เนื่องจากการทำ SEO เป็นส่วนหนึ่งของการปรับปรุงประสิทธิภาพเพื่อให้เว็บไซต์ไปอยู่บนลำดับต้นๆ ใน Search Engine จึงทำให้เมื่อปรับปรุงรายละเอียดสินค้าและร้านค้าแล้ว มีโอกาสที่จะไปปรากฏในผลการค้นหาลำดับต้นๆ เมื่อลูกค้าค้นหาด้วยคีย์เวิร์ดหรือคำที่เกี่ยวข้องกับสินค้า โดยการไปปรากฏลำดับต้นๆ นั้นก็จะช่วยเพิ่มโอกาสในการที่มียอดคลิกเข้ามาชมสินค้าหรือร้านค้าเพิ่มเติมได้มากขึ้น
- สินค้าเพิ่มโอกาสสร้างยอดขายได้ แน่นอนว่า เมื่อลูกค้าเห็นสินค้าและเข้ามาชมเป็นจำนวนมาก ก็อาจจะช่วยกระตุ้นการขายให้เกิดขึ้นได้มากขึ้น ทั้งนี้ นอกจากลำดับของสินค้าแล้วก็อาจจะมีปัจจัยอื่นๆ ประกอบด้วย เช่น กระแสของสินค้า ราคา ความน่าสนใจของสินค้า
- ร้านค้ามีรายได้จากการขายเพิ่มขึ้น เมื่อสินค้ามีคนเข้ามาเห็นเยอะ และเพิ่มโอกาสการสร้างยอดขายได้ ก็จะเป็นส่วนในการช่วยให้ร้านค้ามีโอกาสในการเพิ่มรายได้จากการปรับปรุงประสิทธิภาพของสินค้าและร้านค้าตามหลัก SEO
ทั้งนี้ การปรับปรุงประสิทธิภาพของสินค้าและร้านค้าตามหลัก SEO อาจจะต้องใช้ระยะเวลาประมาณหนึ่งในการให้ระบบมาจับรายละเอียดสินค้าตาม คีย์เวิร์ด ต่างๆ ที่เราวางไว้
ขั้นตอนการทำ SEO บน Shopee
มาถึงส่วนสำคัญในการทำ SEO บน Shopee แล้ว ก็คือขั้นตอนการทำนั่นเอง โดยลำดับขั้นตอนคร่าวๆ นั้นก็จะมีในส่วนของ
- การค้นหาข้อมูลเพื่อเลือกคำหรือ คีย์เวิร์ด มาใช้ประกอบในชื่อสินค้า ชื่อร้านค้า และรายละเอียดสินค้า
- การเตรียมพร้อมข้อมูลสินค้าและข้อมูลร้านค้า เพื่อนำมาอัปโหลดขึ้นไปยัง Shopee
- การกรอกข้อมูลร้านค้าและสินค้า ให้ถูกต้องตามหลัก SEO
ส่วนรายละเอียดของแต่ละขั้นตอนนั้น Shopee Blog จะลงลึกข้อมูลให้ทุกคน ดังนี้
แนะนำเครื่องมือในการทำ SEO บน Shopee
เครื่องมือการวางแผน Keyword : Google Keyword Planner
Google Keyword Planner เป็นเครื่องมือฟรีจากทาง Google สำหรับการสืบค้นเพื่อหาคีย์เวิร์ด ค้นหามากที่สุด เพื่อนำมาใช้ในการตั้งชื่อสินค้าหรือร้านค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ชื่อสินค้า ที่เราอาจจะนำคีย์เวิร์ดประเภทสินค้า เช่น รองเท้าผ้าใบผู้หญิง ไปใส่ใน Google Keyword Planner โดยวิธีการใช้งานนั้น Shopee Blog จะไม่อธิบายให้ยาว แต่จะนำวิดีโอแนะนำขั้นตอนอย่างละเอียดมาให้ดูกันเลย
หลังจากทุกคนได้ค้นหาคีย์เวิร์ดกันเรียบร้อย ก็จะมาสู่ขั้นตอนของการนำคีย์เวิร์ดเหล่านั้นมาใช้กับสินค้าและร้านค้ากันแล้ว
ข้อมูลร้านค้าและสินค้าที่ควรเตรียม
หลังจากที่ได้ทำการค้นหาคีย์เวิร์ดสำหรับนำมาใช้งานกับชื่อสินค้า ชื่อร้านค้า และรายละเอียดสินค้ากันแล้ว ก็เป็นเวลาของการเตรียมข้อมูลต่างๆ เพื่อนำไปอัปโหลดขึ้นที่ Seller Center โดยเบื้องต้น ขอแนะนำให้ทุกคนเตรียมข้อมูลทั้งหมด ดังนี้
ชื่อสินค้า
ชื่อสินค้า ที่ประกอบไปด้วยรายละเอียด รวมไปถึงคีย์เวิร์ดที่ได้ทำการคัดเลือกมาแล้ว แล้วนำมาตั้งชื่อที่ครอบคลุมรายละเอียดของสินค้า ตรงตามสิ่งที่ขาย ในรูปแบบเข้าใจง่าย รูปแบบที่ Shopee Blog แนะนำในการตั้งชื่อ คือ
ชื่อยี่ห้อ + รุ่น + (รุ่นย่อย ถ้ามี) + ประเภทสินค้า + คุณสมบัติเพิ่มเติม
ยกตัวอย่างเช่น ต้องการจะตั้งชื่อสินค้า Nike Air Max 90 สีชมพู ที่เป็นรองเท้าผ้าใบสำหรับผู้หญิง ควรเรียงลำดับชื่อเป็นดังนี้
Nike (ยี่ห้อ) + Air Max (รุ่น) + 90 (รุ่นย่อย) + รองเท้าผ้าใบผู้หญิง (ประเภทสินค้า) + สีชมพู (คุณสมบัติเพิ่มเติม)
โดยชื่อเต็มจะเป็น
Nike Air Max 90 รองเท้าผ้าใบผู้หญิง สีชมพู
ความสำคัญ : การตั้งชื่อสินค้าในลักษณะนี้จะทำให้เพิ่มโอกาสในการที่ลูกค้าจะค้นหาสินค้าเจอได้มากขึ้น รวมไปถึง โครงสร้างลักษณะนี้เป็นสิ่งที่ดีสำหรับการทำ SEO ทำให้สินค้ามีโอกาสปรากฏในผลการค้นหาลำดับต้นๆ ทั้งในแอปพลิเคชัน และ Google
คำแนะนำ : ไม่ควรตั้งชื่อสินค้าความยาวเกิน 120 ตัวอักษร
ชื่อร้านค้า
ชื่อร้านค้านั้นอาจจะเป็นส่วนที่ค่อนข้างปรับในเชิง SEO ยากสักนิด เพราะด้วยข้อจำกัดของจำนวนตัวอักษรที่ 30 ตัวอักษร จึงขอแนะนำว่า หลักๆ ให้ปรับชื่อร้านค้าเป็นชื่อทางการของร้านค้า หรือชื่อที่จดทะเบียนพาณิชย์ แล้วอาจจะตามด้วยพิกัดจังหวัด ประเภทธุรกิจ หรือประเภทสินค้าที่ขาย เช่น หากคุณมีหน้าร้านขายของที่ชื่อ “เจริญศรีพาณิชย์” ตั้งอยู่ในจังหวัดระยอง เป็นร้านขายส่ง และต้องการเปลี่ยนชื่อ ขอแนะนำให้เปลี่ยนชื่อเป็นลักษณะดังนี้
- เจริญศรีพาณิชย์ ระยอง ขายส่ง
- เจริญศรีพาณิชย์ ขายส่ง ระยอง
หรือในกรณีที่เป็นร้านค้าทางการของบริษัท ให้ใช้ชื่อแบรนด์สินค้าที่จำหน่าย หรือ ชื่อบริษัท แล้วตามด้วย Official Store เช่น ร้าน Anker ที่ขายสินค้าแบรนด์ Anker และเป็นร้านค้าทางการ สามารถตั้งชื่อได้เป็น
- Anker Official Store
ความสำคัญ : การตั้งชื่อในลักษณะนี้ ทำให้เพิ่มความน่าเชื่อถือของร้านค้า เพราะบางครั้งชื่อร้านค้าอาจจะเป็น username ที่ใช้ในฝั่งบัญชีผู้ซื้อ Shopee เช่น daengrayongja ที่ลูกค้าอาจจะเข้ามาเห็นแล้วมองว่าไม่น่าเชื่อ จึงแนะนำให้ปรับชื่อร้านค้าในลักษณะนี้เพื่อความน่าเชื่อถือ และในขณะเดียวกัน การใส่ข้อมูลประกอบ เช่น จังหวัด ประเภทร้าน ประเภทสินค้า ก็จะเป็นการทำ SEO ที่จะช่วยเพิ่มการมองเห็นของสินค้าได้อีกทางหนึ่ง
คำแนะนำ : ชื่อร้านค้าความยาวต้องไม่เกิน 30 ตัวอักษร และหากชื่อของร้านนั้นมีความยาวอยู่แล้ว การเพิ่มข้อมูลประกอบอาจจะไม่จำเป็นเสมอไป
คำอธิบายสินค้า
เป็นส่วนที่ค่อนข้างปรับแต่งในเชิง SEO ได้ง่ายระดับหนึ่ง เพราะเป็นส่วนในการใส่ข้อความยาวๆ ได้ จึงทำให้สามารถแทรกคีย์เวิร์ดที่ค้นหามาได้พอสมควร โดยคำอธิบายสินค้านั้น หลักๆ แล้วควรจะประกอบด้วยรายละเอียดดังนี้
- รายละเอียดของสินค้าที่ครบถ้วนและสมบูรณ์
- ปัญหาหรือคำถามที่ลูกค้าพบบ่อย
- เงื่อนไขการรับประกันสินค้า หรือช่องทางการติดต่อ/การดำเนินการในกรณีที่สินค้ามีปัญหา
ความสำคัญ : คำอธิบายสินค้าเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยให้สินค้าไปปรากฏในผลลัพธ์การค้นหาของลูกค้าได้ในอันดับต้นๆ โดยเฉพาะใน Google ที่ส่วนของข้อความยาวๆ นั้นมีความสำคัญมาก ดังนั้นหากใส่ใจกับส่วนนี้ก็อาจจะทำให้ได้ผลลัพธ์ในการทำ SEO ที่ดี คือ สินค้ามียอดเข้าชมสูงขึ้น และเพิ่มโอกาสในการขายได้มากขึ้นนั่นเอง
คำแนะนำ : ใช้ภาษาในการเขียนที่เป็นธรรมชาติ เป็นภาษากึ่งทางการ เขียนถูกต้อง รายละเอียดครบถ้วน มีการแทรกคีย์เวิร์ดไปบ้าง ประมาณ 1-2% ของข้อความทั้งหมด แบ่งวรรคตอนชัดเจน มีการใช้เลขข้อกำกับเพื่อให้อ่านง่าย รายละเอียดที่ต้องการสื่อสารครบถ้วน
กรอกข้อมูลร้านค้าและสินค้าให้ถูกต้องตาม SEO
หลังจากเตรียมข้อมูลทั้งหมดครบถ้วนแล้ว ก็ถึงเวลาของการนำข้อมูลเหล่านั้นไปแก้ไขในร้านค้าของแต่ละคนกันแล้ว โดย Shopee Blog ขอแนะนำขั้นตอนในการเข้าไปแก้ไขรายละเอียดดังนี้
- เข้าไปที่ Shopee Seller Center ด้วยการล็อกอินบัญชีร้านค้า
- การเปลี่ยนชื่อร้านค้า ให้ดูที่เมนูด้านซ้าย ที่หัวข้อ “ร้านค้า” เลือก “รายละเอียดร้านค้า” จะปรากฏหน้าต่างข้อมูลทั่วไป ให้เลือก “แก้ไขที่มุมขวา และกรอกชื่อร้านใหม่ไปในช่อง “ชื่อร้าน” หลังจากนั้นกด “บันทึก”
- การเปลี่ยนข้อมูลสินค้า ให้เข้าไปที่เมนูสินค้าของฉัน หลังจากนั้นเลือกรายการสินค้าที่ต้องการแก้ไข เลือก “แก้ไข” หลังจากนั้น แก้ไขชื่อสินค้าและรายละเอียดสินค้าที่ได้ทำการปรับมาแล้ว เมื่อแก้ไขข้อมูลเรียบร้อยแล้ว เลือก “บันทึก” และแก้ไขสินค้าอื่นๆ เพิ่มเติมหากต้องการ
คาดว่าหลายคนที่อ่านมาถึงจุดนี้ ก็คงจะพอนึกออกกันแล้วว่าประโยชน์ของการทำ SEO บน Shopee มีอะไรบ้าง รวมไปถึงขั้นตอนการทำคร่าวๆ นั้นทำอย่างไร แต่หากยังมีข้อสงสัยอยู่ล่ะก็ Shopee Blog ขอแนะนำให้เข้าไปศึกษาผ่านวิดีโอด้านบนได้อีกครั้ง หรือศึกษาอย่างละเอียดได้ที่ Seller Education Center ได้เลย แล้วพบกับสาระดีๆ อีกมากมายได้ที่ Shopee Blog นะ