น้ำยาปรับผ้านุ่มยี่ห้อไหนดี ที่ช่วยลดกลิ่นอับชื้น หมดปัญหาตากผ้่าในร่ม แถมเสื้อผ้ามีกลิ่นหอมสดชื่น ติดทนนาน นี่ก็คงจะเป็นคำถามที่พ่อบ้านแม่บ้านหลายคนมีในใจ เพราะเดี๋ยวนี้ต่อให้เลือกใช้ผงซักฟอกที่เป็นสูตรป้องกันกลิ่นอับชื้นแล้วก็ตาม โดยเฉพาะการซักผ้าช่วงหน้าฝน หรือแม้แต่หน้าร้อนหน้าหนาวที่มีพายุเข้ามาซะอย่างงั้น ก็มักจะทำให้ผ้ามีกลิ่นเหม็นอับ นอกจากนี้แล้วน้ำยาปรับผ้านุ่ม หอมติดทนนาน ลดการเกิดแบคทีเรีย ยังช่วยทำให้ผ้านู้มนุ่ม! และยังรีดง่ายขึ้นอีกด้วย ซึ่งเดี๋ยวนี้มีน้ำยาปรับผ้านุ่มมีให้เลือกหลายสูตรทำให้เลือกไม่ถูกเลยว่าจะซื้อ น้ำยาปรับผ้านุ่มยี่ห้อไหนดี 2023 มีวิธีการเลือกซื้อยังไง และข้อควรระวังการใช้น้ำยาปรับผ้านุ่ม ซึ่งในบทความนี้ก็เลยอยากแชร์เคล็ดลับวิธีการใช้ พร้อมรีวิวน้ำยาปรับผ้านุ่ม หลากหลายสูตรจากแบรนด์ดัง ที่มีกลิ่นหอมฟุ้ง ติดทนทาน ช่วยลดกลิ่นอับ จะมียี่ห้อไหนบ้างมาดูกัน
หัวข้อต่างๆ ของบทความนี้
น้ำยาปรับผ้านุ่มยี่ห้อไหนดี 2023 กับเคล็ดลับการใช้น้ำยาปรับผ้านุ่มให้เหมาะกับเสื้อผ้า
แน่นอนว่าการซักผ้าให้มีกลิ่นหอมสดชื่น ติดทนนานตลอดทั้งวัน ขจัดคราบเหลืองบนผ้าขาวให้สะอาดหมดจด รวมถึงปัญหากลิ่นอับชื้น ลำพังเพียงแค่ผงซักฟอกหรือน้ำยาซักผ้าคงเอาไม่อยู่ จะต้องมีตัวช่วยดี ๆ อย่างน้ำยาปรับผ้านุ่ม ลองมาดูเคล็ดลับการใช้น้ำยาปรับผ้านุ่มให้เหมาะกับเสื้อผ้า ดังนี้
- น้ำยาปรับผ้านุ่มแต่ละยี่ห้อมีให้เลือกหลายสูตร และแต่ละสูตรจะมีปริมาณในการใช้ที่ต่างกันไป ดังนั้น ควรใช้น้ำยาปรับผ้านุ่มในปริมาณตามที่แจ้งอยู่ตรงฉลาก
- ควรใช้น้ำยาปรับผ้านุ่มขั้นตอนสุดท้ายของการซักผ้า เพื่อให้กลิ่นหอมติดทนนานตลอดทั้งวัน และช่วยเพิ่มความนุ่มให้กับเสื้อผ้า
- หากต้องการความหอมสดชื่นที่ติดทนนานตลอดทั้งวัน แนะนำให้เลือกซื้อน้ำยาปรับผ้านุ่มสูตรเข้มข้น
แชร์เทคนิคใช้ น้ำยาปรับผ้านุ่มยี่ห้อไหนดี 2023 ให้มีกลิ่นหอมเหมือนแม่มาซักให้
เคยเจอปัญหานี้กันไหม ทำไมซักผ้าแล้วใส่น้ำยาปรับผ้านุ่ม บางครั้งเสื้อผ้ามีกลิ่นหอมสดชื่นติดทนนานตลอดทั้งวัน แต่บางครั้งกลิ่นหอมกลับไม่ค่อยติดทนนานเลย ทั้ง ๆ ที่ใช้น้ำยาปรับผ้านุ่มสูตรเดิม และยี่ห้อเดิมเหมือนทุกครั้ง หรือสงสัยว่าทำไมน้ำยาปรับผ้านุ่มใช้แล้ว ถึงหอมแค่แป๊ปเดียว ไม่เห็นจะติดทนทานเหมือนโฆษณาบอกไว้เลย สาเหตุหลัก ๆ ก็มาจากการใช้ไม่ถูกวิธีนั่นเอง งั้นลองมาดูเทคนิคใส่น้ำยาปรับผ้านุ่ม ยังไงให้หอมเหมือนแม่ซักให้เลย
- ทุกครั้งก่อนซักผ้าควรแยกชนิดของผ้า ถ้าเป็นผ้าเนื้อนุ่ม เช่น เสื้อโปโล กางเกงใน หรืออื่น ๆ เนื่องจากผ้าเนื้อนุ่มจะซึมซับน้ำยาปรับผ้านุ่มได้ง่าย ถ้าใส่ในปริมาณที่พอดีเหมาะสมแล้วก็จะช่วยทำให้ผ้ามีกลิ่นหอมติดทนนาน แต่ถ้ากรณีเป็นผ้าเนื้อแข็ง เช่น กางเกงยีนส์ ผ้าขนหนู หรืออื่น ๆ อาจจะต้องใส่น้ำยาปรับผ้านุ่มในปริมาณที่เยอะกว่าปกติ ถึงจะมีกลิ่นหอมยาวนานมากขึ้น
- แนะนำให้ใส่น้ำยาปรับผ้านุ่มลงไปในช่องที่กำหนดของเครื่องซักผ้า แต่ถ้าใครลืมใส่น้ำยาปรับผ้านุ่มให้เปิดฝาเครื่องซักผ้าแล้วเทใส่ลงไปได้เลย กรณีที่เป็นฝาบนเท่านั้น ซึ่งให้ใส่ลงไปในช่วงน้ำสุดท้าย หลังที่ได้ซักล้างผงซักฟอกออกไปหมดแล้วนะ
- ปริมาณการใส่น้ำยาปรับผ้านุ่ม ถือว่าเป็นจำเป็นอย่างมาก ถ้าใส่น้ำยาปรับผ้านุ่มในปริมาณที่เหมาะต่อจำนวนผ้า ก็จะช่วยทำให้ผ้าหอมติดทนนาน แต่ถ้าเสื้อผ้ามีจำนวนเยอะเกินไป อาจจะทำให้เสื้อผ้าไม่มีกลิ่นหอมเลยหรือกลิ่นหอมอยู่แค่แป๊บเดียว รวมถึงถ้าจำนวนผ้าน้อยแต่ใส่น้ำยาปรับผ้านุ่มเยอะเกินไป อาจทำให้ผ้าหอมจนฉุนไปเลยก็ได้ ดังนั้น ควรดูปริมาณที่เหมาะสมจากตัวผลิตภัณฑ์ที่แนะนำมาให้แต่ละสูตร
- กรณีที่ซักผ้าด้วยมือนั้น หลังจากซักผงซักฟอกเสร็จแล้ว น้ำสุดท้ายของการซักผ้าให้ใส่น้ำยาปรับผ้านุ่มลงไป ทิ้งไว้สักประมาณ 30 นาที จากค่อยล้างด้วยน้ำสะอาดอีกครั้ง ก่อนนำผ้าไปตาก
- ควรใช้เวลาในการตากผ้าประมาณ 2 – 3 ชั่วโมง ถ้าหากตากผ้านานเกินไป จะทำให้เสื้อผ้าของคุณไม่มีกลิ่นหอม แถมยังทำให้สีของผ้าซีดอีกด้วย
ประโยชน์ของน้ำยาปรับผ้านุ่มที่มีดีมากกว่ากลิ่นหอม
คราวนี้ลองมาดูถึงประโยชน์มากมายของน้ำยาปรับผ้านุ่มกันบ้าง ซึ่งต้องบอกเลยว่าน้ำยาปรับผ้านุ่มนั้นไม่ได้มีดีแค่เรื่องกลิ่นหอมติดทนนานเท่านั้น แต่ยังช่วยในหลาย ๆ เรื่องอีกมากมาย ที่คุณอาจยังไม่รู้
- ช่วยลดไฟฟ้าสถิตได้เป็นอย่างดี
- ป้องกันสีซีดจางดูแลให้เสื้อผ้าของคุณมีสีสันสดใสเหมือนตอนที่ซื้อมาใหม่ ๆ
- ช่วยให้เสื้อผ้ามีกลิ่นหอมสดชื่น ติดทนนาน และยังช่วยกำจัดกลิ่นตัว หรือกลิ่นอับชื้นที่ติดผ้า
- ช่วยรักษารูปทรงของเสื้อผ้า ทำให้เสื้อยืดตัวโปรดของคุณไม่เกิดการหดตัวกลายเป็นเสื้อเอวลอย
- ทำให้รู้สึกสบายเมื่อสัมผัสเสื้อผ้า ช่วยไม่ให้ผ้ากระด้าง สวมใส่สบาย ไม่เกิดการระคายเคืองต่อผิว
- ช่วยลดรอยยับย่นของเนื้อผ้า ไม่ว่าจะเป็นผ้าฝ้าย 100% หรือผ้าพอลิเอสเตอร์ผสมฝ้าย ทำให้รีดผ้าได้ง่ายขึ้นกว่าเดิมเยอะเลย
- ยืดอายุการใช้งานของเสื้อผ้า ยิ่งถ้าเนื้อผ้าเรียบมากเท่าไหร่ โอกาสที่ผ้าจะเกิดการเสียดสีในระหว่างซักก็ลดน้อยลงไปด้วย ทำให้เสื้อผ้ามีโอกาสที่จะฉีกขาดหรือเสียหากในระหว่างการซักผ้าได้ยากมากขึ้น
- ป้องกันเนื้อผ้าหยาบกระด้าง ทำให้ต้องมานั่งคอยดึงขุยผ้าที่หลุดจากเสื้ออีกต่อไป เนื่องจากน้ำยาปรับผ้านุ่มนั้นจะช่วยดูแลให้เสื้อผ้านุ่มสวยเหมือนใหม่อยู่ตลอด
- ช่วยทำให้เสื้อผ้าแห้งเร็วมากขึ้นกว่าเดิม ทำให้ลดเวลาในการตากผ้า เนื่องจากน้ำยาปรับผ้านุ่มทำให้ผิวหน้าของผ้ามีคุณสมบัติไม่ชอบน้ำ จึงทำให้ผ้าแห้งง่ายขึ้น
- ช่วยกำจัดคราบทำให้คราบสกปรกต่าง ๆ ที่ติดตามเสื้อผ้า สามารถซักออกได้ง่ายมากขึ้น เพราะว่าถ้าผ้าที่ใช้น้ำยาปรับผ้านุ่มบนเส้นใยผ้าจะเป็นตัวป้องกันไม่ให้สิ่งสกปรกมาติดบนผ้า จึงทำให้สิ่งสกปรกก็จะไปติดอยู่ผิวหน้าผ้านั่นเอง
วิธีเลือกซื้อ น้ำยาปรับผ้านุ่มยี่ห้อไหนดี 2023 ให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์
อีกสิ่งที่คุณควรรู้ก่อนตัดสินใจซื้อ น้ำยาปรับผ้านุ่มยี่ห้อไหนดี 2023 ควรต้องพิจารณาถึงคุณสมบัติน้ำยาปรับผ้านุ่มแต่ละสูตร นอกจากนี้แล้วยังจะต้องดูไลฟ์สไตล์ของคุณด้วย ซึ่งเรามีวิธีการเลือกซื้อแบบง่าย ๆ มาแนะนำให้ทุกคน
1. สูตรลดกลิ่นอับ
สำหรับใครที่ปัญหาในเรื่องการตากผ้าในที่ร่ม ด้วยพื้นที่จำกัดในการตากผ้า หรือต้องซักผ้าในช่วงหน้าฝน เราก็แนะนำให้น้ำยาปรับผ้านุ่ม สูตรลดกลิ่นอับ ช่วยให้ตากผ้าในที่ไม่มีแดดได้ดี จะช่วยทำให้ไม่มีกลิ่นอับชื้น และยังเหมาะสำหรับไลฟ์สไตล์ชีวิตคนเมือง หรือคนที่ชอบซักผ้าตอนกลางคืน
2. เลือกสูตรที่มีกลิ่นหอมติดทนนานตลอดทั้งวัน
ใครก็อยากให้เสื้อผ้าตัวเองมีกลิ่นผ้า เพราะจะช่วยทำให้ตัวเองมีความมั่นใจมากยิ่งขึ้น หรือถ้าไม่ชอบฉีดน้ำหอมการเลือกน้ำยาปรับผ้านุ่มสูตรกลิ่นหอมติดทนนานก็ช่วยได้เหมือนกัน ใครชอบกลิ่นไหนก็สามารถไปเลือกกันได้ เพราะเดี๋ยวนี้น้ำยาปรับผ้านุ่มมีให้เลือกหลากหลายกลิ่นมาก ๆ
3. ให้เลือกสูตรที่มีความอ่อนโยนต่อผิว
กรณีที่ใครมีผิวบอบบางแพ้ง่ายมาก ๆ แต่อยากให้เสื้อผ้ามีกลิ่นหอมหรือลดกลิ่นอับต่าง ๆ ควรเลือกน้ำยาปรับผ้านุ่มสูตรอ่อนโยน ที่ปราศจากสารฟอร์มาลดีไฮด์ น้ำหอม และสีสังเคราะห์ เนื่องจากสารเหล่านี้จะทำให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวหนังได้
4. ให้ดูถึงความเข้มข้นของน้ำยาปรับผ้านุ่ม
สำหรับใครอยากให้ผ้ามีกลิ่นหอมติดทนนานตลอดทั้งวัน ชนิดที่ว่าไม่ต้องฉีดน้ำหอมกันเลย แนะนำให้เลือกเป็นสูตรเข้มข้น ซึ่งน้ำยาปรับผ้านุ่ม แต่ละยี่ห้อจะมีความเข้มข้นที่แตกต่างกัน บางสูตรก็ใส่เพียงนิดเดียว ก็ทำให้ผ้ามีกลิ่นหอมได้นานจริง ๆ ถึงแม้ว่าจะเป็นสูตรเข้มข้นแล้วอย่าลืมคำนึงถึงปริมาณกับจำนวนผ้าด้วยนะ
แนะนำ 10 น้ำยาปรับผ้านุ่มยี่ห้อไหนดี 2023 ถูกใจแม่บ้านพ่อบ้านยุคใหม่
พออ่านมาถึงตรงนี้ หลายคนคงเริ่มอยากรู้กันแล้วใช่ไหม น้ำยาปรับผ้านุ่มยี่ห้อไหนดี 2023 กลิ่นหอมสดชื่น ติดทนนานตลอดทั้งวัน เตรียมจดลิสต์ยี่ห้อและกลิ่นน้ำยาปรับผ้านุ่มรอไว้ได้เลย วันนี้เราจะมารีวิวน้ำยาปรับผ้านุ่ม สูตรต่าง ๆ จากแบรนด์ดัง บอกเลยว่ากลิ่นหอมฟุ้ง ติดทนนาน จนต้องเหลียวหลังกันเลย จะมีอะไรบ้างตามเราไปส่องกันเลย
1. Downy สูตรพิเศษ Expert Indoor Dry
รีวิวน้ำยาปรับผ้านุ่ม หอมติดทนนาน แรกกับ Downy ยี่ห้อนี้ได้รับการตอบรับจากคนทั่วโลก และมีเอกลักษณ์โดดเด่นช่วยให้ผ้านุ่ม คงความหอม สดชื่น ติดทนยาวนานตลอดทั้งวัน ใครได้ใช้ต่างก็พูดเสียงเดียวกันว่า “ไม่มีผลิตภัณฑ์ใดที่สามารถแทนที่ความหอมสดชื่นของดาวน์นี่ได้” จึงได้รับยกย่องให้เป็นมาตรฐานน้ำยาปรับผ้านุ่มอันดับหนึ่งของโลก อีกทั้งยังมีให้เลือกหลายสูตร ถ้าใครชอบตากผ้าในที่ร่ม แนะนำสูตร Expert Indoor Dry
คุณสมบัติ
- ป้องกันกระแสไฟฟ้าสถิตย์ได้เป็นอย่างดี
- สามารถใช้กับเสื้อผ้าได้ทุกคนในครอบครัว
- มีกลิ่นหอมอ่อนโยนจากมะลิและดอกลิลลี่ ทำให้รู้สึกสดชื่น
- หมดกังวลแม้ว่าจะต้องซักผ้าในวันที่ฝนตกหนัก หรือซักผ้าในช่วงหน้าฝน
- ช่วยลดกลิ่นอับชื้นได้เป็นอย่างดี แม้ว่าจะตากผ้าในที่ร่ม หรือที่ไม่มีแสงแดด
- เพิ่มระดับความหอมมากกว่าน้ำยาปรับผ้านุ่ม Downy สูตรธรรมดาทั่วไปมากถึง 4 เท่า
- ราคา 289 บาท ต่อ 2,220 มล.
2. Comfort Ultra Fabric Softener
รีวิวน้ำยาปรับผ้านุ่มกันต่อกับ Comfort อีกหนึ่งยี่ห้อที่ได้รับความนิยมเลือกจากเหล่าพ่อบ้านแม่บ้านยุคใหม่เป็นอันดับต้น ๆ เลยก็ว่าได้ ด้วยจุดเด่นในเรื่องช่วยทำให้ผ้านุ่ม แถมยังปกป้องเนื้อผ้าจากการถูกทำลายจากการซัก และก็ยังคงให้ผ้ามีสีสันสดใสดูเหมือนใหม่อยู่เสมอ ไม่เพียงแค่นั้นยังมาพร้อมกลิ่นหอมติดทนนานตลอดทั้งวัน และยังมีน้ำยาปรับผ้านุ่มให้เลือกหลายสูตร หลายกลิ่นมาก ๆ ถ้าใครอยากได้น้ำยาปรับผ้านุ่ม หอมติดทนนาน แนะนำให้เลือก Comfort Ultra Fabric Softener สูตรนี้เลย ตอบโจทย์ได้ดีสุด ๆ
คุณสมบัติ
- สูตรเข้มข้น กลิ่นหอมสดชื่นยาวนานขึ้น และลดกลิ่นอับชื้น
- ช่วยทำให้ผ้านุ่มฟู รีดง่าย ถนอมสีผ้าและใยผ้า ผ้าไม่ลีบติดตัว
- ใช้เพียงครึ่งฝาก็ทำให้ผ้าหอม สดชื่นยาวนานกว่าสูตรมาตรฐาน 8 เท่า
- เป็นแคปซูลหอมสดชื่นแบบดับเบิ้ลบูสต์ ที่กระจายความหอมตลอดวัน
- ช่วยป้องกันสีผ้าจากแสงแดด ทำให้เสื้อผ้ายังคงสีสันสดใสดูเหมือนใหม่
- มีให้เลือกมากถึง 3 กลิ่น ได้แก่ สีฟ้า กลิ่น เดลิ เฟรช / สีชมพู กลิ่น ฟลอรัล เฟรช / สีเขียว กลิ่น แอคทีฟ เฟรช
- ราคา 125 บาท ต่อ 1,300 มล.
3. D-Nee สูตรเข้มข้นพิเศษ กลิ่น Organic Rosemary
สำหรับ ดีนี่ (D-nee) แบรนด์สินค้าสำหรับเด็กซึ่งอยู่ในเครือบริษัท นีโอ คอร์ปอเรท จำกัด โดยเปิดตัวมาพร้อมกับชูจุดเด่นในเรื่องของความอ่อนโยนและความปลอดภัยสำหรับเด็ก จึงทำให้มีผลิตภัฑณ์หลากหลาย และหนึ่งในจะมีผลิตภัณฑ์ปรับผ้านุ่ม ตอบโจทย์ให้สำหรับลูกน้อยและคนในครอบครัว เรียกได้ว่าถ้าเป็นผลิตภัณฑ์อะไรก็ตามที่เกี่ยวกับเด็ก แบรนด์ D-Nee เอาอยู่ชัวร์! และน้ำยาปรับผ้านุ่ม D-Nee กลิ่น Organic Rosemary เป็นกลิ่นที่ได้รับความนิยม ด้วยจุดเด่นมากมาย ดังนี้
คุณสมบัติ
- สามารถใช้ได้ทั้งในการซักมือและเครื่องฝาหน้าหรือฝาบนได้
- กลิ่นหอมจากสารสกัดจากธรรมชาติของดอกโรสแมรีออร์แกนิก
- สูตรนี้จะเหมาะสำหรับเด็กที่มีอายุ 5 ปีขึ้น และทุกคนในครอบครัว
- มีเทคโนโลยี Fresh Booster ในการช่วยยับยั้งแบคทีเรียและกลิ่นอับชื้นได้ดี
- หมดห่วงหายกังวลสำหรับคนผิวแพ้ง่าย หรือผิวบอบบางก็สามารถใช้สูตรนี้ได้
- ผ่านการทดสอบการแพทย์ว่าอ่อนโยนและไม่ระคายเคืองผิว เสื้อผ้าเด็กเล็กก็ใช้ได้
- สามารถซักตากผ้าได้แม้ในช่วงกลางคืน ไม่มีแสงแดด หรือตากผ้าในที่ร่ม โดยไม่มีกลิ่นอับ
- ราคา 126 บาท ต่อ 500 มล.
4. Hygiene Expert Care สูตร Fabric Softener Peony Bloom
หลายคนน่าจะรู้จักและคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี กับน้ำยาปรับผ้านุ่ม Hygiene ยี่ห้อนี้มีเอกลักษณ์จุดเด่นมากมาย ซึ่งการคิดค้นสูตรต่าง ๆ เลือกใช้ผู้เชี่ยวชาญการดูแลผ้าที่เพียบพร้อมประสบการณ์กว่าหลายปี และยังเป็นยี่ห้อเดียวที่มีผลิตภัณฑ์การดูแลผ้าครบทุกขั้นตอน ตอบโจทย์ให้กับแม่บ้านพ่อบ้านยุคใหม่ได้เป็นอย่างดีจริง ๆ อีกทั้งยังมีให้เลือกหลายสูตรมาก ๆ ส่วนใครอยากได้แบบสูตรเข้มข้น กลิ่นหอมสดชื่น แนะนำ Hygiene Expert Care สูตร Fabric Softener Peony Bloom ถ้าได้ใช้ต้องหลงรักแน่ ๆ
คุณสมบัติ
- ช่วยขจัดปัญหาเรื่องกลิ่นอับชื้น หรือกลิ่นเหม็นอับได้ดี
- สูตรนี้มีกลิ่นหอมจากดอกไม้บนต้นขณะมีชีวิตอยู่จึงได้ความหอม
- ซักตากผ้าได้แม้ในช่วงกลางคืน หรือตากผ้าในที่ร่ม โดยไม่มีกลิ่นอับ
- ด้วยเทคโนโลยี Life Scent นวัตกรรมล่าสุดที่มีเฉพาะในไฮยีนเท่านั้น
- ช่วยทำให้ผ้านุ่ม พลิ้วสวย ไม่ลีบติดตัว และทำให้รีดผ้าได้ง่ายมากยิ่งขึ้น
- สูตรเข้มข้นใช้เพียงแค่นิดเดียวก็ทำให้ผ้าหอมติดทนนาน ช่วยประหยัดได้มาก
- ราคา 120 บาท ต่อ 1,400 มล.
5. Pipper Standard กลิ่น Natural
รีวิวน้ำยาปรับผ้านุ่มลดกลิ่นอับต่อเนื่องกันต่อกับ Pipper Standard ยี่ห้อนี้มีจุดเด่นและเอกลักษณ์ชัดเจนมาก ด้วยที่ว่าเป็นผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดออร์แกนิคที่ผลิตจากส่วนผสมธรรมชาติ จึงเหมาะสำหรับคนผิวที่แพ้ง่าย ความหอมได้จากธรรมชาติ ไม่ฉุนหรือแรงเกินไป สามารถใช้ได้กับเสื้อผ้าของเด็กและผู้ใหญ่ ซึ่งน้ำยาปรับผ้านุ่ม Pipper Standard กลิ่น Natural ก็เป็นอีกหนึ่งสูตรที่อยากแนะนำมาก ๆ
คุณสมบัติ
- ช่วยลดการเกิดไฟฟ้าสถิตได้เป็นอย่างดี
- ช่วยทำให้ผ้ารีดง่ายมากยิ่งขึ้น ถูกใจแม่บ้าน
- กลิ่นหอมจากส่วนผสมของน้ำมันหอมระเหยธรรมชาติ
- ใช้ได้กับผ้าทุกชนิดทั้งของเด็กและผู้ใหญ่ รวมถึงผิวแพ้ง่ายมากก็ใช้ได้
- หมดปัญหาเรื่องกลิ่นอับชื้น แม้ตากผ้าในที่ร่ม หรือตากผ้าช่วงเวลากลางคืน
- ช่วยให้ผ้านุ่มเป็นธรรมชาติ ด้วยการใช้เลซิทีนจากถั่วเหลืองและเอนไซม์จากผลไม้
- ราคา 163 บาท ต่อ 750 มล.
6. Fineline Closer to Nature Exhibition กลิ่น Water Harmony
Fineline ถือว่าเป็นอีกหนึ่งยี่ห้อที่มีผลิตภัณฑ์การดูแลผ้าครบทุกขั้นตอน และยังได้รับความนิยมจากแม่บ้านยุคใหม่อีกด้วย ซึ่งสิ่งที่โดดเด่นที่ทำให้ผู้ใช้หลายคนชื่นชอบ ต้องยกให้เป็นเรื่องกลิ่นหอมที่ละมุน ให้ความสดชื่นได้ตลอดทั้งวัน พร้อมด้วยเทคโนโลยีที่ช่วยถนอมผ้า ยังคงให้สีสันสดใสของผ้าดูเหมือนใหม่อยู่ตลอด ส่วนใครชอบความเข้มข้น กลิ่นหอมธรรมชาติ แถมยังอ่อนโยนไม่ระคายเคือง เราแนะนำ Fineline สูตร Closer to Nature Exhibition แต่ถ้าใครต้องการลดกลิ่นอบชื้นได้ดี เลือกเป็นกลิ่น Water Harmony ดีต่อใจสุด ๆ
คุณสมบัติ
- กลิ่นหอมบริสุทธิ์ สดชื่น ยาวนาน
- ช่วยลดปัญหาเรื่องกลิ่นอับชื้นได้เป็นอย่างดี
- สูตรเข้มข้นกว่าน้ำยาปรับผ้านุ่มปกติถึง 5 เท่า
- มีสารสกัดจากธรรมชาติในการช่วยถนอมให้ผ้ามีความนุ่มฟู
- ช่วยรักษาสีของเสื้อผ้าให้มีความสดใส ดูเหมือนใหม่อยู่ตลอด
- ช่วยให้รีดผ้าได้ง่ายมากยิ่งขึ้น แถมยังสวมใส่ได้สบายเพราะนุ่มมาก ๆ
- ได้ผ่านการทดสอบโดยไม่ระคายเคืองกับผิวจากแพทย์ผิวหนังฝรั่งเศส
- ราคา 180 บาท ต่อ 500 มล.
7. HI CLASS กลิ่น Secret Romance
น้ำยาปรับผ้านุ่ม Hi CLASS ยี่ห้อนี้หลายคนอาจจะยังไม่รู้จัก หรือไม่ค่อยคุ้นสักเท่าไหร่ แต่ถ้าพูดถึงเรื่องความหอมบอกเลย Hi CLASS ไม่เป็นสองรองยี่ห้อไหนเลย จุดเด่นของยี่ห้อนี้จะเน้นเรื่องกลิ่นหอมที่ได้จากธรรมชาติ ขจัดปัญหาเรื่องกลิ่นต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นกลิ่นอับชื้น กลิ่นเหม็นอับ หรือกลิ่นตัว และที่สำคัญราคาน้ำยาปรับผ้านุ่มถือว่าถูกใจได้ใจมาก ๆ
คุณสมบัติ
- กลิ่นหอมจากธรรมชาติ ละมุน สดชื่น
- ลดกลิ่นอับชื้นได้เป็นอย่างดี แม้ตากผ้าในที่ร่ม
- ช่วยให้ผ้านุ่มลื่น สวมใส่สบาย และยังรีดผ้าง่ายมากยิ่งขึ้น
- ได้ผ่านการทดสอบทางการแพทย์แล้วว่าไม่ระคายเคือง เหมาะสำหรับทุกคนในครอบครัว
- ราคา 15 บาท ต่อ 550 มล.
8. Essence กลิ่นฟลอรัล
มารีวิวน้ำยาปรับผ้านุ่ม หอมติดทนนาน กับยี่ห้อ Essence เป็นอีกหนึ่งยี่ห้อที่มีคนพูดถึงกันเยอะมาก ๆ ไม่ว่าจะเป็นน้ำยาซักผ้า หรือน้ำยาปรับผ้านุ่ม มีกลิ่นหอมสดชื่นตลอดทั้งวัน คือถ้าใครที่ไม่ชอบกลิ่นฉุนแรงจนเกินไป แนะนำให้เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ของ Essence ตอบโจทย์ได้ดีจริง ๆ และยังสามารถใช้ได้กับทุกคนในครอบครัว
คุณสมบัติ
- กลิ่นหอมจากดอกไม้ที่สดชื่นมาก ๆ
- หอมนานด้วยเทคโนโลยี Encapsulate Perfume
- ช่วยขจัดปัญหากลิ่นอับชื้นได้ดี แม้ตากผ้าในที่ร่ม
- ช่วยให้ผ้านุ่มฟู สวมใส่ได้สบาย ทำให้รีดผ้าง่ายมากยิ่งขึ้น
- ปกป้องเส้นใยผ้าจากรังสีอัลตร้าไวโอเลต ทำให้ผ้ายังคงสีสดใสอยู่เสมอ
- ราคา 35 บาท ต่อ 600 มล.
9. De Paris กลิ่น Moonlight Harmony
น้ำยาปรับผ้านุ่มยี่ห้อไหนดี 2023 แนะนำยี่ห้อ De Paris นี้เลย ถูกใจพ่อบ้านแม่บ้านยุคใหม่อย่างแน่นอน ด้วยจุดเด่นที่มีความหอมดุจดั่งน้ำหอมสุดหรูของฝรั่งเศษ แถมยังมาพร้อมกับเทคโนโลยีที่ช่วยทำให้ผ้าหอมติดทนนานถึง 30 วัน โอ้ว้าว… ถ้าโดยส่วนตัวใครไม่ค่อยชอบฉีดน้ำหอม แนะนำให้หาซื้อน้ำยาปรับผ้านุ่มยี่ห้อนี้มาใช้ด่วน ๆ เลยจ้า ถูกใจชัวร์!
คุณสมบัติ
- ล็อกความหอมได้ยาวนานถึง 30 วัน
- ส่วนผสมที่ใช้เป็นมิตรมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
- กลิ่นหอมสุดหรูจากน้ำหอมชั้นสูงของฝรั่งเศส
- หมดปัญหากวนใจเรื่องกลิ่นอับชื้นตามเสื้อผ้า
- สูตรเข้มข้นกว่าน้ำยาปรับผ้านุ่มปกติถึง 6 เท่า
- ได้ผ่านการทดสอบทางการแพทย์ว่าไม่ระคายเคือง ผิวแพ้ง่ายก็ใช้ได้
- ราคา 39 บาท ต่อ 540 มล.
10. Fresh & Soft กลิ่น Charming Kiss
ปิดท้ายรีวิวน้ำยาปรับผ้านุ่มลดกลิ่นอับ กับยี่ห้อ Fresh & Soft มาพร้อมกับความโดดเด่นเรื่องความหอมสดชื่น ทุกครั้งเมื่อเคลื่อนไหวไปยังที่ต่าง ๆ ด้วยเอกสิทธิ์ความหอม โดยเฉพาะของ Fresh & Soft ที่จะเพิ่มความหอม และช่วยปกป้องกลิ่นอับ คืนความสดชื่นมีชีวิตชีวา ตลอดวัน จึงเป็นน้ำยาปรับผ้านุ่ม หอมติดทนนาน อีกยี่ห้อที่น่าสนใจหาซื้อมาใช้มาก ๆ
คุณสมบัติ
- กลิ่นหอมสดชื่นช่วยให้ผ่อนคลาย
- หมดปัญหาเรื่องกลิ่นอับชื้นแม้ตากผ้าในที่ร่ม
- ช่วยให้ผ้านุ่มลื่น ทำให้รีดผ้าได้ง่ายมากยิ่งขึ้น
- ช่วยปกป้องกลิ่นเหงื่อหรือกลิ่นอาหารระหว่างวันได้ดี
- มาพร้อมพร้อมเทคโนโลยีที่ช่วยถนอมและปรับสภาพเส้นใยเสื้อผ้า
- ราคา 91 บาท ต่อ 600 มล. (ชนิดเติมมี 6 ถุง)
ข้อควรระวังการใช้น้ำยาปรับผ้านุ่ม
เมื่ออ่านรีวิวน้ำยาปรับผ้านุ่มอันไหนหอมแล้ว คราวนี้ลองมาดูวิธีใช้น้ำยาปรับผ้านุ่มที่ถูกต้อง ควรใช้ในปริมาณเท่าไหร่อย่างไร และควรหลีกเลี่ยงผ้าประเภทไหนบ้าง เพื่อช่วยให้น้ำยาปรับผ้านุ่มเกิดประสิทธิภาพกับเนื้อผ้ามากที่สุด มีกลิ่นหอมติดทนยาวนานเหมือนฉีดน้ำหอมกลิ่นติดทนนานแบรนด์ดังก่อนออกจากบ้าน มาดูกัน
- ไม่ควรเทน้ำยาปรับผ้านุ่มลงบนเสื้อผ้าโดยตรง เพราะจะทำให้เกิดคราบสีขาว ๆ เกาะอยู่ตามเสื้อผ้าได้ หรืออาจจะทำให้การซักผ้านั้นล้างน้ำยาปรับผ้านุ่มออกไปไม่หมด ทำให้ผ้าลื่น หรือมีความมันแปลก ๆ ได้เช่นกัน วิธีแก้ง่ายนิดเดียวแค่เทน้ำยาปรับผ้านุ่มลงในช่องเครื่องซักผ้า หรือถ้าใครซักผ้าด้วยมือให้นำน้ำยาปรับผ้านุ่มผสมกับน้ำสะอาดตีให้เข้าก่อน นำเสื้อผ้าลงไปแช่แล้วซักผ้าตามปกติ เพียงแค่นี้ก็ไม่มีคราบตกค้างบนเสื้อผ้าแล้ว
- ไม่ควรใช้น้ำยาปรับผ้านุ่มกับเนื้อผ้าชนิดพิเศษ เช่น ผ้าไมโครแฟเบอร์, ผ้าเส้นใยสังเคราะห์, เสื้อผ้าเด็ก หรือชุดออกกำลังกาย เนื่องจากน้ำยาปรับผ้านุ่มนั้นมีสารเคมีผสมอยู่ด้วย หากนำเนื้อผ้าชนิดพิเศษมาแช่กับน้ำยาปรับผ้านุ่ม อาจทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของเนื้อผ้าเสื่อมลดลงได้ อย่างชุดออกกำลังกาย ตัวน้ำยาปรับผ้านุ่มจะเข้าไปทำลายการดูดซับเหงื่อและลดความเย็น หรือถ้าเป็นเสื้อผ้าเด็กอ่อนใช้แล้วอาจเกิดการระคายเคืองต่อผิวของเด็กได้ เป็นต้น ดังนั้น การใช้น้ำยาปรับผ้านุ่มจึงควรคำนึงถึงชนิดของผ้าด้วย
- ไม่ควรใช้น้ำยาปรับผ้านุ่มกับผ้าเช็ดตัว เนื่องจากจะทำให้ลดประสิทธิภาพการของผ้าเช็ดตัวลงได้ เป็นเหตุให้ผ้าเช็ดตัวไม่ซับน้ำ แล้วจะส่งผลให้คุณเช็ดตัวให้แห้งได้ยากมากยิ่งขึ้น ดังนั้น ถ้าใครกำลังจะซักผ้าเช็ดตัวล่ะก็ แนะนำว่าไม่ควรใส่น้ำยาปรับผ้านุ่ม ถึงแม้ว่าอยากจะให้ผ้านุ่มและมีกลิ่นหอมก็ตาม ให้เลือกใช้เป็นน้ำซักผ้าที่มีกลิ่นหอมแทน หรือลองเปลี่ยนมาซักด้วยน้ำส้มสายชูให้เติมลงไปในน้ำสุดท้ายของการซักผ้าจะช่วยทำให้ผ้าขนหนูนั้นนิ่มกลับมาน่าใช้เหมือนเดิม
- ไม่ควรใช้น้ำยาปรับผ้านุ่มกับเสื้อผ้าของเด็กแรกเกิด เนื่องจากน้ำยาปรับผ้านุ่มบางยี่ห้อ หรือบางสูตรมีส่วนผสมของสารเคมี ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวได้ เพราะเด็กแรกเกิดหรือเด็กเล็กจะมีผิวที่บอบบางมาก ๆ อาจทำให้แพ้ง่าย หรือถ้าใครอยากใช้น้ำยาปรับผ้านุ่มจริง ๆ แนะนำให้เลือกสูตรที่อ่อนโยน ผ่านการทดสอบจากแพทย์ผิวหนังผู้เชี่ยวชาญ มีความปลอดภัยต่อผิวบอบบาง หรือแม้แต่ผิวที่แพ้ง่ายก็สามารถใช้ได้
คัดมาแล้ว! น้ำยาปรับผ้านุ่มยี่ห้อไหนดี 2023 ถูกใจกลิ่นไหน ไปช้อปกันเลย
เป็นอันจบลงสำหรับการรีวิวทั้ง 10 น้ำยาปรับผ้านุ่มยี่ห้อไหนดี 2023 บอกเลยว่าดีทุกยี่ห้อ หอมทุกกลิ่น ขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละคนกันเลย ใครอยากลองเปลี่ยนน้ำยาปรับนุ่มเดิมที่เคยใช้อยู่ ก็ลองเลือกซื้อตามที่เราได้รีวิวกันได้น้า ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์จำเป็นที่เกี่ยวข้องอย่าง ไม้หนีบผ้า ตัวหนีบผ้าอลูมิเนียมสนิมไม่ขึ้น ไม้แขวนเสื้อ ราวแขวนผ้า หรือขวดใส่น้ำยาซักผ้า ขวดใส่น้ำยาปรับผ้านุ่ม มินิมอล สวยๆก็มีมากมาย
แต่ถ้าใครอยากได้สินค้าถูก บริการจัดส่งให้ถึงบ้าน ต้องมาเลือกช้อปออนไลน์กับ Shopee พร้อมรับส่วนลดเพียบ!! นอกจากนี้แล้วยังอีกอย่างหนึ่งที่คุณควรรู้ว่าการจะซักผ้าให้ดีนั้น บางครั้งไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าจะเลือกใช้น้ำผ้าซักผ้าและน้ำยาปรับผ้านุ่มอย่างเดียว แต่เครื่องซักผ้าเองก็มีผลต่อการซักผ้าให้สะอาด และช่วยในการถนอมผ้าเช่นกัน แล้วจะซื้อเครื่องซักผ้าฝาหน้าหรือฝาบนยี่ห้อไหนดีน้า เครื่องซักผ้าฝาบนยี่ห้อไหนดี เครื่องซักผ้าราคาไม่เกิน 5000 บาท หรือ บทความว่าเครื่องซักผ้า 15 กิโลตัวไหนดี ก็ลองเข้ามาอ่านรีวิวได้ที่ Shopee Blog ก่อนได้น้า