ต้นแก้ว ไม้ประดับยอดนิยมที่ปลูกกันมากในไทย เพราะมีกลิ่นหอม ตัวดอกสีขาวสวยงามน่ารัก เป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็กถึงขนาดกลาง พุ่มไม้เขียวชอุ่ม ใบสีเขียวเข้มรูปไข่มันวาวเป็นแผงเรียงสลับกัน ตัวดอกมีสีขาวและมีกลิ่นหอมเฉพาะตัว ออกดอกตลอดทั้งปี รวมถึงมีการดูแลที่ง่ายมาก ๆ นิยมปลูกเป็นแนวรั้วบ้านเพราะตัดแต่งทรงพุ่มได้ตามต้องการ เป็นอีกหนึ่งต้นไม้ที่เหมาะแก่การปลูกประดับบ้านอย่างมาก และดอกแก้วพันธุ์ที่นิยมปลูกกันนั้นจะมีอะไรบ้าง เรามีมาแนะนำพร้อมวิธีดูแล
ดอกแก้ว ไม้ประดับยอดฮิต ให้ร่มเงาและกลิ่นหอมยวนใจ
ต้นแก้วเป็นอีกหนึ่งต้นไม้ที่มีความเชื่อและเป็นไม้มงคล เพราะคนไทยเชื่อกันว่าหากปลูกต้นแก้วไว้ที่บ้านจะส่งผลให้คนในบ้านมีจิตใจบริสุทธิ์ เพราะเปรียบกับแก้วที่เป็นความใสสะอาดและมีความสดใส จึงนิยมปลูกไว้เพื่อเป็นสิริมงคลแก่บ้านและผู้อาศัย นอกจากนี้แล้วยังมีหลิ่นหอมนวลและโชยไปไกล มีสีขาวบริสุทธิ์ดูสะอาดตา ทำให้หลายคนนิยมปลูกไว้เพื่อนำดอกแก้วไปใช้บูชาพระอีกด้วย และพันธุ์ต่าง ๆ ที่คนนิยมปลูกกันนั้นมีอะไรบ้างมาดูกันเลย
1. ดอกแก้วหิมาลัย
ดอกแก้วหิมาลัย หรือดอกแก้วอินเดีย เป็นไม้พุ่มขนาดเล็กไม่ผลัดใบที่มีความสูงประมาณ 4-8 เมตร ใบเรียงแบบสลับกัน มีลักษณะเป็นรูปไข่สีเขียวเข้ม ความยาวของใบประมาณ 2-7 เซนติเมตร กว้าง 1-3 เซนติเมตร ปลายเรียวแหลม ขอบเป็นคลื่น ที่ผิวของใบจะมีต่อมน้ำมันทำให้มีกลิ่นค่อนข้างฉุน ตัวดอกจะเป็นสีขาวอยู่รวมกันเป็นช่อใหญ่ และออกเป็นช่อสั้นที่ปลายยอด กลีบดอกมีลักษณะ 5 กลีบ ปลายกลีบมน ตัวดอกมีขนาดประมาณ 1-2 เซนติเมตร ดอกแก้วหิมาลัยจะมีลักษณะพิเศษคือมีกลิ่นหอมมากในเวลากลางคืน เป็นพันธุ์ที่คนนิยมปลูกกันมากตามบ้านเรือน และออกดอกตลอดทั้งปี พบได้ในไทยทุกภาค รวมถึงอินเดีย จีน พม่า มาเลเซีย และออสเตรเลีย นอกจากเป็นไม้ดอกไม้ประดับแล้ว ใบของมันยังนำมาทำเป็นยาขับลม แก้จุกเสียดแน่นเฟ้อได้อีกด้วย
2. ดอกแก้วมุกดา
ดอกแก้วมุกดา หรือโกงกางเขา เป็นไม้ยืนต้นหรือไม้พุ่มไม่ผลัดใบที่มีความสูงประมาณ 3-15 เมตร ลักษณะเป็นไม้พุ่มรอเลื้อยที่มีพุ่มสูง สามารถบังแดดและให้ร่มเงาได้ แต่ค่อนข้างโตช้า ใบเลี้ยงเดี่ยวเรียงตรงข้ามกันลักษณะเป็นรูปวงรี ปลายใบมนจนถึงแหลม ขอบใบหนาและเรียบ ความยาวประมาณ 5-23 เซนติเมตร และมีความกว้างประมาณ 2-9 เซนติเมตร ส่วนดอกนั้น ดอกแก้วมุกดาจะออกดอกเป็นช่อสั้น ๆ บริเวณปลายกิ่ง และมีขนาดประมาณ 4-8 เซนติเมตร ปลายแยกออกเป็น 5 กลีบ กลีบดอกมีสีขาวหรือสีเหลืองอ่อนเชื่อมติดกันเป็นลักษณะเหมือนปากแตร มีกลิ่นหอมอ่อน ๆ ฟุ้งกระจายไปทั่วบริเวณที่ปลูก และกลิ่นจะหอมแรงขึ้นช่วงที่มีอากาศเย็นหรือหลังจากฝนตก ทรงพุ่มสวย ทนน้ำได้ดี และออกดอกตลอดทั้งปี พบมากในประเทศอินเดียและแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ส่วนในประเทศไทยพบได้ทุกภาค นอกจากเหมาะแก่การปลูกเป็นไม้ดอกไม้ประดับเพราะเป็นพันธุ์ไม้ที่ใบไม่ค่อยร่วงแล้ว ยังมีสรรพคุณทางยา ช่วยแก้ลมพิษ แก้ผื่นคัน บำรุงโลหิต ขับปัสสาวะ ป้องกันการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร และแก้โรคนิ่วในกระเพาะได้ด้วย
3. ดอกแก้วเจ้าจอม
ดอกแก้วเจ้าจอม ดอกไม้ที่มีสีฟ้าอมม่วงต่างจากชนิดอื่น ๆ เป็นไม้ไม่ผลัดใบขนาดเล็กถึงกลางที่มีความสูงประมาณ 10-15 เมตร ลำต้นจะแตกใบพุ่มแผ่กว้างเหมาะสำหรับปลูกให้ร่มเงาในสนาม มีทรงพุ่มสวยงามโดยธรรมชาติแต่โตช้า ใบจะเป็นแบบใบประกอบขนนกปลายคู่ มีใบย่อยเป็นคู่ ๆ เรียงกันในลักษณะตรงข้าม เป็นใบย่อย 2 คู่ 3 คู่ และ 4 คู่ ในขณะที่ดอกแก้วเจ้าจอมจะเป็นดอกเดี่ยวสีฟ้าอมม่วงหรือสีฟ้าคราม มีกลิ่นหอมละมุน ดอกจะออกเป็นช่อ มีกลีบประมาณ 5-6 กลีบ และมีเกสรสีเหลือง ช่อดอกจะใหญ่ตามการเจริญเติบโตของลำต้น และออกดอกเป็นช่วง ๆ ตลอดทั้งปี มีสรรพคุณในด้านสมุนไพรด้วย สามารถใช้รักษาโรคไขข้ออักเสบ โรคหอบหืด โรคเบาหวาน โรคเกาต์ และช่วยแก้อาการปวดประจำเดือน สามารถนำใบมาคั้นน้ำกินแก้อาการท้องเฟ้อ นำเปลือกมาทำเป็นยาระบาย ส่วนดอกทำผงชาชงดื่มเป็นยาบำรุงกำลังได้
4. ดอกแก้วแคระ
ดอกแก้วแคระเป็นไม้ต้นเล็ก นิยมนำมาทำเป็นบอนไซ ใบเป็นใบประกอบแบบขนนก ใบย่อยเป็นรูปไข่กลับและปลายใบมนโตมีสีเขียวสด ออกเรียงสลับกันประมาณ 6-7 ใบ ขนาดใบกว้าง 1-3 เซนติเมตร และยาว 2-7 เซนติเมตร ส่วนดอกจะออกเป็นช่อตามซอกใบ กลีบดอกสีขาว 5 กลีบ ปลายกลีบมนหรือเรียวแหลม แต่เมื่อดอกบานกลีบดอกจะม้วนออก และดอกบานเพียงวันเดียวก็จะร่วง มีกลิ่นหอมแรงในช่วงพลบค่ำถึงเช้ามืด ออกดอกตลอดทั้งปี นิยมปลูกเป็นไม้ประดับกลางแจ้งหรือไม้ประดับรั้วเพราะทนแดดมาก นอกจากนี้ส่วนของดอกยังใช้สกัดทำน้ำมันหอมระเหย และใบใช้เป็นยาขับโลหิตสำหรับสตรี แก้อาการจุกเสียดแน่นท้องได้อีกด้วย
วิธีดูแลต้นแก้ว
ดอกแก้วเป็นไม้ประดับที่ดูแลง่าย และชอบแสงแดดจัด ต้องการแสงแดดเต็มวัน และควรรดน้ำอย่างน้อยทุก ๆ 3-5 วันต่อครั้ง หรือสามารถรดวันเว้นวันได้ในช่วงหน้าร้อนเพราะถ้าปล่อยให้ขาดน้ำใบจะเหี่ยวให้เห็นทันที ต้นมักจะเป็นพุ่มกลมอยู่เสมอไม่ต้องตัดแต่งกิ่งมากนัก และควรใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก อัตรา 1-2 กิโลกรัมต่อต้น และใส่ปีละ 4-6 ครั้งก็เพียงพอ หรือหากจะใช้ปุ๋ยวิทยาศาสตร์ก็ได้ ให้ใช้ สูตร 15-15-15 อัตรา 200-300 กรัมต่อต้น และใส่ปีละ 4-6 ครั้งเช่นกัน
คนไทยนิยมปลูกดอกแก้วไว้เพื่อเป็นแนวรั้วบ้าน เพราะสามารถตัดแต่งทรงพุ่มได้ตามความต้องการ รวมถึงยังสามารถปลูกในกระถางเพื่อประดับอาคารบานเรือนได้อีกด้วย เป็นไม้พุ่มสวยทั้งยังมีกลิ่นหอมของดอกเป็นเอกลักษณ์ ทำให้หลายคนชื่นชอบและปลูกกันมาก