การประสบกับ “รถสตาร์ทไม่ติด” อาจเป็นเหตุการณ์ที่น่าหงุดหงิดและมักสร้างความตึงเครียดให้คนขับรถ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมันเกิดขึ้นโดยไม่คาดคิด บทความนี้จะอธิบายอาการทั่วไปของการสตาร์ทรถไม่ได้ ระบุสาเหตุที่เป็นไปได้ว่าสตาร์ทรถไม่ติดเกิดจากอะไรได้บ้าง และเสนอวิธีแก้รถสตาร์ทไม่ติดทีละขั้นตอนเพื่อให้รถของคุณกลับมาใช้งานได้อีกครั้ง เมื่อเข้าใจปัญหาเหล่านี้แล้ว คุณจะพร้อมรับมือกับสถานการณ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากขึ้น
หัวข้อต่างๆ ของบทความนี้
รถสตาร์ทไม่ติดเป็นอย่างไร
เมื่อรถของคุณสตาร์ทไม่ติด คุณมักจะพบอาการอย่างใดอย่างหนึ่งจากหลายอาการ สิ่งเหล่านี้อาจมีตั้งแต่การตอบสนองแบบเงียบๆ เมื่อบิดกุญแจ ได้ยินเสียงคลิกโดยที่เครื่องยนต์ไม่หมุน หรือเครื่องยนต์หมุนนิดหน่อย แต่ไม่ว่าเสียงตอนบิดกุญแจหรือกดปุ่มจะเป็นอย่างไร ทุกกรณีก็จะจบลงที่รถสตาร์ทไม่ติดและเครื่องยนต์ไม่ทำงาน แต่ละอาการสามารถบ่งบอกถึงปัญหาที่ซ่อนอยู่ที่แตกต่างกัน ซึ่งเราจะสำรวจในส่วนต่อไปนี้
สาเหตุทั่วไปของรถสตาร์ทไม่ติด เกิดจาก
1. แบตเตอรี่หมด
แบตเตอรี่หมดเป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดที่ทำให้รถสตาร์ทไม่ติด มักเกิดจากการเปิดไฟหรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทิ้งไว้เมื่อรถไม่ได้ทำงาน ซึ่งจะทำให้แบตเตอรี่หมด หรือไม่อย่างนั้นอาจเกิดจากการจอดรถทิ้งไว้โดยไม่ได้ใช้งานเป็นสัปดาห์หรือเป็นเดือน ก็อาจทำให้แบตเตอรี่หมดได้เช่นกัน
- วิธีแก้รถสตาร์ทไม่ติดจากแบตเตอรี่หมด: ก่อนอื่นให้ปิดเครื่องใช้ไฟฟ้าทั้งหมดในรถทั้งสองคัน ทำความสะอาดหัวจั๊มให้ดี หากมีขี้เกลือติดอาจลองเอาแปรงสีฟันจุ่มน้ำโซดาค่อยๆลองขัดออกและเช็ดให้แห้ง นำสายจั๊มมาจั๊มสตาร์ทแบตเตอรี่โดยใช้ยานพาหนะอื่นหรือเครื่องเพิ่มพลังงานแบตเตอรี่ หากการจั๊มสตาร์ทแล้วยังสตาร์ทไม่ติดอยู่ อาจจำเป็นต้องเปลี่ยนแบตเตอรี่
Cr. Unsplash
2. คอยล์จุดระเบิดรถมีปัญหา
หากแบตเตอรี่ของคุณอยู่ในสภาพดีแต่รถของคุณยังคงสตาร์ทไม่ติด คอยล์จุดระเบิดรถยนต์ของคุณอาจเป็นสาเหตุของปัญหา เพราะคอยล์จุดระเบิดมีหน้าที่สร้างประกายไฟ เพื่อให้ไฟส่งต่อไปยังหัวเทียนและทำให้เครื่องยนต์จองรถโดยรวมทำงานได้ต่อไป ดังนั้น สาเหตุหนึ่งของรถสตาร์ทไม่ติดหรือรถสตาร์ทติดยาก อาจะเป็นเพราะคอยล์จุดระเบิดพังก็เป็นได้
- วิธีแก้รถสตาร์ทไม่ติดจากคอยล์จุดระเบิดมีปัญหา: หากสงสัยว่ารถสตาร์ทไม่ติด เกิดจากคอยล์จุดระเบิดเสียหาย คงต้องโทรให้รถลากไปเข้าศูนย์หรืออู่เพื่อตรวจสอบและลองปรึกษาช่างมืออาชีพเพื่อซ่อมแซมหรือเปลี่ยนคอยล์ใหม่ แต่หากเพียงรถสตาร์ทติดยากแต่ยังติดอยู่ ก็อย่าลืมหาเวลาไปให้ช่างดูและตรวจสอบบำรุงรักษารถก่อนเกิดปัญหารถสตาร์ทไม่ติดในที่ๆไม่คุ้นเคย เปลี่ยว และอยู่ในเวลาที่หาความช่วยเหลือได้ยาก
3. มอเตอร์สตาร์ท (ไดชาร์จ) เสีย
มอเตอร์สตาร์ทหรือไดชาร์จที่ชำรุดอาจทำให้รถของคุณสตาร์ทไม่ติดได้ เนื่องจากไดชาร์จทำหน้าที่สร้างกระแสไฟฟ้าจากการทำงานของเครื่องยนต์แล้วส่งต่อไปยังแบตเตอรี่ ถ้าไดชาร์จเสียก็แปลว่าการส่งกระแสไฟฟ้าระหว่างเครื่องยนต์กับแบตเตอรี่ไม่เกิดขึ้น ทำให้เครื่องยนต์ไม่ทำงานและรถสตาร์ทไม่ติด ซึ่งตอนสตาร์ทมักมีเสียงคลิกๆ แต่สุดท้ายก็สตาร์ทไม่ติด ถ้าได้ยินเสียงคลิกๆตอนพยายามสตาร์ทอาจสงสัยได้ว่าเป็นเพราะไดชาร์จเสีย
- วิธีแก้รถสตาร์ทไม่ติดจากไดชาร์จเสีย: จำเป็นต้องเปลี่ยนสตาร์ทเตอร์หากชำรุด งานนี้มักจะได้รับการจัดการที่ดีที่สุดโดยมืออาชีพ
4. ไส้กรองน้ำมันเชื้อเพลิงอุดตัน
ไส้กรองน้ำมันเชื้อเพลิงที่อุดตันสามารถขัดขวางการไหลของน้ำมันเชื้อเพลิงเข้าสู่เครื่องยนต์ ส่งผลให้ไม่สามารถสตาร์ทได้
- วิธีแก้รถสตาร์ทไม่ติดจากไส้กรองน้ำมันอุดตัน: เปลี่ยนไส้กรองน้ำมันเชื้อเพลิง การเปลี่ยนเป็นประจำซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการบำรุงรักษารถยนต์สามารถป้องกันปัญหานี้ได้
5. น้ำมันหมด
บางครั้งคำอธิบายที่ง่ายที่สุดก็คือคำอธิบายที่ถูกต้อง นั่นก็คือ ถังน้ำมันเชื้อเพลิงเปล่า หรือ รถคุณน้ำมันหมด ซึ่งปัญหานี้อาจถูกป้องกันได้ด้วยการซื้อน้ำมันเป็นลิตรหรือแกลลอนสำรองไว้ที่หลังรถของคุณ เก็บไว้ใช้ในกรณีฉุกเฉินที่หาที่เติมน้ำมันไม่ได้ระหว่างเดินทางไกล เป็นต้น
- วิธีแก้รถสตาร์ทไม่ติดจากน้ำมันหมด: ซื้อน้ำมันมาทำการเติมหรือใช้บริการเดลิเวอรี่จากเซอวิสบริเวญใกล้เคียง อาจโทรสอบถามปั๊มใกล้ๆเพื่อให้หาวินมอเตอร์ไซค์รับจ้างมาส่งก็ได้ ต่อไปก็เช็คให้แน่ใจว่าคุณมีน้ำมันเชื้อเพลิงเพียงพอในถังเสมอ เติมน้ำมันทันทีที่น้ำมันเหลือน้อยหรือเมื่อไฟแสดงเตือนว่าน้ำมันเหลือน้อยแล้ว ถือเป็นแนวปฏิบัติที่ดีที่จะไม่ปล่อยให้มาตรวัดน้ำมันเชื้อเพลิงของคุณหมด
Cr. Pixabay
6. เครื่องยนต์ร้อนจัด
หากเครื่องยนต์ของคุณร้อนเกินไป อาจไม่สามารถสตาร์ทได้เพื่อป้องกันความเสียหายเพิ่มเติม
- วิธีแก้รถสตาร์ทไม่ติดจากเครื่องยนต์ร้อนเกินไป: ปล่อยให้เครื่องยนต์เย็นลงและตรวจสอบระดับน้ำยาหล่อเย็น ตรวจสอบรอยรั่วหรือหม้อน้ำชำรุด
เคล็ดลับเพิ่มเติมสำหรับวิธีแก้รถสตาร์ทไม่ติด
ตรวจสอบแผงไฟแสดงสถานะหน้ารถของคุณ
ไฟที่แผงหน้าปัดสามารถให้ข้อมูลที่สำคัญเกี่ยวกับสาเหตุที่รถของคุณสตาร์ทไม่ติดได้ ให้ความสนใจกับไฟเตือนที่สว่างขึ้นเมื่อคุณพยายามสตาร์ทรถ อีกทั้งสำหรับรถรุ่นเก่า คุณไม่ควรปล่อยให้สัญญาณเตือนน้ำหมดขึ้นมานานๆ เพราะเกี่ยวข้องกับปั๊มติ๊กที่ทำหน้าที่ส่งพลังงานจากเชื้อเพลิงไปยังเครื่องยนต์ส่วนต่างๆ ถ้าทิ้งไว้ให้น้ำมันจะหมดนานๆ ปั๊มติ๊กอาจทำการนำอากาศเข้ามาแทนที่ทำให้รถพังเร็วขึ้นได้ และทำให้คุณตั้งคำถามว่าสตาร์ทรถไม่ติดเกิดจากอะไรในเวลาต่อมา
ฟังรถของคุณ
เสียงที่เกิดขึ้นเมื่อพยายามสตาร์ทรถเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงปัญหา ถ้าวันหนึ่งคุณได้ยินเสียงที่รถพยายามสตาร์ทนานกว่าปกติ ได้ยินเสียงคลิกๆหรือเสียงแชะๆอาจชี้ว่าคุณอาจกำลังมีปัญหาแบตเตอรี่หรือไดชาร์จ ในขณะที่เสียงหึ่งๆ อาจบ่งบอกถึงสิ่งผิดปกติในระบบเชื้อเพลิง
พารถไปเข้าศูนย์หรืออู่เพื่อบำรุงรักษาตามรอบ
รถเองก็เหมือนร่างกายคนที่ต้องการการบำรุงรักษาอย่างสม่ำเสมอ เพื่อตรวจสุขภาพและเช็คว่าอะไหล่แต่ละชิ้นยังทำงานปกติดีใช่หรือไม่ อาจต้องการการทำความสะอาด ปรับปรุง หรือเปลี่ยน การตรวจสอบและซ่อมบำรุงเป็นประจำสามารถป้องกันสาเหตุส่วนใหญ่ที่ทำให้รถสตาร์ทไม่ติดได้
ตารางสรุปรถสตาร์ทไม่ติด เกิดจากอะไร แก้อย่างไร
ปัญหา | อาการ | วิธีแก้ปัญหาเบื้องต้น |
แบตเตอรี่หมด | เครื่องยนต์เงียบ ไม่มีการตอบสนอง | จั๊มสตาร์ทแบตให้ใช้ได้อีกครั้งไปก่อน หรือ เปลี่ยนแบตเตอรี่ใหม่ |
คอยล์จุดระเบิดมีความผิดปกติ | รถไม่ตอบสนอง | ตรวจสอบและเปลี่ยนคอยล์จุด |
มอเตอร์สตาร์ทหรือไดชาร์จมีข้อบกพร่อง | มีเสียงคลิ๊กตอนพยายามสตาร์ท | เปลี่ยนไดชาร์จ |
ไส้กรองน้ำมันเชื้อเพลิงอุดตัน | มีเสียงเครื่องยนต์บ้างแต่สตาร์ทไม่ติด | เปลี่ยนไส้กรองน้ำมันเชื้อเพลิง |
น้ำมันหมด | มีเสี่ยงปั่นตอนสตาร์ทแต่ก็หยุดลง | เติมน้ำมัน |
เครื่องยนต์ร้อนเกินไป | รถสตาร์ทไม่ติด ฮู้ดด้านหน้าร้อนมาก | รอให้รถเย็นลงและตรวจสอบน้ำยาหล่อเย็น |
รถเสีย สตาร์ทไม่ติด ควรโทรหาใคร ?
หลายคนอ่านสาเหตุกันไปแล้วก็คงจะคิดว่า “ใช่ ต้องเอารถเข้าไปซ่อม เปลี่ยน และให้ช่างดูอาการ ป้องกัน แต่ตอนนี้รถสตาร์ทไม่ติดแล้ว เอารถไปตรวจเองไม่ได้ จะให้ทำยังไง?” ด้วยความหัวเสียของการเสียแผนการเดินทางในวันนี้ของคุณ อย่าพึ่งโมโหไป เพราะเรารวบรวมมาให้แล้วเช่นกันว่าคุณสามารถขอความช่วยเหลือจากใครได้บ้าง ดังนี้
- โทรแจ้งเหตุด่วนเหตุร้าย เบอร์ 191
- โทรแจ้งตำรวจทางหลวงเพื่อขอความช่วยเหลือ เบอร์ 1193
- โทรแจ่งอุบัติเหตุบนทางด่วน เบอร์ 1543
- โทรแจ้งสายด่วนกรมทางหลวง เบอร์ 1586
- โทร สายด่วนอุบัติเหตุ เบอร์ 02-711-9161, 02-711-9162
- โทรแจ้ง จส 100 เบอร์ 1137
- โทรสวภ. 91 เบอร์ 1644
- โทรร่วมด้วยช่วยกัน (เครือข่ายอาสาสมัคร) เบอร์ 1677
- โทรหาประกันรถยนต์ของคุณ
- โทรหาบริการเสริมจากบัตรเครดิตของคุณ
บทสรุป
หากคุณพบว่าตัวเองติดอยู่กับ “รถสตาร์ทไม่ติด” จำไว้ว่าบทความนี้พร้อมให้ความช่วยเหลือ จากการทำความเข้าใจอาการไปจนถึงการดำเนินการแก้ไขสำหรับแต่ละสาเหตุ ตอนนี้คุณก็พร้อมที่จะรับมือกับปัญหาโดยตรงแล้ว การบำรุงรักษาตามปกติและความรู้ในการแก้ไขปัญหาเล็กน้อยจะทำให้รถของคุณเชื่อถือได้และพร้อมที่จะสตาร์ทเมื่อคุณต้องการ หากต้องการความช่วยเหลือเพิ่มเติม ให้พิจารณาขอความช่วยเหลือจากช่างเครื่องมืออาชีพเสมอ