การประสบกับปัญหาอยู่ดีๆรถดับ สตาร์ทไม่ติด เป็นปัญหาที่พบเจอได้บ่อยครั้งสำหรับคนใช้รถ และอาจกลายเป็นเหตุการณ์ที่ชวนหงุดหงิดใจ โดยเฉพาะเวลาที่เร่งรีบ หลายคนที่เคยเจอสถานการณ์บิดกุญแจแล้วไฟไม่ขึ้น สตาร์ทไม่ติดเหล่านี้ คงอยากรู้ว่าจะแก้ไขได้อย่างไรบ้าง เพื่อให้การใช้งานของรถยนต์ราบรื่นและรวดเร็วยิ่งขึ้น
วันนี้ Shopee Blog จะมาอธิบายอาการทั่วไปของรถสตาร์ทไม่ติด ไม่มีเสียงอะไรเลย และบอกถึงสาเหตุว่ารถสตาร์ทไม่ติดเกิดจากอะไรได้บ้าง รวมถึงวิธีแก้ปัญหาที่สามารถนำไปใช้ได้จริง เพื่อให้พร้อมรับมือกับสถานการณ์ไม่คาดคิดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
หัวข้อต่างๆ ของบทความนี้
รถสตาร์ทไม่ติดเป็นอย่างไร
เมื่อรถของคุณสตาร์ทไม่ติด คุณมักจะพบอาการอย่างใดอย่างหนึ่งจากหลายอาการ สิ่งเหล่านี้อาจมีตั้งแต่การตอบสนองแบบเงียบ ๆ เมื่อบิดกุญแจ ได้ยินเสียงคลิกโดยที่เครื่องยนต์ไม่หมุน หรือเครื่องยนต์หมุนนิดหน่อย แต่ไม่ว่าเสียงตอนบิดกุญแจหรือกดปุ่มจะเป็นอย่างไร ทุกกรณีก็จะจบลงที่รถสตาร์ทไม่ติดและเครื่องยนต์ไม่ทำงาน แต่ละอาการสามารถบ่งบอกถึงปัญหาที่ซ่อนอยู่ที่แตกต่างกัน ซึ่งเราจะสำรวจในส่วนต่อไปนี้
อาการต่าง ๆ ที่มักเจอได้บ่อย เมื่อรถสตาร์ทไม่ติด มีอะไรบ้าง

การที่รถสตาร์ทไม่ติดนั้น มักจะพบอาการอย่างใดอย่างหนึ่งจากหลายอาการ ตั้งแต่บิดกุญแจแล้วไฟไม่ขึ้น สตาร์ทไม่ติด หรือได้ยินเสียงคลิกโดยที่เครื่องยนต์ไม่หมุน หรือเครื่องยนต์หมุนนิดหน่อย ไปจนถึงอยู่ดีๆรถดับ สตาร์ทไม่ติดขึ้นมาดื้อ ๆ เลยก็มี ซึ่งอาการต่าง ๆ ที่มักเจอได้บ่อย ได้แก่
1. บิดกุญแจแล้วไฟไม่ขึ้น สตาร์ทไม่ติด
หากไฟรถไม่ติดและสตาร์ทไม่ติดเมื่อบิดกุญแจ สาเหตุที่พบบ่อยที่สุดคือแบตเตอรี่เสื่อมหรือชำรุด หรือปัญหาที่การเชื่อมต่อแบตเตอรี่ สาเหตุอื่น ๆ ที่อาจเกิดขึ้น ได้แก่ มอเตอร์สตาร์ทเสีย สวิตช์กุญแจเสีย สวิตช์นิรภัยเกียร์ว่างเสีย สายไฟชำรุดเสียหาย และระบบไฟฟ้าในรถมีปัญหา เป็นต้น
2. อยู่ดีๆรถดับ สตาร์ทไม่ติด
การที่รถดับกะทันหันและสตาร์ทไม่ติดมักเกิดจากปัญหาแบตเตอรี่หมด ปัญหาเชื้อเพลิง หรือไดชาร์จเสีย หรือแม้แต่พวงมาลัยติดขัดก็อาจเป็นสาเหตุที่อยู่ดีๆรถดับ สตาร์ทไม่ติดได้เช่นกัน
3. ไฟหน้าปัดหรี่ลง และมีเสียงดังขณะสตาร์ท
ส่วนใหญ่มักเกิดจากแบตเตอรี่เสื่อมหรือเสื่อมสภาพ มอเตอร์สตาร์ทเสีย หรือการเชื่อมต่อกับแบตเตอรี่หรือสตาร์ทเตอร์ไม่ถูกต้อง ซึ่งทำให้ไฟหมดและเกิดเสียงดัง สาเหตุที่พบบ่อย ได้แก่ ไดชาร์จเสีย หรือไฟฟ้าลัดวงจร ซึ่งทำให้สตาร์ทเตอร์ดึงพลังงานจากไฟมากเกินไป
4. สตาร์ทได้ตามปกติแต่สตาร์ทไม่ติด
รถสตาร์ทไม่ติดเกิดจากอะไร สาเหตุนี้อาจเกิดจากการขาดน้ำมันเชื้อเพลิงหรือประกายไฟในกระบอกสูบ ปัญหาที่พบบ่อย ได้แก่ ถังน้ำมันเชื้อเพลิงหมด ปั๊มน้ำมันเชื้อเพลิงเสียหรือไส้กรองน้ำมันเชื้อเพลิงอุดตัน หัวเทียนเสีย คอยล์จุดระเบิดเสีย หรือระบบกันขโมยหรือเซ็นเซอร์ตำแหน่งเพลาข้อเหวี่ยงมีปัญหา เป็นต้น
สาเหตุทั่วไปของรถสตาร์ทไม่ติดเกิดจากอะไรได้บ้าง พร้อมวิธีแก้ไข

1. แบตเตอรี่หมด
แบตเตอรี่หมดเป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดที่ทำให้รถสตาร์ทไม่ติด รวมถึงอาการอยู่ดีๆรถดับ สตาร์ทไม่ติดด้วยเช่นกัน มักเกิดจากการเปิดไฟหรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทิ้งไว้เมื่อรถไม่ได้ทำงาน ซึ่งจะทำให้แบตเตอรี่หมด หรือไม่อย่างนั้นอาจเกิดจากการจอดรถทิ้งไว้โดยไม่ได้ใช้งานเป็นสัปดาห์หรือเป็นเดือน ก็อาจทำให้แบตเตอรี่หมดได้เช่นกัน
- วิธีแก้รถสตาร์ทไม่ติดจากแบตเตอรี่หมด: ก่อนอื่นให้ปิดเครื่องใช้ไฟฟ้าทั้งหมดในรถทั้งสองคัน ทำความสะอาดหัวจั๊มให้ดี หากมีขี้เกลือติดอาจลองเอาแปรงสีฟันจุ่มน้ำโซดาค่อยๆลองขัดออกและเช็ดให้แห้ง นำสายจั๊มมาจั๊มสตาร์ทแบตเตอรี่โดยใช้ยานพาหนะอื่นหรือเครื่องเพิ่มพลังงานแบตเตอรี่ หากการจั๊มสตาร์ทแล้วยังสตาร์ทไม่ติดอยู่ อาจจำเป็นต้องเปลี่ยนแบตเตอรี่
2. แบตเตอรี่เสื่อม
แบตเตอรี่อ่อนหรือแบตเตอรี่เสื่อม เป็นหนึ่งในสาเหตุของอาการรถสตาร์ทไม่ติดเกิดจากอะไรที่พบบ่อยที่สุด แม้ว่าไฟบนแผงหน้าปัดจะติด แต่แบตเตอรี่อาจไม่มีพลังงานเพียงพอที่จะสตาร์ทเครื่องยนต์ อาการที่พบคือ ไฟบนแผงหน้าปัดหรี่ลง อุปกรณ์ไฟฟ้าทำงานช้าลง และมีเสียงคลิกเมื่อบิดกุญแจ อาจสังเกตเห็นว่าไฟภายในรถหรี่ลงเมื่อพยายามสตาร์ทรถ
- วิธีแก้รถสตาร์ทไม่ติดจากแบตเตอรี่เสื่อม: สามารถแก้ปัญหาได้ด้วยการพ่วงแบตเตอรี่รถยนต์โดยใช้สายพ่วงแบตเตอรี่กับรถคันอื่น อย่าลืมเชื่อมต่อสายไฟให้ถูกต้อง โดยตรวจสอบให้แน่ใจว่าต่อสายพ่วงสีแดงเข้าขั้วบวกของรถที่แบตหมดก่อน แล้วต่อเข้ากับขั้วบวกของแบตเตอรี่ของรถคันปกติ แล้วต่อสายสีดำเข้าขั้วลบของรถคันปกติ จากนั้นนำสายสีดำอีกด้านเชื่อมต่อกับจุดกราวด์ ของรถคันที่แบตเตอรี่หมด แต่หากแบตเตอรี่เก่าหรือทำให้เกิดปัญหาซ้ำ ๆ อาจถึงเวลาเปลี่ยนแบตเตอรี่ใหม่
3. คอยล์จุดระเบิดรถมีปัญหา
หากแบตเตอรี่ของคุณอยู่ในสภาพดีแต่รถสตาร์ทไม่ติด ไม่มีเสียงอะไรเลย คอยล์จุดระเบิดรถยนต์ของคุณอาจเป็นสาเหตุของปัญหา เพราะคอยล์จุดระเบิดมีหน้าที่สร้างประกายไฟ เพื่อให้ไฟส่งต่อไปยังหัวเทียนและทำให้เครื่องยนต์จองรถโดยรวมทำงานได้ต่อไป ดังนั้น สาเหตุหนึ่งของรถสตาร์ทไม่ติดเกิดจากอะไรหรือรถสตาร์ทติดยากนั้น อาจเป็นเพราะคอยล์จุดระเบิดพังก็เป็นได้
- วิธีแก้รถสตาร์ทไม่ติดจากคอยล์จุดระเบิดมีปัญหา: หากสงสัยว่ารถสตาร์ทไม่ติด เกิดจากคอยล์จุดระเบิดเสียหาย คงต้องโทรให้รถลากไปเข้าศูนย์หรืออู่เพื่อตรวจสอบและลองปรึกษาช่างมืออาชีพเพื่อซ่อมแซมหรือเปลี่ยนคอยล์ใหม่ แต่หากเพียงรถสตาร์ทติดยากแต่ยังติดอยู่ ก็อย่าลืมหาเวลาไปให้ช่างดูและตรวจสอบบำรุงรักษารถก่อนเกิดปัญหารถสตาร์ทไม่ติดในที่ ๆ ไม่คุ้นเคย เปลี่ยว และอยู่ในเวลาที่หาความช่วยเหลือได้ยาก
4. ไดชาร์จเสีย
ไดชาร์จ (Alternator) ที่ชำรุดอาจทำให้รถของคุณสตาร์ทไม่ติดได้ เนื่องจากไดชาร์จทำหน้าที่สร้างกระแสไฟฟ้าจากการทำงานของเครื่องยนต์แล้วส่งต่อไปยังแบตเตอรี่ ถ้าไดชาร์จเสียก็แปลว่าการส่งกระแสไฟฟ้าระหว่างเครื่องยนต์กับแบตเตอรี่ไม่เกิดขึ้น ทำให้เครื่องยนต์ไม่ทำงานและบิดกุญแจแล้วไฟไม่ขึ้น สตาร์ทไม่ติด ซึ่งตอนสตาร์ทมักมีเสียงคลิก ๆ แต่สุดท้ายก็สตาร์ทไม่ติด ถ้าได้ยินเสียงคลิก ๆ ตอนพยายามสตาร์ทอาจสงสัยได้ว่าเป็นเพราะไดชาร์จเสีย
- วิธีแก้รถสตาร์ทไม่ติดจากไดชาร์จเสีย: จำเป็นต้องเปลี่ยนสตาร์ทเตอร์หากชำรุด งานนี้มักจะได้รับการจัดการที่ดีที่สุดโดยมืออาชีพ
5. ไดสตาร์ทมีปัญหา
แบตเตอรี่หรือไดชาร์จที่หมดไม่ใช่สิ่งเดียวที่ทำให้อยู่ดีๆรถดับ สตาร์ทไม่ติด เพราะหากไดสตาร์ท (Starter Motor) ที่รับสัญญาณไฟฟ้าเพื่อสตาร์ทเครื่องยนต์ทำงานผิดปกติ รถยนต์ของคุณอาจบิดกุญแจแล้วไฟไม่ขึ้น สตาร์ทไม่ติดได้เช่นกัน ซึ่งอาการทั่วไปของไดสตาร์ทมีปัญหา คือหากคุณบิดกุญแจจนสุดแล้ว ไฟติด แต่เครื่องยนต์ไม่หมุนหรือดังคลิก ไดสตาร์ทของคุณอาจเป็นสาเหตุ การพยายามใช้ไดสตาร์ทที่ฟิวส์ขาดซ้ำ ๆ อาจทำให้มอเตอร์ร้อนเกินไปและมีควันออกมาได้
- วิธีแก้รถสตาร์ทไม่ติดจากไดสตาร์ทมีปัญหา: ให้ลองเคาะไดสตาร์ทเบา ๆ ด้วยเครื่องมือ ซึ่งบางครั้งอาจช่วยให้มอเตอร์ทำงานได้ชั่วคราว แต่หากการเคาะไม่ได้ผล แสดงว่าอาจต้องเปลี่ยนไดสตาร์ทใหม่ การถอดและติดตั้งไดสตาร์ทอาจมีความซับซ้อนและควรขอความช่วยเหลือจากช่างมืออาชีพ
6. ไส้กรองน้ำมันเชื้อเพลิงอุดตัน
เมื่อไส้กรองน้ำมันเชื้อเพลิงมีสิ่งสกปรกหรือคราบตะกอนอุดตัน จะทำให้การไหลของน้ำมันเชื้อเพลิงไปยังเครื่องยนต์ไม่ราบรื่น ปริมาณน้ำมันที่เข้าสู่ห้องเผาไหม้ลดลงหรือไม่เพียงพอ ส่งผลให้เครื่องยนต์สตาร์ทไม่ติด
- วิธีแก้รถสตาร์ทไม่ติดจากไส้กรองน้ำมันอุดตัน: เปลี่ยนไส้กรองน้ำมันเชื้อเพลิง การเปลี่ยนเป็นประจำซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการบำรุงรักษารถยนต์สามารถป้องกันปัญหานี้ได้
7. สายไฟหลวม หรือขั้วแบตหลุด

หลายครั้งที่รถสตาร์ทไม่ติด ไม่มีเสียงอะไรเลย แต่ไฟบนแผงหน้าปัดยังคงติดสว่างอยู่ อาจเกิดจากปัญหาสายไฟหลวม หรือขั้วแบตหลุด รวมถึงอาจมีปัญหาสายไฟและระบบไฟฟ้าที่ชำรุดได้ อาการที่พบคือประสิทธิภาพการทำงานของระบบไฟฟ้าไม่สม่ำเสมอ มีความเสียหายที่เกิดขึ้นบนสายไฟ และส่วนประกอบไฟฟ้าบางอย่างอาจทำงานไม่ถูกต้อง
- วิธีแก้รถสตาร์ทไม่ติดจากสายไฟหลวม หรือขั้วแบตหลุด: ตรวจสอบสายไฟว่าหลวม ขาด หรือชำรุดหรือไม่ หากพบปัญหาใด ๆ ควรซ่อมแซมหรือเปลี่ยนใหม่ ควรใส่ใจเป็นพิเศษกับสายแบตเตอรี่และขั้วแบต เนื่องจากขั้วแบตที่หลวม หลุด หรือสึกกร่อน อาจทำให้เกิดปัญหาอยู่ดีๆรถดับ สตาร์ทไม่ติดได้ นอกจากนี้ ควรตรวจสอบฟิวส์และรีเลย์ที่เกี่ยวข้องกับระบบสตาร์ทด้วย เนื่องจากฟิวส์ขาดหรือรีเลย์เสียอาจทำให้รถสตาร์ทไม่ติด ไม่มีเสียงอะไรเลยได้เช่นกัน
8. ไส้กรองอากาศอุดตัน
ไส้กรองอากาศอุดตันเป็นหนึ่งในสาเหตุของรถสตาร์ทไม่ติดเกิดจากอะไร คือไส้กรองอากาศที่อุดตันอาจขัดขวางการไหลเวียนของอากาศไปยังเครื่องยนต์ ทำให้รถสตาร์ทไม่ติดได้ อาการคือเครื่องยนต์สตาร์ทได้แต่สตาร์ทไม่ติด มีควันดำจากท่อไอเสีย และเสียงเครื่องยนต์ผิดปกติ เช่น เสียงเครื่องยนต์กระตุก
- วิธีแก้รถสตาร์ทไม่ติดจากไส้กรองอากาศอุดตัน: ตรวจสอบไส้กรองอากาศและเปลี่ยนใหม่หากสกปรกหรืออุดตัน การเปลี่ยนไส้กรองอากาศเป็นประจำเป็นส่วนหนึ่งของการบำรุงรักษา ไส้กรองอากาศที่สะอาดจะช่วยให้เครื่องยนต์ได้รับอากาศในปริมาณที่เหมาะสมสำหรับการเผาไหม้ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและประหยัดเชื้อเพลิงได้
9. ปัญหาระบบเชื้อเพลิง
บางครั้งรถสตาร์ทไม่ติด ไม่มีเสียงอะไรเลย อาจมาจากการที่น้ำมันหมด แต่ในอีกกรณีก็อาจจะเกิดจากปัญหาระบบเชื้อเพลิง เพราะหากระบบเชื้อเพลิงไม่จ่ายเชื้อเพลิงให้กับเครื่องยนต์ รถก็จะสตาร์ทไม่ติด ไม่มีกลิ่นน้ำมันเชื้อเพลิงจากท่อไอเสีย หรือเครื่องยนต์อาจสตาร์ทติดชั่วครู่แล้วดับไป กลายเป็นอยู่ดีๆรถดับ สตาร์ทไม่ติดเสียอย่างนั้น
- วิธีแก้รถสตาร์ทไม่ติดจากปัญหาระบบเชื้อเพลิง: หากบิดกุญแจแล้วไฟไม่ขึ้น สตาร์ทไม่ติด ให้ตรวจสอบปั๊มน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อให้แน่ใจว่าทำงานได้อย่างถูกต้องและจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงให้กับเครื่องยนต์ เมื่อเปิดสวิตช์กุญแจ คุณจะได้ยินเสียงหึ่ง ๆ จากถังน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งบ่งชี้ว่าปั๊มกำลังทำงาน นอกจากนี้ ควรตรวจสอบท่อน้ำมันเชื้อเพลิงและไส้กรองด้วยว่ามีสิ่งอุดตันหรือรอยรั่วใด ๆ หรือไม่
10. เครื่องยนต์ร้อนจัด
หากเครื่องยนต์ของคุณร้อนเกินไป อาจทำให้ระบบทำงานภายในเสียสมดุล เช่น น้ำมันเครื่องเสื่อมสภาพเร็วขึ้นหรือชิ้นส่วนภายในขยายตัวผิดปกติ ซึ่งส่งผลให้อาจเกิดปัญหารถสตาร์ทไม่ติด ไม่มีเสียงอะไรเลยได้
- วิธีแก้รถสตาร์ทไม่ติดจากเครื่องยนต์ร้อนเกินไป: ปล่อยให้เครื่องยนต์เย็นลงและตรวจสอบระดับน้ำยาหล่อเย็น ตรวจสอบรอยรั่วหรือหม้อน้ำชำรุด
เคล็ดลับเพิ่มเติมสำหรับวิธีแก้รถสตาร์ทไม่ติด ไม่มีเสียงอะไรเลย

1. ตรวจสอบแผงไฟแสดงสถานะหน้ารถของคุณ
ไฟที่แผงหน้าปัดสามารถให้ข้อมูลที่สำคัญเกี่ยวกับสาเหตุที่รถสตาร์ทไม่ติด ไม่มีเสียงอะไรเลยได้ อย่าลืมให้ความสำคัญกับไฟเตือนที่สว่างขึ้นเมื่อคุณพยายามสตาร์ทรถ อีกทั้งสำหรับรถรุ่นเก่า คุณไม่ควรปล่อยให้สัญญาณเตือนน้ำหมดขึ้นมานาน ๆ เพราะเกี่ยวข้องกับปั๊มติ๊กที่ทำหน้าที่ส่งพลังงานจากเชื้อเพลิงไปยังเครื่องยนต์ส่วนต่างๆ ถ้าทิ้งไว้ให้น้ำมันจะหมดนาน ๆ ปั๊มติ๊กอาจทำการนำอากาศเข้ามาแทนที่ทำให้รถพังเร็วขึ้นได้ และทำให้คุณตั้งคำถามว่าสตาร์ทรถไม่ติดเกิดจากอะไรในเวลาต่อมา
2. ฟังรถของคุณ
รถสตาร์ทไม่ติดเกิดจากอะไร ลองฟังเสียงที่เกิดขึ้นเมื่อพยายามสตาร์ทรถ เพราะนั่นเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงปัญหา ถ้าวันหนึ่งคุณได้ยินเสียงที่รถพยายามสตาร์ทนานกว่าปกติ ได้ยินเสียงคลิก ๆ หรือเสียงแชะ ๆ อาจชี้ว่าคุณอาจกำลังมีปัญหาแบตเตอรี่หรือไดชาร์จ ในขณะที่เสียงหึ่ง ๆ อาจบ่งบอกถึงสิ่งผิดปกติในระบบเชื้อเพลิง
3. ใช้สายพ่วงแบตช่วยสตาร์ท
การจั๊มแบตเตอรี่รถยนต์มักจะทำได้ง่าย เพียงแค่คุณมีสายจั๊มและแหล่งพลังงานอื่น ๆ เช่น แบตเตอรี่ของรถคันอื่น ซึ่งการจั๊มแบตเตอรี่อาจเป็นเพียงการแก้ปัญหาอยู่ดีๆรถดับ สตาร์ทไม่ติดได้ชั่วคราว และแบตเตอรี่ใหม่ก็อาจมีราคาแพง ดังนั้นจึงควรดูแลรักษาแบตเตอรี่ให้ดีอยู่เสมอ
4.เช็กฟิวส์และรีเลย์
ตรวจสอบกล่องฟิวส์ว่ามีฟิวส์ขาดหรือไม่ และเปลี่ยนฟิวส์ใหม่เมื่อจำเป็น และตรวจสอบให้แน่ใจว่าใช้ฟิวส์ชนิดที่ถูกต้องเพื่อป้องกันปัญหาในอนาคต เนื่องจากฟิวส์ถูกออกแบบมาเพื่อป้องกันวงจรไฟฟ้าจากการโอเวอร์โหลด ดังนั้นการระบุสาเหตุของฟิวส์ขาดจึงเป็นสิ่งสำคัญเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นอีก
5. พารถไปเข้าศูนย์หรืออู่เพื่อบำรุงรักษาตามรอบ
รถเองก็เหมือนร่างกายคนที่ต้องการการบำรุงรักษาอย่างสม่ำเสมอ เพื่อตรวจสุขภาพและเช็คว่าอะไหล่แต่ละชิ้นยังทำงานปกติดีใช่หรือไม่ อาจต้องการการทำความสะอาด ปรับปรุง หรือเปลี่ยน การตรวจสอบและซ่อมบำรุงเป็นประจำสามารถป้องกันสาเหตุส่วนใหญ่ที่ทำให้รถสตาร์ทไม่ติด ไม่มีเสียงอะไรเลยได้
ตารางสรุปรถสตาร์ทไม่ติด เกิดจากอะไร แก้อย่างไร
ปัญหา | อาการ | วิธีแก้ปัญหาเบื้องต้น |
---|---|---|
แบตเตอรี่หมด | เครื่องยนต์เงียบ ไม่มีการตอบสนอง | จั๊มสตาร์ทแบตให้ใช้ได้อีกครั้งไปก่อน หรือ เปลี่ยนแบตเตอรี่ใหม่ |
แบตเตอรี่เสื่อม | ไฟบนแผงหน้าปัดหรี่ อุปกรณ์ไฟฟ้าทำงานช้า มีเสียงคลิกตอนบิดกุญแจ | พ่วงแบตเตอรี่กับรถคันอื่น |
คอยล์จุดระเบิดมีความผิดปกติ | รถไม่ตอบสนอง | ตรวจสอบและเปลี่ยนคอยล์จุด |
ไดชาร์จเสีย | รถสตาร์ทไม่ติด ไฟไม่ขึ้น ได้ยินเสียงคลิก ๆ ตอนพยายามสตาร์ท | เปลี่ยนไดชาร์จ |
มอเตอร์สตาร์ทหรือไดชาร์จมีข้อบกพร่อง | มีเสียงคลิ๊กตอนพยายามสตาร์ท | เคาะไดสตาร์ทเบา ๆ อาจช่วยชั่วคราว ถ้าไม่หายต้องเปลี่ยนใหม่ |
ไส้กรองน้ำมันเชื้อเพลิงอุดตัน | มีเสียงเครื่องยนต์บ้างแต่สตาร์ทไม่ติด | เปลี่ยนไส้กรองน้ำมันเชื้อเพลิง |
สายไฟหลวม/ขั้วแบตหลุด | รถไม่ติด ไม่มีเสียง แต่ไฟหน้าปัดติด | ตรวจสอบสายไฟ ขั้วแบต ฟิวส์ และรีเลย์ |
ไส้กรองอากาศอุดตัน | รถติดยาก มีควันดำ เสียงเครื่องยนต์กระตุก | ตรวจสอบและเปลี่ยนไส้กรองอากาศใหม่ |
ระบบเชื้อเพลิงมีปัญหา | มีเสี่ยงปั่นตอนสตาร์ทแต่ก็หยุดลง | ตรวจสอบปั๊มน้ำมัน ท่อน้ำมัน และไส้กรองว่ามีรอยรั่วหรืออุดตัน |
เครื่องยนต์ร้อนเกินไป | รถสตาร์ทไม่ติด ฮู้ดด้านหน้าร้อนมาก | รอให้รถเย็นลงและตรวจสอบน้ำยาหล่อเย็น |
รถสตาร์ทไม่ติด ไม่มีเสียงอะไรเลย ควรโทรหาใคร ?
ได้รู้ถึงสาเหตุรถสตาร์ทไม่ติดเกิดจากอะไรกันไปแล้ว หลายคนคงจะคิดว่า ต้องเอารถเข้าไปซ่อม เปลี่ยน และให้ช่างดูอาการ เพื่อเป็นการป้องกัน แต่หากว่าตอนนี้อยู่ดีๆรถดับ สตาร์ทไม่ติด หรือบิดกุญแจแล้วไฟไม่ขึ้น สตาร์ทไม่ติดอยู่ดี จะทำยังไง ? อย่าเพิ่งหัวเสียไป เพราะว่าเรามีช่องทางในการขอความช่วยเหลือกรณีฉุกเฉินได้ เมื่อรถสตาร์ทไม่ติด ไม่มีเสียงอะไรเลย หรือพบเจอปัญหาเกี่ยวกับรถยนต์อื่น ๆ โดยคุณสามารถขอความช่วยเหลือจากใครได้บ้าง ดังนี้
- โทรแจ้งเหตุด่วนเหตุร้าย: เบอร์ 191
- โทรแจ้งตำรวจทางหลวงเพื่อขอความช่วยเหลือ: เบอร์ 1193
- โทรแจ่งอุบัติเหตุบนทางด่วน: เบอร์ 1543
- โทรแจ้งสายด่วนกรมทางหลวง: เบอร์ 1586
- โทร สายด่วนอุบัติเหตุ: เบอร์ 02-711-9161, 02-711-9162
- โทรแจ้ง จส 100: เบอร์ 1137
- โทรสวภ. 91: เบอร์ 1644
- โทรร่วมด้วยช่วยกัน (เครือข่ายอาสาสมัคร): เบอร์ 1677
- โทรหาประกันรถยนต์ของคุณ
- โทรหาบริการเสริมจากบัตรเครดิตของคุณ
บทสรุป การแก้ปัญหารถสตาร์ทไม่ติด ไม่มีเสียงอะไรเลย
หากคุณพบปัญหารถสตาร์ทไม่ติด ไม่มีเสียงอะไรเลย ในระหว่างการเดินทาง ไม่ว่าจะบิดกุญแจแล้วไฟไม่ขึ้น สตาร์ทไม่ติด หรือพยายามสตาร์ทหลายครั้งก็ยังเงียบ ลองนำเอาวิธีแก้ปัญหาต่าง ๆ เหล่านี้ไปใช้กัน เพราะเมื่อได้รู้สาเหตุแล้วว่ารถสตาร์ทไม่ติดเกิดจากอะไรได้บ้าง ก็จะรู้ถึงวิธีในการแก้ไขที่ถูกต้อง ซึ่งจะช่วยให้คุณสามารถจัดการกับปัญหาเบื้องต้นได้ด้วยตนเอง
แต่หากไม่สามารถแก้ไขได้เอง และต้องการความช่วยเหลือเพิ่มเติม ก็สามารถขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญหรือมืออาชีพได้ตลอดเวลา ตามช่องทางติดต่อที่เราได้แนะนำไป และที่สำคัญการบำรุงรักษาตามปกติ จะช่วยรักษาสภาพการทำงานของเครื่องยนต์ให้มีประสิทธิภาพที่ดีได้
นอกจากปัญหาภายในเครื่องยนต์ที่ต้องใส่ใจแล้ว อย่าลืมดูแลภายนอกของรถยนต์ของคุณด้วย เช่น ตรวจสภาพยาง เติมลม เช็กไฟหน้าและไฟท้าย ให้ใช้งานได้ดีและมีประสิทธิภาพอยู่เสมอ เพื่อช่วยในการตัดสินใจ สามารถอ่านบทความเพิ่มเติมได้เลยที่ Shopee Blog
อ้างอิงข้อมูล www.ancel.com , www.kbb.com , autovilla.co.th , blog.nationwide.com
บทความแนะนำ