เปิดกรุ 10 Body Oil ยี่ห้อไหนดี บำรุงผิวให้ผิวชุ่มชื้น ฟื้นฟูผิวแห้งให้ฉ่ำวาว!

เคยรู้สึกไหมว่าทาโลชั่นเท่าไหร่ แต่ผิวเราก็ยังแห้งอยู่ดี? โดยเฉพาะเมื่อสภาพอากาศที่แห้งแล้ง ผิวของเราก็ยิ่งต้องการการบำรุงที่ล้ำลึกมากขึ้น นี่คือเหตุผลว่าทำไม Body Oil ถึงได้กลายเป็นไอเทมลูกรักที่คนรักผิวทั่วโลกต่างเทใจให้ ซึ่ง Body Oil ไม่ได้เป็นเพียงแค่น้ำมันบำรุงผิว แต่เป็นขุมทรัพย์แห่งความชุ่มชื้นที่ซึมซาบเข้าสู่ผิวได้อย่างรวดเร็ว ไม่ทิ้งความเหนียวเหนอะหนะเหมือนที่หลายคนกังวล แต่กลับช่วยสร้างเกราะป้องกันผิวเพื่อที่ช่วยกักเก็บความชุ่มชื้นได้ยาวนานกว่าโลชั่นทั่วไป ทำให้ผิวเนียนนุ่มน่าสัมผัส และดูเปล่งประกายอย่างเป็นธรรมชาติ

นอกจากนี้ Body Oil ยังมีคุณสมบัติที่หลากหลาย บางสูตรช่วยลดรอยแตกลาย หรือบางสูตรมีกลิ่นหอมผ่อนคลายราวกับทำสปา หรือบางสูตรผสมชิมเมอร์เพื่อเพิ่มความโกลว์ให้ผิวดูสวยสะท้อนแสง และไม่ว่าคุณจะมีปัญหาผิวแห้งกร้าน ต้องการบำรุงเป็นพิเศษ หรือว่าแค่อยากเปลี่ยนกิจวัตรการบำรุงผิวให้พิเศษขึ้น Body Oil ก็คือคำตอบของคุณ วันนี้ Shopee Blog อยากจะมาแนะนำ 10 Body Oil ยี่ห้อไหนดี บำรุงผิวให้ผิวชุ่มชื้น ฟื้นฟูผิวแห้งให้ฉ่ำวาว ใครอยากมีผิวสวยตามเราไปช้อปกันเลย!

Body Oil คืออะไร

Body Oil คือ ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวในรูปแบบน้ำมันที่ใช้ทาตัว มีคุณสมบัติเด่นในการให้ความชุ่มชื้นและกักเก็บน้ำไว้ในผิวได้ดีกว่าโลชั่นหรือครีมทั่วไป เหมาะสำหรับคนที่มีปัญหาผิวแห้งและผิวขาดน้ำมาก ๆ โดยส่วนใหญ่ Body Oil จะถูกสกัดมาจากพืชพรรณธรรมชาติ เช่น น้ำมันมะพร้าว น้ำมันโจโจ้บา น้ำมันอัลมอนด์ หรือน้ำมันมะกอก ซึ่งอุดมไปด้วยวิตามินและสารอาหารที่จำเป็นต่อผิว ที่ช่วยบำรุงผิวชุ่มชื้น แล้วยังช่วยป้องกันริ้วรอยและผิวแห้งกร้านได้อีกด้วย

Body Oil จำเป็นต่อผิวอย่างไร

Body Oil อุดมไปด้วยวิตามินและสารอาหารจากธรรมชาติที่ช่วยฟื้นฟูผิวที่แห้งเสียให้กลับมามีสุขภาพดีอีกครั้ง ไม่ว่าจะใช้หลังอาบน้ำเพื่อเติมความชุ่มชื้น หรือใช้นวดตัวเพื่อความผ่อนคลาย Body Oil ก็คือตัวช่วยสำคัญที่จะเปลี่ยนผิวของคุณให้ดีขึ้นได้อย่างน่าอัศจรรย์ นี่คือเหตุผลว่าทำไม Body Oil จึงกลายเป็นไอเทมบำรุงผิวที่จำเป็นสำหรับทุกคน

• เติมความชุ่มชื้นล้ำลึกและยาวนาน : Body Oil จะสร้างชั้นฟิล์มบาง ๆ เคลือบผิวไว้ ช่วยป้องกันไม่ให้ความชุ่มชื้นระเหยออกจากผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ผิวเนียนนุ่ม ชุ่มชื้นยาวนานขึ้น และเหมาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่มีปัญหาผิวแห้งกร้าน โดยเฉพาะในฤดูหนาวหรือห้องแอร์
• บำรุงและฟื้นฟูผิว : Body Oil อุดมไปด้วยสารอาหารและวิตามินจากธรรมชาติ ที่ช่วยฟื้นฟูผิวที่แห้งกร้าน ให้กลับมามีสุขภาพดี ดูเปล่งปลั่งและกระจ่างใสขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยลดเลือนรอยแตกลาย หรือรอยแผลเป็นให้จางลงได้อีกด้วย
• ซึมซาบเร็ว ไม่เหนียวเหนอะหนะ : Body Oil ถูกออกแบบมาให้มีโมเลกุลขนาดเล็ก จึงสามารถซึมซาบเข้าสู่ผิวได้อย่างรวดเร็ว โดยไม่ทิ้งความรู้สึกเหนียวเหนอะหนะเหมือนที่หลายคนกังวลเลย

ประเภทของ Body Oil

Body Oil สามารถแบ่งได้หลายประเภท ขึ้นอยู่กับส่วนผสมหลักและคุณสมบัติที่แตกต่างกัน ซึ่ง Body Oil แต่ละประเภทจะเหมาะกับสภาพผิวและความต้องการที่ต่างกันไป ดังนี้

1. Body Oil แบ่งตามส่วนผสมหลัก

1. น้ำมันจากพืช (Plant-based Oils)

น้ำมันจากพืช เป็น Body Oil ประเภทที่นิยมที่สุด โดยสกัดจากเมล็ดพืช ผลไม้ หรือดอกไม้ ซึ่งแต่ละชนิดมีคุณสมบัติเฉพาะตัว ดังนี้

• น้ำมันมะพร้าว (Coconut Oil) : เน้นความชุ่มชื้นสูงมาก เหมาะสำหรับคนผิวแห้งมาก แต่อาจก่อให้เกิดการอุดตันได้ง่าย จึงไม่เหมาะสำหรับคนที่มีปัญหาสิว
• น้ำมันโจโจ้บา (Jojoba Oil) : มีโครงสร้างคล้ายน้ำมันตามธรรมชาติของผิว (Sebum) ทำให้ซึมซาบได้ดี และช่วยปรับสมดุลความมันได้ดี เหมาะกับทุกสภาพผิว โดยเฉพาะผิวผสมถึงผิวมัน
• น้ำมันสวีทอัลมอนด์ (Sweet Almond Oil) : เนื้อบางเบา อุดมด้วยวิตามิน A และ E ช่วยบำรุงผิวให้เนียนนุ่มและลดการระคายเคือง เหมาะสำหรับผิวแห้งและผิวแพ้ง่าย
• น้ำมันโรสฮิป (Rosehip Oil) : อุดมด้วยวิตามิน C และ A ช่วยลดเลือนรอยแผลเป็น และรอยแตกลาย รวมถึงฟื้นฟูผิวที่ถูกทำร้ายจากแสงแดด
• น้ำมันอาร์แกน (Argan Oil) : อุดมไปด้วยวิตามิน E และสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยให้ผิวเนียนนุ่ม และลดริ้วรอย เหมาะสำหรับผิวแห้งและผิวที่เริ่มมีอายุ

2. น้ำมันแร่ (Mineral Oil)

น้ำมันแร่ เป็นน้ำมันที่ได้จากปิโตรเลียม ราคาถูก ไม่มีสี และไม่มีกลิ่น แต่ไม่ได้มีสารบำรุงเหมือนน้ำมันจากพืช ซึ่งจะมีคุณสมบัติในการเคลือบผิวเพื่อป้องกันน้ำระเหยออกเท่านั้น โดยส่วนใหญ่มักเป็นส่วนผสมหลักใน Baby Oil

2. Body Oil แบ่งตามคุณสมบัติพิเศษ

1. Dry Body Oil

Dry Body Oil หรือ ออยล์แบบแห้ง เป็นสูตรที่ได้ถูกพัฒนามาให้มีเนื้อสัมผัสบางเบา ซึมซาบเข้าสู่ผิวได้อย่างรวดเร็ว ไม่ทิ้งความรู้สึกมัน หรือเหนียวเหนอะหนะ เหมาะมากสำหรับคนที่ไม่ชอบความรู้สึกของออยล์แบบดั้งเดิม

2. Shimmering Body Oil

Shimmering Body Oil หรือ ออยล์ผสมชิมเมอร์ เป็นสูตรที่ผสมผงประกายมุกหรือชิมเมอร์ละเอียดลงไปในเนื้อออยล์ ช่วยเพิ่มความเปล่งปลั่งและช่วยให้ผิวดูฉ่ำวาวเป็นพิเศษ เหมาะสำหรับใช้ทาในงานปาร์ตี้ หรือกิจกรรมที่ต้องการให้ผิวสวยดูโดดเด่น

3. Massage Oil

Massage Oil หรือ ออยล์สำหรับนวด ส่วนใหญ่จะมีส่วนผสมที่ช่วยทำให้รู้สึกผ่อนคลาย เช่น น้ำมันหอมระเหยจากลาเวนเดอร์ คาโมมายล์ หรือยูคาลิปตัส ซึ่งจะมีเนื้อสัมผัสที่ลื่นกว่าและซึมช้ากว่าบอดี้ออยล์ทั่วไปเพื่อให้เหมาะกับการนวด

วิธีเลือก Body Oil ให้เหมาะกับสภาพผิว

ก่อนจะอ่านรีวิว Body Oil ยี่ห้อไหนดี เรามีดูวิธีเลือก Body Oil ที่เหมาะสมกับสภาพผิว เพราะการเลือก Body Oil ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้การบำรุงผิวมีประสิทธิภาพสูงสุด แต่ละชนิดมีคุณสมบัติที่แตกต่างกัน ซึ่งเราจะแนะนำวิธีเลือก Body Oil ให้เหมาะกับผิวแต่ละประเภท ดังนี้

1. เลือก Body Oil บำรุงสำหรับคน “ผิวแห้ง”

คนที่ผิวแห้ง ลอก เป็นขุย มีปัญหาผิวไม่สามารถเก็บกักความชุ่มชื้นใต้ผิวไว้ได้ ต้องการการบำรุงที่เข้มข้นเพื่อเติมความชุ่มชื้นและสร้างเกราะป้องกันผิว ดังนั้น ประเภทของ Body Oil ที่อยากแนะนำสำหรับคนผิวแห้ง ดังนี้

• น้ำมันอาร์แกน (Argan Oil) : มีวิตามินอีสูง จึงช่วยลดความแห้งตึงและลดริ้วรอย
• น้ำมันมะพร้าว (Coconut Oil) : ให้ความชุ่มชื้นสูงมาก เหมาะสำหรับผิวที่แห้งมากเป็นพิเศษ
• น้ำมันอัลมอนด์ (Almond Oil) : อุดมไปด้วยวิตามินอี ช่วยฟื้นฟูผิวแห้งกร้านให้กลับมานุ่มและยืดหยุ่น

2. เลือก Body Oil บำรุงสำหรับคน “ผิวมัน”

หลายคนอาจคิดว่าผิวมันไม่ควรจะใช้น้ำมัน แต่ความเป็นจริงแล้ว Body Oil บางชนิดจะสามารถช่วยปรับสมดุลความมันของผิวได้ เนื่องจาก ผิวมัน เป็นผิวที่รูขุมขนผลิตน้ำมันออกมามากเกินไป แนะนำให้เลือกออยล์เนื้อบางเบา ที่มีส่วนผสมของกรดไลโนเลอิกอย่างโรสฮิปหรือเกรปซีดออยล์ จะมีคุณสมบัติที่ช่วยลดการอุดตันของรูขุมขน ประเภทของ Body Oil ที่อยากแนะนำสำหรับคนผิวมัน ดังนี้

• น้ำมันเมล็ดองุ่น (Grape Seed Oil) : มีเนื้อบางเบา ซึมซาบเร็ว และมีสารต้านอนุมูลอิสระสูง
• น้ำมันโจโจ้บา (Jojoba Oil) : มีโครงสร้างคล้ายน้ำมันตามธรรมชาติของผิว ช่วยปรับสมดุลการผลิตน้ำมันและไม่ทำให้เกิดการอุดตัน

3. เลือก Body Oil บำรุงสำหรับคน “ผิวผสม”

ผิวผสมเป็นสภาพผิวที่มีทั้งผิวมันและผิวแห้งรวมกัน ซึ่งผิวผสมเป็นผิวที่ต้องการการบำรุงที่สมดุล ไม่ทำให้ส่วนที่มันยิ่งมันขึ้น และไม่ทำให้ส่วนที่แห้งยิ่งแห้งลง จึงควรเลือกออยล์บำรุงผิวที่มีเนื้อบางเบา เน้นคุณสมบัติที่ช่วยเก็บกักความชุ่มชื้น ซึ่งประเภทของ Body Oil ที่อยากแนะนำสำหรับคนผิวผสม ดังนี้

• น้ำมันโรสฮิป (Rosehip Oil) : ช่วยลดรอยต่างๆ และให้ความชุ่มชื้นผิวได้ดี โดยที่ไม่ทำให้รู้สึกเหนอะหนะ
• น้ำมันโจโจ้บา (Jojoba Oil) : เป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมสำหรับผิวผสม เนื่องจากช่วยควบคุมความมันในบริเวณ T-zone และยังช่วยให้ความชุ่มชื้นในบริเวณที่แห้งได้ด้วย

4. เลือก Body Oil บำรุงสำหรับคน “ผิวบอบบางแพ้ง่าย”

ผิวบอบบางแพ้ง่าย เป็นผิวที่ต้องใส่ใจในการบำรุงมากเป็นพิเศษ แต่การเลือกออยทาผิวก็ต้องเลือกที่มีส่วนผสมจากน้ำมันธรรมชาติ มีความอ่อนโยน เพื่อไม่ให้เกิดการระคายเคือง ซึ่งประเภทของ Body Oil ที่อยากแนะนำสำหรับคนผิวบอบบางแพ้ง่าย ดังนี้

• น้ำมันมะกอก (Olive Oil) : มีคุณสมบัติช่วยปลอบประโลมผิวและลดอาการอักเสบ
• น้ำมันอัลมอนด์ (Almond Oil) : เป็นน้ำมันที่อ่อนโยนและปลอดภัย เหมาะสำหรับผิวบอบบาง

5. เลือก Body Oil บำรุงสำหรับคน “ผิวมีริ้วรอยหรือผิวที่มีอายุ”

สำหรับผิวที่มีริ้วรอยหรือผิวที่มีอายุ ซึ่งผิวประเภทนี้จะต้องการน้ำมันที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง เพื่อช่วยฟื้นฟูและปกป้องผิว ซึ่งประเภทของ Body Oil ที่อยากแนะนำสำหรับคนผิวที่มีริ้วรอยหรือผิวที่มีอายุ ดังนี้

• น้ำมันอาร์แกน (Argan Oil) : อุดมไปด้วยวิตามินอี ที่ช่วยให้ผิวกลับมาเนียนนุ่มและยืดหยุ่น
• น้ำมันโรสฮิป (Rosehip Oil) : อุดมไปด้วยวิตามินซีและวิตามินเอ ช่วยลดเลือนริ้วรอยและฟื้นฟูผิว

เปรียบเทียบ! 10 Body Oil ยี่ห้อไหนดี ที่ตอบโจทย์ผิวมากที่สุด

แนะนำ 10 Body Oil ยี่ห้อไหนดี เติมความชุ่มชื้น ให้ผิวสวยเหมือนใช้ฟิลเตอร์!

หากคุณกำลังมองหา Body Oil ตัวไหนดี ที่ใช่สำหรับผิวของคุณ ซึ่งเราได้คัดมาให้แล้วกับ 10 Body Oil ยี่ห้อไหนดี ตัวเด็ดจากหลากหลายแบรนด์ มี ตั้งแต่แบรนด์ราคาประหยัดไปจนถึงแบรนด์ราคาสูง เพื่อให้คุณตัดสินใจได้ง่ายขึ้นว่าควรเลือก Body Oil ยี่ห้อไหน เพื่อให้ผิวสวยสุขภาพดีในแบบที่คุณต้องการ มาดูกัน

1. Bio-Oil Skincare Oil

เริ่มด้วย Bio-Oil Skincare Oil ออยล์บำรุงผิวกายที่ได้รับความนิยมมาอย่างยาวนาน เป็นผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหนังที่ช่วยลดรอยแผลเป็น รอยแตกลาย รอยดำจากสิว ให้ดูจางลง รวมถึงยังช่วยให้สีผิวสม่ำเสมอมากขึ้น ด้วยนวัตกรรมใหม่อย่าง PurCellin Oil ที่มีประสิทธิภาพในการซึมเข้าสู่ผิวได้อย่างรวดเร็วและล้ำลึก

มีส่วนผสมที่ช่วยบำรุงทั้งวิตามิน A และ E ที่ช่วยผลัดเซลล์ผิวและบำรุงผิวให้เรียบเนียน นอกจากนี้ยังมีส่วนผสมของน้ำมันจากพืชธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็น น้ำมันคาเลนดูลา ลาเวนเดอร์ โรสแมรี่ และคาโมมายล์ ซึ่งจะช่วยปลอบประโลมและฟื้นบำรุงผิว สามารถใช้ได้กับทุกสภาพผิว และผิวแพ้ง่ายก็ใช้ได้ ไม่มีสารกันบูด ไม่เหนียวเหนอะหนะ ใช้ได้ทั้งบนใบหน้าและลำตัว

คุณสมบัติ

• เหมาะกับทุกสภาพผิวและผิวแพ้ง่าย
• เนื้อออยล์บางเบา ไม่เหนียวเหนอะหนะ
• ใช้ได้ทั้งใบหน้าและผิวกายโดยไม่อุดตันรูขุมขน
• มีส่วนผสมจากพืชธรรมชาติและวิตามินหลายชนิด
• มีกลิ่นหอมจากดอกไม้หลายชนิด ให้ความรู้สึกผ่อนคลาย

ราคาประมาณ 589 บาท / 200 ml.

2. JOURNAL The Legacy Body Oil

หากพูดถึง Body Oil ที่กำลังมาแรงสุดฮิตและเป็นพูดถึงในตอนนี้ คงหนีไม่พ้น JOURNAL The Legacy Body Oil จาก JOURNAL ซึ่งเป็นแบรนด์น้ำหอมสัญชาติไทย จึงทำให้ Body Oil ไม่ได้โดดเด่นเพียงแค่การบำรุงผิวเท่านั้น แต่ยังมีกลิ่นหอมที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของแบรนด์ เนื้อออยล์ที่บางเบามาก ซึมซาบเข้าสู่ผิวได้อย่างรวดเร็ว ไม่ทิ้งความเหนียวเหนอะหนะ ใช้แล้วรู้สึกสบายผิว

ส่วนเรื่องกลิ่นถือเป็นจุดเด่นสำคัญของ JOURNAL กลิ่น The Legacy ได้รับการสร้างสรรค์อย่างพิถีพิถัน มีความหอมอบอุ่น หรูหรา และซับซ้อนด้วยกลิ่นจาก Oud และกำยาน ที่ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังอยู่ในวัดหรือโบราณสถานเก่าแก่ จึงทำให้การบำรุงผิวกลายเป็นการทำสปาบำบัดที่บ้านเลย นอกจากนี้ก็ยังอุดมไปด้วยน้ำมันจากพืชธรรมชาติหลายชนิด เช่น Rice Bran Oil, Sweet Almond Oil, Olive Oil และ Jojoba Oil เป็นต้น ใครอยากมีผิวสวย ๆ และกลิ่นหอม แนะนำตัวนี้เลย

คุณสมบัติ

• สารสกัดจากน้ำมันธรรมชาติที่ช่วยให้ผิวเปล่งปลั่ง
• เนื้อออยล์บางเบา ซึมซาบเร็ว ไม่เหนียวเหนอะหนะ
• บำรุงผิวให้เนียนนุ่มชุ่มชื้น ผสมน้ำหอม กลิ่นติดทนนาน ซึมซาบไว
• ออยล์บำรุงผิวที่ผสานกลิ่นไม้กฤษณาและดอกไม้สีขาว ให้ความหอมนุ่มลึก
• อุดมด้วยน้ำมันธรรมชาติ เช่น Grape Seed Oil และ Argan Oil ช่วยให้ผิวชุ่มชื้น

ราคาประมาณ 1,151 บาท / 180 ml.

3. Overnaked Body Oil

หากคุณกำลังมองหาออยบํารุงผิว ยี่ห้อไหนดี ที่ช่วยบำรุงผิวได้อย่างล้ำลึก แต่ไม่ทิ้งความรู้สึกเหนียวเหนอะหนะ Overnaked body oil คือตัวเลือกที่น่าสนใจ ด้วยการออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์คนที่ไม่ชอบความมันของออยล์แบบเดิม ๆ แต่ยังคงประสิทธิภาพการบำรุงผิวได้เป็นอย่างดี

อุดมไปด้วยน้ำมันจากพืชธรรมชาติหลายชนิด เช่น น้ำมันรำข้าว น้ำมันสวีทอัลมอนด์ น้ำมันมะกอก และน้ำมันโจโจ้บา ล้วนแต่เป็นน้ำมันธรรมชาติบำรุงผิวที่เข้าบำรุงลึกถึงชั้นผิว โดยน้ำมันทุกตัวจะผ่านกระบวนการสกัดเย็นและสดใหม่อยู่เสมอ จึงช่วยล็อกความชุ่มชื้นได้ยาวนานกว่า 24 ชั่วโมง อีกทั้งยังผสานคุณค่าจากวิตามินกลุ่ม Berry ช่วยเป็นเกราะป้องกันผิวจากแสง UVA และ UVB สามารถใช้ได้ทุกสภาพผิว รวมถึงผิวแพ้ง่าย เด็ก และคุณแม่ตั้งครรภ์หรือหลังคลอดใช้ได้อีกด้วย

คุณสมบัติ

• เนื้อออยล์ที่บางเบามาก ลดการแตกลายของผิว
• ช่วยล็อกความชุ่มชื้นได้ยาวนานกว่า 24 ชั่วโมง
• กลิ่นหอมละมุน ไม่ฉุนจนเกินไป ให้ความรู้สึกผ่อนคลายคล้ายกับการทำสปา
• มีให้เลือกถึง 4 กลิ่น ได้แก่ Signature, Hypoallergenic, Relax & Rest และ Velvet Noir

ราคาประมาณ 1,590 บาท / 150 ml.

4. L’occitane Almond Supple Skin Oil

สาว ๆ คนไหนที่เน้นเรื่องการบำรุงผิวสวย ผิวนุ่ม ชุ่มชื้น แล้วไม่รู้ว่าจะเลือก Body Oil ยี่ห้อไหนดี แนะนำเป็น L’occitane Almond Supple Skin Oil ซึ่งตัวนี้ถูกยกให้เป็น Best Seller ของแบรนด์ L’occitane ที่มีแต่คนรีวิวบอกว่าใช้แล้วดีต่อผิวสุด ๆ

อุดมไปด้วยสารสกัดจากอัลมอนด์ออยล์มากกว่า 50% ยังมีคาเมลลินาออยล์ มีโอเมก้า 3 และโอเมก้า 6 ที่ช่วยฟื้นบำรุงให้ผิวกระชับและแน่นขึ้นเป็นพิเศษ พร้อมบำรุงผิวกายให้ชุ่มชื้นและป้องกันปัญหาผิวแตกลาย ทำให้ผิวเนียนนุ่มน่าสัมผัส ส่วนเนื้อจะมีความเข้มข้น แต่ไม่เหนอะหนะ ใช้แล้วรู้สึกสบายผิว แถมมีกลิ่นหอมหวานของอัลมอนด์ ที่ช่วยเพิ่มความผ่อนคลายและมีกลิ่นหอมติดผิวอีกด้วย

คุณสมบัติ

• อุดมด้วยน้ำมันอัลมอนด์มากกว่า 50%
• ผิวจะดูเปล่งปลั่งและมีสุขภาพดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
• ช่วยเติมความชุ่มชื้นให้กับผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ
• เนื้อออยล์บางเบา ไม่เหนียวเหนอะหนะ ซึมซาบเข้าสู่ชั้นผิวได้อย่างรวดเร็ว

ราคาประมาณ 2,290 บาท / 100 ml.

5. Babi Mild Ultra Mild Baby Oil White Sakura

Babi Mild Ultra Mild Baby Oil White Sakura ไม่ได้เป็นแค่ออยล์สำหรับเด็กเท่านั้น แต่ยังเป็นไอเทมบำรุงผิวที่ผู้ใหญ่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย ด้วยคุณสมบัติที่อ่อนโยนและราคาที่เข้าถึงง่าย เนื้อออยล์บางเบา ซึมซาบเข้าสู่ผิวได้อย่างรวดเร็ว ไม่ทิ้งความรู้สึกเหนอะหนะ ทำให้สามารถใช้ได้ทุกวันและทุกสภาพอากาศ

มีเอสเซนส์จากซากุระขาวสูตรเข้มข้น พร้อมกับวิตามินอี ช่วยบำรุงผิวให้เนียนนุ่มและช่วยปรับสภาพผิวให้ชุ่มชื้น ไม่แห้งกร้าน ส่วนกลิ่นเป็นกลิ่น White Sakura ที่หอมละมุน อ่อนโยน ให้ความรู้สึกสะอาด สดชื่น และผ่อนคลาย ใครที่กำลังมองหาออยทาผิว ยี่ห้อไหนดี ที่ใช้ได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ แนะนำตัวนี้เลย

คุณสมบัติ

• กลิ่นหอมสดใส ไวท์ซากุระ
• เนื้อออยล์บางเบา ซึมซาบเร็ว
• ช่วยบำรุงผิวให้เนียนนุ่ม และปรับสภาพผิวให้ชุ่มชื่นยาวนาน

ราคาประมาณ 85 บาท / 100 ml.

6. Neutrogena Body Oil Light Sesame

Body Oil ยี่ห้อไหนดี ที่สามารถครองใจคนทั่วโลกมาอย่างยาวนาน Neutrogena Body Oil Light Sesame ต้องเป็นหนึ่งในนั้นอย่างแน่นอน ด้วยคุณสมบัติโดดเด่นในเรื่องของเนื้อสัมผัสที่บางเบาและการบำรุงที่ยอดเยี่ยม ทำให้เป็นออยล์ที่ใช้ได้ทุกวันโดยไม่รู้สึกเหนียวเหนอะหนะ

สูตรนี้จะมีส่วนประกอบที่สำคัญคือสารสกัดน้ำมันงา ที่อุดมไปด้วยวิตามิน E สารต้านอนุมูลอิสระ และกรดไขมันจำเป็น ซึ่งช่วยบำรุงผิวได้อย่างล้ำลึก ทำให้ผิวที่แห้งกร้านให้ดูสุขภาพดี ผิวเปล่งประกาย เนื้อออยล์จะมีสัมผัสบางเบาเป็นพิเศษ ซึมซาบเข้าสู่ผิวได้อย่างรวดเร็ว ไม่รู้สึกเหนอะหนะผิว มีกลิ่นหอมละมุน ออยล์บำรุงผิว Neutrogena สามารถใช้ชโลมลงบนผิวกายได้โดยตรง หรือจะหยดออยล์ลงในน้ำขณะแช่อ่างอาบน้ำให้สบายใจก็ได้เช่นกัน

คุณสมบัติ

• สกัดจากงาขาวที่ผ่านกระบวนการกลั่น
• ช่วยเติมความชุ่มชื้นให้ผิวอย่างอ่อนโยน
• เนื้อออยล์บางเบา ไม่เหนียวเหนอะหนะ
• อุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระตามธรรมชาติ

ราคาประมาณ 545 บาท / 250 ml.

7. PANPURI Body & Hair Nourishing Dry Oil

มารีวิว Body Oil ยี่ห้อไหนดี กันต่อกับ PANPURI Body & Hair Nourishing Dry Oil จาก PANPURI ซึ่งเป็นแบรนด์ไทยที่มีชื่อเสียงโด่งดังในเรื่องผลิตภัณฑ์สปาและบำรุงผิวจากธรรมชาติที่เน้นการผสมผสานความหรูหราให้เข้ากับภูมิปัญญาไทย ซึ่งเป็นออยล์สูตรพิเศษที่สามารถใช้บำรุงได้ตั้งแต่ปลายผมจรดปลายเท้า ช่วยให้ผมดูเงางามและไม่ชี้ฟู

เนื้อสัมผัสแบบ Dry Oil ซึ่งเป็นน้ำมันที่ถูกพัฒนาให้มีโมเลกุลขนาดเล็กเป็นพิเศษทำให้ซึมซาบเข้าสู่ผิวได้รวดเร็ว อีกทั้งยังมีกลิ่นหอม Signature Floral ได้รับแรงบันดาลใจจากดอกมะลิในน้ำฝนอันบริสุทธิ์ ผสานความสดชื่นของ Mint รังสรรค์เป็นกลิ่นหอมหวานละมุน ช่วยสร้างบรรยากาศผ่อนคลายและบำบัดจิตใจได้ในทุกครั้งที่ใช้

คุณสมบัติ

• ใช้บำรุงได้ตั้งแต่ปลายผมจรดปลายเท้า
• เนื้อออยล์บางเบา ไม่เหนียวเหนอะหนะ
• มีกลิ่นหอมจากธรรมชาติที่ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย

ราคาประมาณ 1,590 บาท / 250 ml.

8. NUXE HUILE PRODIGIEUSE MULTI-PURPOSE DRY OIL

ถ้าพูดถึง Dry Oil ระดับตำนานที่สาว ๆ ทั่วโลกต่างเทใจให้ NUXE HUILE PRODIGIEUSE MULTI-PURPOSE DRY OIL จากแบรนด์ NUXE คือชื่อที่ต้องติดอันดับต้น ๆ อย่างแน่นอน ด้วยคุณสมบัติที่หลากหลายและประสิทธิภาพที่น่าทึ่ง! ทำให้ผลิตภัณฑ์ตัวนี้ไม่ใช่แค่ออยล์บำรุงผิว แต่เป็นไอเทมความงามที่สาว ๆ ควรมีติดโต๊ะเครื่องแป้งไว้เลย! ซึ่งเป็นออยล์ทาผิว NUXE ตัวดังจากประเทศฝรั่งเศส สามารถใช้ได้ทั้งผิวหน้า ผิวกาย และใช้บำรุงเส้นผม เรียกได้ว่าซื้อขวดเดียวใช้คุ้มมาก

ออยล์ทาผิวตัวนี้อุดมไปด้วยน้ำมันจากธรรมชาติมากถึง 7 ชนิด ไม่ว่าจะเป็น น้ำมันซึบากิ, น้ำมันอาร์แกน, น้ำมันแมคคาเดเมีย, น้ำมันโบราจ, น้ำมันคาเมเลีย, น้ำมันเฮเซลนัท และน้ำมันอัลมอนด์ ช่วยบำรุงผิวให้ชุ่มชื้นได้นาน 8 ชั่วโมง ช่วยลดรอยแตกลาย ปกป้องผิวจากมลภาวะ และมีกลิ่นหอมอีกด้วย หากคุณกำลังมองหาออยล์สารพัดประโยชน์ที่ตอบโจทย์ทุกการใช้งาน NUXE คือตัวเลือกที่คุ้มค่าแก่การลงทุนเป็นอย่างยิ่ง

คุณสมบัติ

• รวมสารสกัดจากน้ำมันพฤกษชาติ 7 ชนิด
• เนื้อสัมผัสบางเบา ซึมซาบเร็ว ไม่เหนียวและไม่หนักผิว
• ใช้ได้หลากหลาย ทั้งผิวหน้า ผิวกาย และใช้บำรุงเส้นผม
• มีกลิ่นหอมที่เป็นเอกลักษณ์ผสมผสานกลิ่นดอกไม้และวานิลลา

ราคาประมาณ 1,690 บาท / 100 ml.

9. Erb Wine & Roses Body Oil

ถ้าพูดถึงแบรนด์ไทยที่โดดเด่นเรื่องการนำส่วนผสมธรรมชาติต่าง ๆ มาสร้างสรรค์เป็นผลิตภัณฑ์สปาที่หรูหรา ชื่อของ Erb Wine & Roses Body Oil ต้องติดอยู่ในลิสต์รีวิว Body Oil ยี่ห้อไหนดี อย่างแน่นอน! ซึ่งออยล์ตัวนี้ได้รับความนิยมซื้อใช้! และขายดีมากในช้อปปี้ด้วย

ผลิตภัณฑ์นี้มีส่วนผสมของน้ำมัน Rose Hip Oil, Evening Primrose Oil และน้ำมันสกัดจากดอกกุหลาบ ที่ช่วยในการฟื้นฟูและกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่ พร้อมบำรุงผิวให้เนียนนุ่ม ดูฉ่ำวาว ยังช่วยชะลอความเสื่อมของผิว ให้ผิวแลดูอ่อนเยาว์ ลดเลือนริ้วรอย ความหมองคล้ำ ลดปัญหาผิวแตกลาย และลดรอยแผลเป็นให้แลดูจางลง ทำให้ผิวเปล่งปลั่งขาวใสจากภายในสู่ภายนอก และยังมีกลิ่นของ Wine & Roses ได้ผสมผสานความหอมหวานของกุหลาบเข้ากับความหอมสดชื่นของไวน์ขาวได้อย่างลงตัว ให้ความรู้สึกผ่อนคลายและหรูหราเหมือนทำสปาในโรงแรม 5 ดาวเลย

คุณสมบัติ

• มีส่วนผสมจากธรรมชาติที่ขึ้นชื่อเรื่องการบำรุงผิวอย่างล้ำลึก
• เนื้อออยล์มีน้ำหนักเบา ซึมซาบเร็ว ไม่ทิ้งความเหนียวเหนอะหนะ
• ช่วยลดเลือนริ้วรอย ลดปัญหาผิวแตกลาย และลดรอยแผลเป็นให้จางลง

ราคาประมาณ 792 บาท / 230 ml.

10. BEAUTILAB Anti-Aging Shimmering Body Oil

ปิดท้ายการรีวิว Body Oil ยี่ห้อไหนดี กันด้วย BEAUTILAB Anti-Aging Shimmering Body Oil ที่ช่วยบำรุงผิวให้ดูอ่อนเยาว์ และมอบความเปล่งประกายให้กับผิวในเวลาเดียวกัน บอดี้ออยล์ตัวนี้จะช่วยบำรุงผิวให้ชุ่มชื้นด้วยส่วนผสมของ Bakuchiol, Argan Oil และ Sunflower Seed Oil มาพร้อมชิมเมอร์เนื้อเนียนละเอียด เพื่อช่วยเพิ่มความฉ่ำโกลว์ ทำให้ผิวดูมีออร่าเปล่งประกาย ยังช่วยฟื้นฟูผิวแห้งกร้านให้กลับมาชุ่มชื้น

มีกลิ่นหอมให้เลือก 3 กลิ่น คือ Peach Nectar, Heavenly Bliss และ Chaga Chaga เนื้อสัมผัสบางเบา ซึมเร็ว ไม่เหนียวเหนอะหนะ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการผิวโกลว์ฉ่ำวาวเหมือนผิวลูกคุณ และต้องการกลิ่นหอมติดทนนาน แนะนำ Body Oil ตัวนี้เลย

คุณสมบัติ

• ผสมชิมเมอร์เนื้อละเอียด ผิวดูเปล่งประกาย
• เนื้อสัมผัสบางเบา ไม่เหนียวเหนอะหนะ ซึมเร็ว
• ให้เลือกถึง 3 กลิ่น 3 สไตล์ ได้แก่ Peach Nectar Perfumed, Heavenly Bliss Perfumed และ Chaga Chaga Perfumed 

ราคาประมาณ 274 บาท / 100 ml.

สรุป Body Oil ยี่ห้อไหนดี ที่เหมาะกับผิว และตอบโจทย์ความต้องการ

จากที่เราได้รีวิว 10 Body Oil ยี่ห้อไหนดี ต้องบอกว่า Body Oil แต่ละยี่ห้อมีจุดเด่นและคุณสมบัติที่แตกต่างกันไป การเลือกใช้จึงขึ้นอยู่กับความต้องการและไลฟ์สไตล์ของแต่ละคน และเพื่อให้คุณตัดสินใจได้ง่ายขึ้น เราได้สรุปจุดเด่นของ Body Oil ยอดนิยมแต่ละแบรนด์ไว้ให้แล้ว ดังนี้

1. เน้นความอ่อนโยนและราคาที่คุ้มค่า

• Babi Mild Ultra Mild Baby Oil White Sakura : เป็นตัวเลือกที่ดีเหมาะสำหรับผู้ที่ผิวแพ้ง่าย และมองหาออยล์ที่อ่อนโยนต่อผิว มีกลิ่นหอมละมุนและราคาเป็นมิตร

2. เน้นเนื้อสัมผัสบางเบา ไม่เหนียวเหนอะหนะ

• Neutrogena Body Oil Light Sesame : ขึ้นชื่อเรื่องเนื้อสัมผัสที่บางเบา ซึมซาบเร็วมาก ไม่ทิ้งความมันไว้บนผิว ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการบำรุงผิวในชีวิตประจำวัน
• JOURNAL The Legacy Body Oil : โดดเด่นด้วยเนื้อสัมผัสแบบ Dry Oil จึงมีความบางเบาและซึมซาบเร็ว พร้อมกับกลิ่นหอมที่เป็นเอกลักษณ์และหรูหรา

3. เน้นการบำรุงที่หลากหลายและเห็นผลจริง

• L’occitane Almond Supple Skin Oil : เหมาะสำหรับคนที่ต้องการบำรุงผิวให้เนียนนุ่ม และต้องการเพิ่มความยืดหยุ่น โดยเฉพาะผู้ที่กำลังตั้งครรภ์
• NUXE Huile Prodigieuse Multi-Purpose Dry Oil : เป็นออยล์สารพัดประโยชน์ที่สามารถใช้ได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น ผิวหน้า ผิวกาย และเส้นผม เหมาะสำหรับคนที่ต้องการความคุ้มค่าและประสิทธิภาพในขวดเดียว

4. เน้นผิวโกลว์สวยในโอกาสพิเศษ

• BEAUTILAB Anti-Aging Shimmering Body Oil : ออยล์ผสมชิมเมอร์เนื้อละเอียด จึงช่วยทำให้ผิวดูเปล่งประกายและมีมิติ เหมาะสำหรับทาไปงานปาร์ตี้ หรือกิจกรรมที่ต้องการความโดดเด่น

5. เน้นบำรุงผิวและลดรอยแตกลาย รอยแผลเป็น

• Bio-Oil Skincare Oil : ช่วยลดรอยแผลเป็น รอยแตกลาย และรอยดำจากสิว ให้ดูจางลง ยังมีส่วนผสมที่ช่วยบำรุงทั้งวิตามิน A และ E ที่ช่วยผลัดเซลล์ผิวและบำรุงผิวให้เรียบเนียน
• Erb Wine & Roses Body Oil : โดดเด่นในเรื่องฟื้นฟูและกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่ พร้อมบำรุงผิวให้เนียนนุ่ม ดูฉ่ำวาว ยังช่วยชะลอความเสื่อมของผิว และช่วยลดเลือนริ้วรอย ความหมองคล้ำ ลดปัญหาผิวแตกลาย ลดรอยแผลเป็นให้แลดูจางลง

ไม่ว่าคุณจะเลือก Body Oil ยี่ห้อไหน สิ่งสำคัญคือการเลือกที่เหมาะกับสภาพผิว และตอบโจทย์ความต้องการของคุณที่สุด ลองพิจารณาจากจุดเด่นที่เราแนะนำเพื่อผิวที่สวยสุขภาพดีในแบบที่คุณต้องการได้เลย หากสนใจต้องการสั่งซื้อ Body Oil หรือผลิตภัณฑ์บำรุงผิวต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น โลชั่น ครีมกันแดด ครีมบำรุงผิว หรืออื่น ๆ สามารถช้อปออนไลน์บน Shopee แหล่งรวมสินค้ามากมาย หลากหลายประเภท มาพร้อมโปรโมชั่นส่วนลดที่มีตลอดทั้งปี ให้คุณได้ช้อปสินค้าถูกใจในราคาสบายกระเป๋าอีกด้วย นอกจากนี้ สนใจอยากอ่านบทความที่เกี่ยวกับความสวยงามความงาม หรืออ่านรีวิวสินค้าก่อนตัดสินใจซื้อ ก็เข้ามาอ่านบทความได้ที่ Shopee Blog มีบทความดี ๆ รอให้คุณอ่านอีกเพียบ!

บทความแนะนำ

• เช็กลิสต์ 10 โลชั่นผิวแห้งยี่ห้อไหนดี ชุ่มชื่นยาวนาน เอาอยู่ทุกปัญหาผิว!
• ผิวสวยไม่มีสะดุด! กับ 15 มอยเจอร์ไรเซอร์ ยี่ห้อไหนดี ที่ช่วยล็อกความชุ่มชื้นขั้นสุด
• งานผิวต้องมา! 10 โลชั่นผิวกระจ่างใส ยี่ห้อไหนดี ผิวสวย ออร่าพุ่ง!