ในยุคปัจจุบัน เครื่องดื่มที่นิยมอย่างแพร่หลายทั้งในหมู่วัยรุ่นและวัยผู้ใหญ่คงหนีไม่พ้น ชาเขียว โดยเฉพาะชาเขียวที่เป็นหนึ่งในเครื่องดื่มที่ได้รับความนิยมอย่างมาก เพราะด้วยความที่มีรสชาติอร่อยและมีกลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์ จึงสามารถครองใจผู้ดื่มได้แทบทุกช่วงวัย อย่างไรก็ดี เพื่อนๆอาจจะเคยสงสัยกันหรือไม่ว่าการดื่มชาเขียวนั้นดีต่อสุขภาพอย่างไรบ้าง ถ้าอย่างนั้นเราลองมาดู 10 ประโยชน์ของชาเขียว ดังต่อไปนี้ที่คุณอาจจะยังไม่เคยรู้เลยก็ได้
ชาเขียวคือ?
ชาเขียว ก็คือ ชาที่ไม่ผ่านการหมัก เตรียมได้โดยการนำใบชาสดมาผ่านความร้อนเพื่อทำให้แห้งอย่างรวดเร็ว ความร้อนจะช่วยยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ทำให้ไม่เกิดการสลายตัว ทำให้ได้ใบชาที่แห้งแต่ยังสดอยู่และยังมีสีที่ค่อนข้างเขียวจึงเรียกว่า ชาเขียว สารสำคัญที่พบได้ในชาเขียวได้แก่ กรดอะมิโน วิตามิน B, C, E, คาเฟอีน, ธิโอฟิลลีน ซึ่งมีฤทธิ์กระตุ้นการทำงานของระบบประสาทส่วนกลางส่งผลให้ร่างกายรู้สึกกระปรี้กระเปร่า และสารอีพิกัลโลคาเทชินกัลเลต (เป็นแคทที่พบมากที่สุดในชาเขียว) ซึ่งมีความสำคัญในการออกฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ
1.ดีต่อสุขภาพสมอง
มีการค้นพบว่าประโยชน์ของชาเขียวสามารถช่วยป้องกันการก่อตัวขึ้นของคราบพลัค (Plaque) โดยมีความเชื่อมโยงกับการเป็นโรคอัลไซเมอร์และพาร์กินสันซึ่งเป็นโรคที่เกิดจากความผิดปกติของระบบประสาท ดังนั้นการดื่มชาเขียววันละหนึ่งถึงสองแก้วต่อวันอาจช่วยป้องกันอัลไซเมอร์และโรคร้ายดังกล่าวได้
2. ลดระดับของน้ำตาลในเลือด
สรรพคุณชาเขียวช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้เสถียรในผู้ป่วยโรคเบาหวาน อีกทั้งการดื่มชาเขียวสามารถช่วยกระตุ้นการผลิตฮอร์โมนอินซูลินในตับอ่อนและช่วยดูดซึมกลูโคสในผู้ป่วยเบาหวานประเภท 1 ตลอดจนช่วยลดน้ำตาลในเลือดที่สูงขึ้นอย่างฉับพลันในผู้ป่วยเบาหวานประเภท 2
3.ลดคอเลสเตรอล
คุณทราบหรือไม่ว่า ประโยชน์ของชาเขียวสามารถช่วยลดคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดีอย่าง LDL (Low-density lipoprotein) ซึ่งเป็นไขมันชนิดไม่ดีที่อาจนำไปสู่โรคหัวใจ และทำการเพิ่ม HDL (High-density lipoprotein) ซึ่งถูกจัดอยู่ในหมวดหมู่ของไขมันชนิดดี ยิ่งไปกว่านั้นสรรพคุณชาเขียวยังมีสารประกอบที่ช่วยป้องกันการดูดซึมของคอเลสเตอรอลในระบบทางเดินอาหารอีกด้วย
4.ดีต่อสุขภาพปาก
ชาเขียวประโยชน์ดีๆที่สามารถช่วยทำให้สุขภาพช่องปากดีขึ้นและลดความเสี่ยงที่จะเกิดฟันผุ เนื่องจากในชาเขียวอุดมไปด้วยสารโพลีฟีนอล (Polyphenols) และแคทีชิน (Catechins) ซึ่งมีฤทธิ์ในการฆ่าแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของการเกิดฟันผุ กลิ่นปาก และโรคเหงือก
5.ควบคุมน้ำหนัก
มีหลายผลการศึกษาพบว่า การดื่มชาเขียววันละแก้ว สามารถช่วยลดไขมันในร่างกายได้โดยเฉพาะไขมันส่วนท้อง รวมถึงช่วยควบคุมน้ำหนักอีกด้วย นอกจากนี้ชาเขียวยังมีสารแคทีชิน (Catechins) ที่ช่วยสร้างความร้อนในร่างกาย ส่งผลให้เผาผลาญแคลอรีได้มากขึ้น
6.มีสารต้านอนุมูลอิสระ (Anti-oxidant)
ประโยชน์ของชาเขียวมีผลต่อการยับยั้งและลดการเกิดมะเร็งได้หลายชนิดทั้งในคนและสัตว์ เพราะมีฤทธิ์ทางด้านการต้านอนุมูลอิสระอย่างมาก แม้จะมีจำนวนงานวิจัยที่จำกัด แต่ก็พบว่าการดื่มชาเขียวจะช่วย ลดความเสี่ยงการเกิดมะเร็งหลายชนิด อย่างโรคมะเร็งตับ มะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งปอด มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ มะเร็งลำไส้ และมะเร็งตับอ่อน
7.ชะลอความชรา
ชาเขียวมีสารโพลีฟีนอล (Polyphenols) และสาร OPC (Oligomeric proanthocyanidins) ประโยชน์ของชาเขียวนี้จะช่วยปกป้องผิวคุณจากอนุมูลอิสระ โดยสารชนิดนี้จะช่วยต่อสู้กับปัญหาผิวต่าง ๆ ที่มาเยือนเมื่อคุณเข้าสู่วัยชรา ไม่ว่าจะเป็นริ้วรอย จุดด่างดำ ฯลฯ อีกทั้งยังมีผลการศึกษาหนึ่งพบว่า ชาเขียวประโยชน์ดีๆที่สามารถช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งผิวหนังได้
8.ลดความดันโลหิต
ประโยชน์ชาเขียวสามารถช่วยลดอาการความดันสูง ทั้งนี้มีผลการศึกษาหนึ่งพบว่า คนที่ดื่มชาเขียวหนึ่งหรือสองแก้วครึ่งเป็นประจำอย่างน้อยหนึ่งปีจะมีความเสี่ยงที่จะเกิดความดันโลหิตสูงต่ำลงถึง 46% เมื่อเทียบกับผู้ที่ไม่ได้ดื่มชาเขียว อีกทั้งช่วยลดความอ้วน และช่วยลดไขมันในเลือด ชนิดไตรกลีเซอไรด์ลงได้อย่างลงตัว ด้วยกลไกของการกระตุ้นปฏิกิริยาออกซิเดชันของไขมัน ซึ่ง EGCG ช่วยเพิ่มกระบวนการ การเผาผลาญพลังงานของเนื้อเยื่อไขมัน
9.ช่วยเรื่องโรคกระดูกพรุน
มีงานวิจัยหนึ่งที่ทำการทดลองเกี่ยวกับประสิทธิผลของการบริโภคชาเขียว ได้นำเสนอผลลัพธ์ที่ว่า การดื่มชาเขียวอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 10 ปี อาจสัมพันธ์กับการเพิ่มความหนาแน่นของกระดูก ซึ่งเป็นประโยชน์ในทางป้องกันและรักษาโรคกระดูกพรุน ในขณะที่อีกงานวิจัยหนึ่งซึ่งทำการทดลองในกลุ่มตัวอย่างเพศหญิงวัยหมดประจำเดือน พบว่าการบริโภคชาเขียวที่มีสารต้านอนุมูลอิสระคาเทชินปริมาณ 500 มิลลิกรัม 2 ครั้ง/วัน เป็นเวลา 24 สัปดาห์ อาจช่วยเพิ่มความแข็งแรงแก่กระดูกได้ ชาเขียวอุดมไปด้วยธาตุฟลูออไรด์ซึ่งเป็นหนึ่งในสารอาหารที่จำเป็นสำหรับการเสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูก อีกทั้งยังมีสารต่อต้านอนุมูลอิสระและสารต่อต้านการอักเสบที่ช่วยป้องกันการสูญเสียมวลกระดูก ยิ่งไปกว่านั้น การดื่มชาเขียวเป็นประจำสามารถช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคกระดูกพรุนได้อีกด้วย หรือจะลองหาอาหารเสริมแคลเซียม มารับประทานรวมกันก็ถือเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกดีๆ
10.ป้องกันการเกิดมะเร็ง
ในชาเขียวมีสารต่อต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพมากกว่าวิตามินซีและวิตามินอีถึง 100 เท่าและ 24 เท่าตามลำดับ อีกทั้งประโยชน์ชาเขียวยังมีหลายผลการศึกษาพบว่าสารต่อต้านอนุมูลอิสระในชาเขียวสามารถช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งบางชนิด เช่น มะเร็งเต้านม มะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งปอด มะเร็งกระเพาะอาหาร เป็นต้น
ความปลอดภัยในการบริโภคชาเขียว
- สำหรับผู้บริโภคที่เป็นผู้ใหญ่ทั่วไป การบริโภคชาเขียวสำหรับดื่มในปริมาณที่พอดี จะไม่ทำให้เกิดผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายใดๆต่อสุขภาพ โดยปริมาณชาเขียวที่เหมาะสมในการบริโภคต่อวัน คือ ไม่เกิน 2-3 ถ้วย เพื่อหลีกเลี่ยงการรับสารคาเฟอีนเข้าสู่ร่างกายไม่ให้เกิน 300 มิลลิกรัมต่อวัน เพราะอาจเกิดผลกระทบที่เป็นอันตรายต่อร่างกายได้ หากบริโภคเกินปริมาณดังกล่าว
- โทษของชาเขียวนี้หากบริโภคหรือใช้ผลิตภัณฑ์จากชาเขียวในปริมาณมากหรือในระยะยาว อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงจากสารคาเฟอีนได้ ตั้งแต่ระดับความรุนแรงเล็กน้อยไปจนถึงระดับรุนแรงมากในบางราย เช่น ปวดหัว กระสับกระส่าย นอนไม่หลับ อาเจียน ท้องไส้ปั่นป่วน ท้องผูก ท้องร่วง หงุดหงิดง่าย ใจเต้นแรง มือสั่น แสบร้อนกลางอก เวียนหัว มีเสียงในหู กล้ามเนื้อเกร็งหรือกระตุก หรือรู้สึกสับสน เป็นต้น
- โทษของชาเขียวคืออาจทำให้เกิดอันตรายต่อชีวิตจากสารคาเฟอีนได้ โดยในชาเขียวทั่วไปมีปริมาณคาเฟอีนประมาณ 2-4% ในขณะที่ระดับสารคาเฟอีนที่เป็นอันตรายต่อชีวิตอยู่ที่ประมาณ 10-14 กรัม (150-200 มิลลิกรัม/กิโลกรัม) อย่างไรก็ตาม ภาวะเป็นพิษจากการรับสารคาเฟอีนสามารถเกิดขึ้นจากการรับสารในปริมาณดังกล่าว หรือในปริมาณที่น้อยกว่าก็อาจเกิดขึ้นได้เช่นกัน
- ชาเขียวอาจลดปริมาณการดูดซึมธาตุเหล็กจากอาหารได้
ปัจจุบันคนส่วนใหญ่หันมาดูแลสุขภาพกันมากขึ้นและประโยชน์ของชาเขียวนั้นมีหลากหลาย แม้แต่การดื่มชาก็ยังเน้นเรื่องสุขภาพเช่นกัน และมีแนวโน้มที่จะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ แม้ในปัจจุบันจะมีการผลิตชาเขียวในรูปแบบของเครื่องดื่มสำเร็จรูปกันอย่างแพร่หลาย ส่งผลทำให้สะดวกต่อการบริโภคและสามารถดื่มได้ทุกเพศทุกวัย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ควรบริโภคแต่พอดีจะดีกว่าเพื่อสุขภาพที่ดีในระยะยาว