รถยนต์ไฟฟ้า หรือ EV(Electric Vehicle) เป็นนวัตกรรมใหม่ที่กำลังได้รับความนิยมมากขึ้นในปัจจุบัน โดยเป็นรถยนต์ที่มีการใช้พลังงานไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว ซึ่งจะเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและราคาก็ยังต่ำกว่ารถยนต์ที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงทั่วไป ซึ่งรถยนต์ไฟฟ้าจะมีการใช้พลังงานไฟฟ้าที่มาจากแบตเตอรี่รถยนต์ซึ่งจะต้องมีเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้ารวมถึงอุปกรณ์แปลงกระแสไฟฟ้า โดยจะยังมีการพัฒนา รถยนต์ไฟฟ้ามินิราคาหลักหมื่น อย่างต่อเนื่องเพื่อให้กลายเป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่จะตอบโจทย์กับคนรุ่นใหม่ และกลายเป็นนวัตกรรมที่สร้างความท้าทายแก่โลกอนาคต
โดยรถยนต์ไฟฟ้ามินิราคาหลักหมื่น จะเป็นรถยนต์ขนาดเล็กซึ่งมีการพัฒนาออกมาหลายรุ่น หลายแบบ ขับขี่ง่าย และยังมีต้นทุนการผลิตรวมไปถึงการบำรุงรักษาที่มีราคาไม่สูงโดยปัจจุบันเริ่มต้นรถยนต์ไฟฟ้าราคา 80,000 บาทขึ้นไปจนถึงหลังล้านซึ่งเลือกซื้อได้ตามความต้องการ อีกทั้งแบตเตอรี่รถยนต์ก็ยังมีการพัฒนาให้มีการประหยัดพลังงานมากขึ้นเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเพิ่มขึ้น อีกทั้งหากมีการซื้อรถยนต์ไฟฟ้าในปัจจุบันนี้ก็ยังสามารถที่จะทำประกันรถยนต์ได้ตามปกติ
หัวข้อต่างๆ ของบทความนี้
รถยนต์พลังงานไฟฟ้าจะแบ่งออกเป็น 4 ประเภท
1. รถยนต์ไฟฟ้าไฮบริด (Hybrid Electric Vehicle, HEV)
เป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่มีการใช้งาน 2 ระบบควบคุมด้วยเทคโนโลยีอย่างชาญฉลาดโดยมีระบบมอเตอร์ไฟฟ้าและใช้เครื่องยนต์สันดาปแบบดีเซลหรือเบนซิน สลับการทำงานเพื่อให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุดในการขับขี่ โดยเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าจะประสานงานกัน หากมีการเร่งความเร็วระบบจะให้มีการดึงพลังงานจากแบตเตอรี่มาช่วยให้เครื่องยนต์มีกำลังสูงขึ้น และเร่งความเร็วได้ตามที่ต้องการ หากรถหยุดนิ่งเครื่องยนต์จะดับเพื่อลดการใช้น้ำมันและลดการปล่อยควันพิษ ในส่วนของตัวรถจะมีการดึงไฟจากแบตเตอรี่มาใช้กับอุปกรณ์ต่าง ๆ ภายในรถ
2. รถยนต์ไฟฟ้าปลั๊กอินไฮบริด (Plug-in Hybrid Vehicle, PHEV)
รถยนต์พลังงานไฟฟ้าปลั๊กอินไฮบริด เป็นรถยนต์ที่มีการทำงานหลายระบบภายในคันเดียว ระบบน้ำมันเชื้อเพลิงและมอเตอร์ไฟฟ้า โดยจะมีการ Plug-in หรือเสียบปลั๊กเพื่อชาร์จไฟจากภายนอกและเมื่อมีการใช้งานจนแบตเตอรี่หมดลง ระบบจะให้มีการกลับไปใช้งานเครื่องยนต์ปกติ เรียกได้ว่าตัวรถจะสามารถวิ่งได้ในระยะที่ไกลมากขึ้น ในปัจจุบันนี้มีรถหลายเซกเมนต์ที่มีการนำระบบปลั๊กอินไฮบริดมาใช้อย่าง Mitsubishi Outlander PHEV และ MG HS PHEV ที่ราคาสามารถจะจับต้องได้จริง ๆ
3. รถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (Battery Electric Vehicle, BEV)
เป็นรถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ BEV หรือที่เราเรียกกันว่ารถยนต์ EV (Electric Vehicle) จะเป็นรถยนต์ที่มีการขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวเท่านั้น โดยจะมีการนำเอาพลังงานจากแบตเตอรี่รถยนต์ที่มีการชาร์จหรืออัดประจุไฟฟ้าจนเต็มแล้ว และเมื่อแบตเตอรี่หมดไฟจะต้องทำการเสียบปลั๊กเพื่อทำการชาร์จไฟเข้าไปใหม่ทันที โดยจุดเด่นของรถยนต์ไฟฟ้าประเภทนี้จะไม่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ หรือปล่อยมลพิษสู่อากาศ และในปัจจุบันนี้ยังเป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่กำลังได้รับความนิยมอย่างสูง
4. รถยนต์ไฟฟ้าเซลล์เชื้อเพลิง (Fuel Cell Electric Vehicle, FCEV)
รถยนต์ไฟฟ้าที่ใช้เชื้อเพลิงในการขับเคลื่อนระบบมอเตอร์ไฟฟ้า หรือรถ Fuel Cell ซึ่งในปัจจุบันยังมีราคาที่สูงจึงอาจจะยังได้รับความนิยมน้อยกว่ารถยนต์ EV และ HEV อยู่พอสมควร โดยระบบการทำงานจะเป็นการสร้างแหล่งพลังงานจากก๊าซไฮโดรเจนและเก็บไว้ในถังแรงดันสูง เพื่อให้ทำปฏิกิริยากับออกซิเจนในอากาศและสร้างเป็นพลังงานไฟฟ้าไว้ในแบตเตอรี่รถยนต์ ซึ่งมีข้อดีก็คือเมื่อมีการใช้งานจะไม่ปล่อยมลพิษออกสู่อากาศภายนอก
ข้อดีของการเลือกใช้รถยนต์ไฟฟ้า
- จะใช้พลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่เป็นรถยนต์ไฟฟ้าราคา 80,000 บาทที่จับต้องได้ ไม่มีเสียงรบกวน โดยการขับเคลื่อนก็จะมีอัตราเร่งที่เป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนดไว้
- การเลือกใช้รถยนต์ไฟฟ้าจะช่วยให้ประหยัดเงินค่าน้ำมัน โดยเฉพาะในช่วงที่ราคาน้ำมันแพงมากในปัจจุบันนี้ อีกทั้งค่าซ่อมบำรุงก็ใช้เงินไม่สูงมากหากเทียบกับเครื่องยนต์แบบสันดาป
- รถยนต์ไฟฟ้าจะไม่มีการเผาไหม้ของเครื่องยนต์ เพราะใช้พลังงานจากแบตเตอรี่เท่านั้น จึงไม่มีไอเสีย ควันดำที่จะเป็นมลพิษทางอากาศ และเข้าสู่ภาวะโลกร้อน
- ปัจจุบันรถยนต์ไฟฟ้าสามารถจะมีเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าทั้งที่บ้าน รวมถึงในการเดินทางก็ยังมีสถานีชาร์จเร็วหรือ EV Station ที่เริ่มมีให้บริการมากขึ้น
การบำรุงรักษารถยนต์ไฟฟ้า
ถึงแม้จะเป็นรถยนต์ไฟฟ้าราคา 89,000 บาทซึ่งถือว่าเป็นราคาที่ถูกมากและก็มีขายแล้วในเมืองไทย จนมีจำนวนผู้ที่ซื้อรถยนต์พลังงานไฟฟ้ามาใช้กันมากขึ้นแต่ก็อาจจะยังไม่คุ้นเคยกับวิธีการดูแลบำรุงรักษารถยนต์ไฟฟ้าอย่างถูกต้องกันสักเท่าไหร่ ซึ่งในแต่ละวันจะต้องมีการเช็คระบบเครื่องยนต์ไปจนถึงสภาพภายนอก โดยจะมีรายละเอียดดังนี้
1. ตรวจสอบลักษณะโดยรวมของรถยนต์ไฟฟ้า
ก็จะเหมือนกับการตรวจเช็คความพร้อมของรถยนต์ที่ใช้เชื้อเพลิง แต่ก็จะมีเพิ่มเติมเข้ามาก็คือ รถยนต์ไฟฟ้าจะต้องมีการตรวจสอบช่องชาร์จอยู่เป็นประจำ เพื่อดูว่าปลั๊กในช่องชาร์จหลวม หรือมีความเสียหาย ซึ่งหากมีการทำความร้อนนานเกินไปอาจจะทำให้มีไฟฟ้าลัดวงจรและจะสร้างความเสียหายทั้งเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า และอุปกรณ์ชาร์จภายในรถยนต์เสียหายได้
2. จะต้องรู้จักระบบการชาร์จและใช้งานอย่างถูกต้อง
สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าจะต้องมีการซาร์จพลังงานไฟฟ้าให้แบตเตอรี่เต็มอยู่เสมอ โดยจะต้องควบคุมเวลาในการชาร์จให้เหมาะสมไม่ควรนานเกินไปจะทำให้แบตเตอรี่รถยนต์ร้อน หรือระยะเวลาในการชาร์จแบตเตอรี่สั้นเกินไปก็จะทำให้อายุของการใช้งานสั้นตามไปด้วย ในส่วนของระบบการควบคุมมิเตอร์ในระหว่างการขับขี่หากมิเตอร์ขึ้นไฟสีเหลืองควรจะต้องทำการชาร์จแบตเตอรี่ หรือหากมิเตอร์ขึ้นไฟสีแดงและสว่างขึ้นให้หยุดทำงาน และชาร์จแบตเตอรี่ทันที
3. การตรวจหัวชาร์จหรือที่ชาร์จไฟ
ควรจะใช้ที่ชาร์จแบตเตอรี่รถยนต์ที่ได้มาพร้อมกับรถ เพราะอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ได้มาพร้อมกับรถยนต์ไฟฟ้าที่ซื้อมาครั้งแรกจะได้การรับรองมาตรฐานมาแล้วจากศูนย์บริการ ซึ่งจะมีความปลอดภัยในการใช้งานเพราะจะมีระบบป้องกันที่เหมาะสม ทั้งป้องกันไฟฟ้าลัดวงจรและการเกิดประกายไฟ ซึ่งหากเลือกใช้ที่ชาร์จที่ไม่ได้มาตรฐานก็อาจจะมีปัญหาการชาร์จไฟไม่เข้า การจ่ายไฟไม่ได้เป็นไปตามมาตรฐาน หรือซอกเก็ตมีปัญหาไม่สามารถจะเชื่อมต่อเพื่อทำการชาร์จไฟได้
4. การตรวจสอบแบตเตอรี่
รถยนต์ไฟฟ้าถือว่าการมีแบตเตอรี่รถยนต์เป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อน เพราะเป็นที่กักเก็บไฟเพื่อที่จะใช้งานระบบต่าง ๆ ภายในรถ โดยการชาร์จทุกครั้งควรจะให้เต็ม 100% เพื่อเป็นการถนอมให้แบตเตอรี่มีการใช้งานได้นานขึ้น อีกทั้งการจอดรถยนต์ไฟฟ้าไม่ควรจะจอดรถไว้กลางแจ้ง หรือกลางแดดซึ่งจะทำให้แบตเตอรี่มีการสะสมความร้อนจึงควรจอดรถไว้ในที่มีหลังคา หรือจอดไว้ในโรงจอดรถ
5. รักษาสีตัวถังก็มีความสำคัญ
รถยนต์ไฟฟ้าก็เหมือนรถยนต์เชื้อเพลิงที่จะต้องมี การใส่ใจการดูแลเพื่อที่จะให้รถยนต์นั้น ๆ ยังดูเหมือนใหม่อยู่เสมอนอกจากจะใช้วิธีการล้างรถกับการใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมแล้ว การมีโรงจอดรถก็จะช่วยให้สีของตัวถังยังดูสดใหม่และปลอดภัยจากแสงแดด ลมร้อน ขี้นกซึ่งเป็นศัตรูตัวฉกาจ เศษฝุ่นต่าง ๆ รวมทั้งน้ำฝนซึ่งอาจจะเป็นกรดที่สามารถจะทำลายสีของตัวถังได้
6. เปลี่ยนน้ำมันเกียร์
เนื่งอจากรถยนต์ไฟฟ้าจะใช้เกียร์ความเร็วเดียว น้ำมันเกียร์จึงมีความสำคัญที่จะต้องมีการเช็คและมีการเปลี่ยนน้ำมันเกียร์ตามระยะเวลาที่เหมาะสมเพื่อให้มั่นใจได้ว่าการหล่อลื่นของชุดเกียร์ รวมไปถึงมอเตอร์ในการขับเคลื่อนยังคงทำงานปกติ นอกจากนี้ยังมีระบบของเหลวต่าง ๆ อย่างน้ำมันเบรก น้ำหล่อเย็น หรือน้ำฉีดกระจก ควรจะต้องมีการสังเกตและตรวจสอบเป็นประจำ หากมีปริมาณที่ลดลงควรเติมเพิ่มหรือไม่สามารถทำเองได้ให้นำรถเข้าตรวจที่ศูนย์บริการ
7. การตรวจสอบระบบไฟฟ้า
การบำรุงรักษารถยนต์ไฟฟ้าช่างซ่อมบำรุงมักจะใช้อุปกรณ์ไอทีที่ทันสมัยเพื่อเชื่อมต่อกับระบบและทำการตรวจสอบข้อมูลครอบคลุมทั้งระบบ ซึ่งรวมถึงสภาพของแบตเตอรี่ แรงดันไฟฟ้าของแบตเตอรี่สถานะการชาร์จอุณหภูมิของแบตเตอรี่ เป็นต้น ในปัจจุบันผู้ผลิตหลายรายจะทำการอัปเดตระบบอินเทอร์เน็ตในรถยนต์เมื่อมีเวอร์ชันใหม่ หรือเจ้าของเองก็สามารถขออัปเกรดซอฟต์แวร์ของรถได้เช่นกัน
8 รถยนต์ไฟฟ้ามินิราคาหลักหมื่น น่าจับตามอง
1. DT Motor Mini City Car
เป็นรถยนต์ไฟฟ้าราคา 98,000 – 148,000 บาทที่ถูกนำเข้าจากประเทศจีน โดยเป็นรุ่น Mini City Car รุ่นปกติจะไม่มีแอร์ซึ่งจะเป็นรุ่นเริ่มต้น ปัจจุบันถูกพัฒนาให้ใช้งานได้เหมือนกับรถยนต์ทั่วไป มีโครงสร้างตัวถัง เบาะที่นั่ง และยังเดินกำลังด้วยพลังงานไฟฟ้า ตัวรถมีขนาดเล็กกะทัดรัด ใช้เวลาชาร์จแบตเตอรี่โดยประมาณ 3-6 ชั่วโมง โดยสปีดความเร็วจะอยู่ที่ 30 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งสามารถจะวิ่งได้ทั้งระยะใกล้และระยะไกล
2. Fomm ONE
สำหรับรุ่น Fomm ONE น่าจะมีราคาสูงกว่ารถยนต์ไฟฟ้ามินิราคาหลักหมื่น ซึ่งเป็นรถยนต์ไฟฟ้าขนาดจิ๋วแต่มีราคาสูงถึง 785,000 บาท โดย Fomm ONE เป็นรถสัญชาติญี่ปุ่นที่มีการปรับปรุงอุปกรณ์เพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานความปลอดภัยของประเทศญี่ปุ่น และมีมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 10 kW ไว้ที่ล้อคู่หน้าทำความเร็วได้สูงสุด 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ห้องโดยสารที่มีเบาะนั่ง 4 ที่นั่ง โดยมีแผงแดชบอร์ดที่เน้นการแสดงผล อีกทั้งพวงมาลัยที่ออกแบบสไตล์พวงมาลัยบนเครื่องบิน
3. Wuling MINI EV
เป็นรถยนต์ไฟขนาดเล็กที่มีราคาเริ่มต้น 369,000 บาท โดย Wuling MINI EV มาพร้อมกับพวงมาลัยซ้ายจะมีอุปกรณ์ที่ได้มาตรฐาน โดยในห้องผู้โดยสารจะมีทั้งเครื่องเสียงวิทยุ มาตรวัดแบบดิจิทัล ระบบปรับอากาศแบบอัตโนมัติ กระจกหน้าต่างไฟฟ้า เบาะนั่งด้านหลังที่สามารถจะพับได้เพื่อที่จะได้มีพื้นที่ในการวางสัมภาระเพิ่มมากขึ้น การขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าที่มีกำลัง 20 kW หรือราว 27 แรงม้า ทำความเร็วสูงสุดได้ 105 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
4. Baojun E100
Baojun E100 เป็นรถไฟฟ้าขนาดเล็กทรงแฮทช์แบคแบบ 2 ที่นั่ง การออกแบบภายนอกน่ารักและมีความคล่องตัวสูง สำหรับภายในห้องผู้โดยสารจะมีการตกแต่งสไตล์มินิมอลมีระบบเชื่อมต่อ Wi-Fi มีระบบ Infotainment พร้อมหน้าจอขนาด 7 นิ้ว และพวงมาลัยเพาเวอร์ไฟฟ้า มีการขับเคลื่อนด้วยแบบแบตเตอรี่ (BEV) ซึ่งเป็นแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน จะใช้เวลาในการชาร์จไฟราว 7 – 8 ชั่วโมง โดยสามารถจะทำความเร็วสูงสุดที่ 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงและสามารถทำระยะทางได้ไกล 155 กิโลเมตร ซึ่งมีราคาเริ่มต้นที่ 180,000 บาท
5. Changli Nemeca
เป็นรถยนต์ไฟฟ้ามีขนาดกะทัดรัดมี 2 ประตู การออกแบบด้านหน้ารถมีความคลาสิกน่าสะสมเป็นรถยนต์ไฟฟ้า 4 ล้อที่มีราคาถูกเพียง 27,900 บาทแต่ระดับประสิทธิภาพการใช้งานเทียบเท่ารถยนต์ไฟฟ้า ราคา 80,000 บาท โดยรถสามารถบรรทุกน้ำหนักได้มากถึง 300 กิโลกรัมมีเครื่องยนต์ 1.6 แรงม้า สามารถจะทำความเร็วสูงสุดได้แค่ 30 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ภายนอกจะมีการตกแต่งด้วยสติ๊กเกอร์ มีกันชนทั้งด้านหน้าและด้านหลัง มาพร้อมกับแร็คหลังคาที่มีไฟ LED พร้อมจะลุยไปได้ทุกที่
6. Fengguang MINI EV
Fengguang MINI EV รุ่นใหม่ล่าสุดก่อนที่มาพร้อมขุมพลังมอเตอร์ไฟฟ้า 34 แรงม้า ตัวถังจะมีตัวถังของ Fengguang MINI EV มีขนาดตัวถังใหญ่ เส้นสายภายนอกเน้นความเป็นรถทรงกล่องขนาดเล็กและมีมิติมากขึ้น ไฟหน้าทรงเหลี่ยมพร้อมกระจังหน้าสีดำ โดยสำหรับรุ่นนี้จะมีราคาสูงกว่ารถยนต์ไฟฟ้ามินิราคาหลักหมื่น นิดหน่อยหรืออยู่ราว ๆ 135,000 – 180,000 บาท ซึ่งเรียกว่าราคาไม่สูงและสามารถจะจับต้องได้ง่าย
7. MINI EV Car
รถไฟฟ้ามินิ ซึ่งจะช่วยประหยัดพลังงานและลดมลพิษทางอากาศได้ โดยจะเป็นรถยนต์ไฟฟ้า ราคา 80,000 บาทสำหรับรุ่นเริ่มต้น โดยส่วนใหญ่มักจะนำไปใช้ขับขี่ภายในพื้นที่ไม่ไกลนัก เช่นภายในหมู่บ้าน หรือเพื่อไปจ่ายตลาด ซึ่งในบางรุ่นก็จะมี 4 ที่นั่ง หรือบางรุ่นก็ยังสามารถจะนำไปดัดแปลงเป็นฟู๊ดทรัค ขายของตามท้องตลาด หน้าโรงงาน หน้าหอพัก หรือสถานที่ต่าง ๆ ได้ตามต้องการ ซึ่งก็จะประหยัดค่าใช้จ่ายได้มากกว่าการใช้รถเครื่องยนต์ปกติ
8. Rimono MINI EV
Rimono MINI EV เป็นรถไฟฟ้าขนาดจิ๋วที่เล็กที่สุดในโลก และสามารถจะนำไปใช้งานได้จริงแต่ก็ต้องบอกว่าเป็นรถยนต์ที่เหมาะกับการจราจรของประเทศญี่ปุ่นเท่านั้น ซึ่งก็สามารถจะนำไปใช้งานกับระยะทางไม่ไกลกันมากนัก โดยรถจะมี 2 ที่นั่งและสามารถจะสามารถทำความเร็วได้สูงสุดที่ 45 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เป็นรถที่เหมาะจะขับขี่ในระยะใกล้ หรือใช้ขับไปจ่ายตลาด รับส่งลูกไปโรงเรียนก็สบาย
รถยนต์ไฟฟ้ามินิราคาหลักหมื่น ซึ่งราคาเริ่มต้นจะอยู่ที่ 80,000 บาทขึ้นไป โดยราคาก็อาจจะสูงมากขึ้นอยู่กับฟังก์ชันเสริมต่าง ๆ ที่มีให้มาพร้อมกับตัวรถ และสามารถเลือกใช้ให้เหมาะกับความต้องการได้ ซึ่งปัจจุบันนี้ก็มักจะพบเห็นรถยนต์ไฟฟ้ามินิในบ้านเราบ่อย ๆ เพราะเป็นรถยนต์ที่ใช้แบตเตอรี่ซึ่งเป็นมิตรกับธรรมชาติ อีกทั้งยังช่วยให้ประหยัดค่าใช้จ่ายหมดปัญหาเรื่องค่าน้ำมันแพงจึงได้รับความสนใจอย่างมากในปัจจุบัน อ่านรีวิวรถไฟฟ้าแบรนด์อื่นๆ และบทความเกี่ยวกับรถยนต์ได้ที่ Shopee Blog
อ้างอิง : thunkhaotoday.com