น้ำมันเกียร์เป็นส่วนสำคัญที่ช่วยให้ระบบเกียร์ของรถยนต์ทำงานได้อย่างราบรื่น การดูแลและเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเกียร์ตามระยะเวลาที่เหมาะสมจะช่วยยืดอายุการใช้งานของเกียร์และป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต บทความนี้จะตอบคำถามเกี่ยวกับน้ำมันเกียร์ เช่น น้ำมันเกียร์ เปลี่ยนตอนไหน คืออะไร ควรเปลี่ยนเมื่อไหร่ น้ำมันเกียร์ เปลี่ยนทุกกี่โล ใช้เบอร์อะไร และวิธีการเลือกน้ำมันเกียร์ที่เหมาะสม
หัวข้อต่างๆ ของบทความนี้
น้ำมันเกียร์ คืออะไร?
น้ำมันเกียร์ คือของเหลวที่ใช้ในการหล่อลื่นชิ้นส่วนภายในระบบเกียร์ของรถยนต์ หน้าที่หลักของน้ำมันเกียร์คือช่วยลดแรงเสียดทานและการสึกหรอของชิ้นส่วนเกียร์ นอกจากนี้ยังช่วยระบายความร้อนและป้องกันการกัดกร่อนของชิ้นส่วนโลหะภายในเกียร์อีกด้วย

น้ำมันเกียร์มีกี่ประเภท?
น้ำมันเกียร์แบ่งออกเป็นสองประเภทหลัก ๆ ดังนี้
ใช้สำหรับระบบเกียร์ธรรมดา มีคุณสมบัติในการหล่อลื่นและป้องกันการสึกหรอของชิ้นส่วนเกียร์
ใช้สำหรับระบบเกียร์อัตโนมัติ นอกจากการหล่อลื่นแล้วยังทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการส่งกำลังและควบคุมการทำงานของระบบเกียร์
ปัจจัยเปรียบเทียบ | น้ำมันเกียร์ธรรมดา (MTF) | น้ำมันเกียร์อัตโนมัติ (ATF) |
การใช้งาน | ใช้กับระบบเกียร์ธรรมดาที่ต้องอาศัยการเปลี่ยนเกียร์ด้วยตนเอง | ใช้กับระบบเกียร์อัตโนมัติที่เปลี่ยนเกียร์ได้เองตามรอบเครื่อง |
หน้าที่หลัก | หล่อลื่นฟันเฟืองและลดแรงเสียดทานระหว่างเกียร์ | นอกจากหล่อลื่นแล้ว ยังเป็นตัวกลางในการส่งกำลังและควบคุมแรงดันไฮดรอลิก |
ความหนืด | มีความหนืดสูงกว่า ATF มักอยู่ในช่วง 75W-80, 75W-90 | มีความหนืดต่ำกว่า MTF เพื่อให้ไหลเวียนได้ง่าย มักมีค่าประมาณ 20-40 cSt |
สีของน้ำมัน | สีเหลืองอำพันหรือน้ำตาล | สีแดงเพื่อแยกความแตกต่างจากของเหลวอื่นในรถยนต์ |
อายุการใช้งาน | เปลี่ยนถ่ายทุก 40,000 – 60,000 กม. | เปลี่ยนถ่ายทุก 30,000 – 50,000 กม. หรืออาจเร็วกว่านี้หากใช้งานหนัก |
การรองรับอุณหภูมิ | ทนต่อแรงกดสูง แต่ไม่มีคุณสมบัติป้องกันความร้อนมากเท่ากับ ATF | มีสารเติมแต่งช่วยทนความร้อนและช่วยป้องกันการเกิดฟองอากาศ |
เลือกใช้น้ำมันเกียร์ให้เหมาะสม
📌 น้ำมันเกียร์ทั้งสองประเภทไม่สามารถใช้แทนกันได้ เนื่องจากระบบเกียร์มีการทำงานที่แตกต่างกัน
📌 ควรเลือกใช้น้ำมันเกียร์ที่มีค่าความหนืดและมาตรฐานตรงตามที่ผู้ผลิตรถยนต์แนะนำ
📌 ตรวจสอบและเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเกียร์ตามระยะเวลาที่กำหนดเพื่อป้องกันความเสียหายของระบบเกียร์
น้ำมันเกียร์ เปลี่ยนตอนไหน เมื่อไหร่ดี?
การเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเกียร์ควรทำตามระยะทางหรือระยะเวลาที่กำหนดในคู่มือรถยนต์ของคุณ โดยทั่วไปแล้ว ควรเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเกียร์ทุก ๆ 30,000-40,000 กิโลเมตร หรือประมาณทุก ๆ 2-3 ปี ในบางเจ้า ถ้าถามว่า น้ำมันเกียร์ เปลี่ยนตอนไหน เมื่อไหร่ดี หรือ น้ำมันเกียร์ เปลี่ยนทุกกี่โล ก็ระบุว่าเปลี่ยนน้ำมันเกียร์ทุกการขับขี่ประมาณ 50,000-160,000 กิโลเมตร อย่างไรก็ตาม หากรถยนต์ของคุณใช้งานหนัก เช่น ขับในสภาพการจราจรติดขัดหรือบรรทุกหนัก ควรพิจารณาเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเกียร์บ่อยขึ้น
จะรู้ได้อย่างไรว่า ต้องเปลี่ยนน้ำมันเกียร์?
นอกจากการเปลี่ยนถ่ายตามระยะทางหรือระยะเวลาที่กำหนดแล้ว คุณยังสามารถสังเกตอาการผิดปกติของระบบเกียร์ที่อาจบ่งบอกถึงความจำเป็นในการเปลี่ยนน้ำมันเกียร์ หรือ ตรวจสอบด้วยตัวเองง่ายๆที่บ้าน รวมแล้วสองวิธีด้วยกัน คือ
1. สังเกตอาการผิดปกติของเกียร์หรือการใช้รถ
- เกียร์เปลี่ยนยากหรือมีอาการกระตุก
- มีเสียงดังผิดปกติขณะเปลี่ยนเกียร์
- ได้กลิ่นไหม้ขณะใช้รถซึ่งอาจมาจากน้ำมันเกียร์
หากพบอาการเหล่านี้ ควรนำรถเข้าตรวจสอบและเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเกียร์ทันที
2. ตรวจสอบสภาพน้ำมันเกียร์ด้วยตัวเองง่ายๆที่บ้าน
✅ อุปกรณ์ที่ต้องใช้
- กระดาษทิชชู่สีขาวหนา หรือผ้าขาวสะอาด
- ไฟฉาย (ช่วยให้เห็นสีได้ชัดขึ้น)
- ไขควงปากแบน หรือก้านวัดระดับน้ำมันเกียร์ของรถ
🛠 ขั้นตอนการตรวจสอบสีของน้ำมันเกียร์
1️⃣ หาตำแหน่งก้านวัดน้ำมันเกียร์
- สำหรับ เกียร์อัตโนมัติ (AT): รถส่วนใหญ่มีก้านวัดน้ำมันเกียร์ (มักอยู่ใกล้เครื่องยนต์)
- สำหรับ เกียร์ธรรมดา (MT): ไม่มีก้านวัด ต้องเปิดฝาปิดน้ำมันเกียร์ที่เกียร์โดยตรง
2️⃣ ดึงก้านวัดน้ำมันเกียร์ออก แล้วเช็ดด้วยกระดาษทิชชู่สีขาว
3️⃣ สังเกตสีของน้ำมันเกียร์ แล้วเปรียบเทียบกับตารางด้านล่าง
🎨 ตารางเปรียบเทียบสีของน้ำมันเกียร์และสภาพ
สีของน้ำมันเกียร์ | สภาพของน้ำมันเกียร์ | ควรเปลี่ยนหรือไม่? |
สีแดงสด หรือชมพูใส | ใหม่ สะอาด พร้อมใช้งาน | ❌ ยังไม่ต้องเปลี่ยน |
สีแดงเข้ม หรือสีส้ม | ใช้งานไปแล้ว เริ่มเสื่อมสภาพ | ⚠️ ใกล้ถึงเวลาตรวจเช็คและเปลี่ยน |
สีน้ำตาลอ่อน | น้ำมันเริ่มเก่า มีการเสื่อมสภาพ | ✅ ควรเปลี่ยนเร็วๆ นี้ |
สีน้ำตาลเข้ม หรือดำ | เสื่อมสภาพ มีคราบเขม่า | ✅ เปลี่ยนทันที! |
สีดำและมีกลิ่นไหม้ | เกียร์อาจมีปัญหา น้ำมันเกียร์อาจมีการเผาไหม้ | 🚨 เปลี่ยนทันที และตรวจสอบระบบเกียร์ |
💡 หมายเหตุ:
- หากน้ำมันเกียร์ ขุ่นหรือมีฟอง อาจมีปัญหาความชื้นหรืออากาศเข้าไปในระบบเกียร์
- หากพบ เศษโลหะปะปน ควรรีบเข้าศูนย์เพื่อตรวจสอบเกียร์
🔧 วิธีดูแลน้ำมันเกียร์ให้ใช้งานได้นานขึ้น
✅ หมั่นตรวจเช็คทุก 10,000 – 20,000 กม. หรือทุก 6 เดือน
✅ ใช้ น้ำมันเกียร์ตามมาตรฐานที่ผู้ผลิตรถยนต์แนะนำ
✅ หลีกเลี่ยงการขับรถลากรอบสูงหรือบรรทุกหนักเกินไป เพราะจะทำให้เกียร์เสื่อมเร็ว
✅ หากเริ่มมีอาการ เกียร์กระตุก, เปลี่ยนเกียร์ยาก, หรือมีเสียงดัง ควรตรวจเช็คทันที
🛠 สรุป: วิธีเช็คสีน้ำมันเกียร์ได้เองที่บ้าน
- ดึงก้านวัดน้ำมันเกียร์ออกมา
- หยดน้ำมันเกียร์ลงบนกระดาษทิชชู่สีขาว
- สังเกตสีตามตารางเปรียบเทียบ
- หากสี น้ำตาลเข้มหรือดำ + มีกลิ่นไหม้ ควรรีบเปลี่ยนทันที!
🔴 อย่ารอจนเกียร์พัง! เปลี่ยนน้ำมันเกียร์ตามระยะที่เหมาะสมเพื่อยืดอายุการใช้งานของเกียร์และขับขี่อย่างปลอดภัย 🚗💨
วิธีเลือกน้ำมันเกียร์
การเลือกน้ำมันเกียร์ที่เหมาะสมควรพิจารณาจากปัจจัยดังต่อไปนี้:
- ประเภทของเกียร์: เลือกน้ำมันเกียร์ที่เหมาะสมกับประเภทของเกียร์รถยนต์ของคุณ เช่น เกียร์ธรรมดาหรือเกียร์อัตโนมัติ
- ความหนืด: ตรวจสอบค่าเบอร์ความหนืดที่ผู้ผลิตรถยนต์แนะนำ
- มาตรฐานและคุณสมบัติพิเศษ: เลือกน้ำมันเกียร์ที่มีมาตรฐานและคุณสมบัติที่ตรงตามความต้องการของรถยนต์ เช่น ทนต่อความร้อนสูง หรือมีสารป้องกันการสึกหรอ
น้ำมันเกียร์ใช้เบอร์อะไร?
การเลือกเบอร์หรือความหนืดของน้ำมันเกียร์ควรอ้างอิงตามคู่มือรถยนต์ของแต่ละรุ่น เนื่องจากผู้ผลิตจะระบุสเปกที่เหมาะสมไว้แล้ว อย่างไรก็ตาม น้ำมันเกียร์มักจะมีการระบุค่าเบอร์ความหนืด เช่น SAE 75W-90, 80W-90 เป็นต้น ซึ่งตัวเลขเหล่านี้บ่งบอกถึงความหนืดของน้ำมันเกียร์ในสภาวะอุณหภูมิต่าง ๆ แต่ถ้าสงสัยว่าเบอร์ของน้ำมันเกียร์บอกอะไร ก็ไปทำความเข้าใจรายละเอียดกันได้ดังนี้
น้ำมันเกียร์ที่มีเบอร์ระบุ เบอร์คืออะไร และบอกอะไรได้บ้าง?
“เบอร์” ของน้ำมันเกียร์ หมายถึงค่าความหนืด (Viscosity) ของน้ำมันเกียร์ ซึ่งกำหนดโดยมาตรฐานของ SAE (Society of Automotive Engineers) เพื่อช่วยให้ผู้ใช้เลือกน้ำมันเกียร์ที่เหมาะสมกับสภาพอากาศและการใช้งานของรถยนต์แต่ละประเภท
1. ความหมายของเบอร์น้ำมันเกียร์
เบอร์น้ำมันเกียร์ที่พบบ่อยจะอยู่ในรูปแบบ ตัวเลข + ตัวอักษร “W” หรือไม่มี W เช่น 75W-90, 80W-90, 85W-140 เป็นต้น โดยมีความหมายดังนี้:
- ตัวเลขก่อน “W” → บอกค่าความหนืดของน้ำมันเกียร์ที่อุณหภูมิต่ำ (Winter)
- ตัวเลขหลัง “W” → บอกค่าความหนืดของน้ำมันเกียร์ที่อุณหภูมิสูง (ที่อุณหภูมิ 100°C)
ตัวอย่างเช่น:
- 75W-90 → สามารถใช้ในอุณหภูมิต่ำได้ดี และมีค่าความหนืดที่อุณหภูมิสูงเท่ากับเบอร์ 90
- 85W-140 → ทนต่อความร้อนและแรงกดสูงกว่า 75W-90 เหมาะสำหรับงานหนัก
2. ประเภทของน้ำมันเกียร์ตามเบอร์ SAE
น้ำมันเกียร์แบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลักตามความหนืด ได้แก่:
ประเภท | ตัวอย่างเบอร์น้ำมันเกียร์ | ลักษณะการใช้งาน |
---|---|---|
น้ำมันเกียร์เบอร์เบา (ความหนืดต่ำ) | 75W-80, 75W-90 | เหมาะสำหรับเกียร์ธรรมดาและรถยนต์ทั่วไป ช่วยให้เปลี่ยนเกียร์ลื่นไหลในสภาพอากาศเย็น |
น้ำมันเกียร์เบอร์หนัก (ความหนืดสูง) | 80W-90, 85W-140 | เหมาะสำหรับรถบรรทุก, รถที่บรรทุกหนัก หรือใช้งานในอุณหภูมิสูง ช่วยป้องกันการสึกหรอของเกียร์ |
3. วิธีเลือกเบอร์น้ำมันเกียร์ให้เหมาะสม
📌 ตรวจสอบคู่มือรถยนต์ เพื่อดูว่าแนะนำให้ใช้น้ำมันเกียร์เบอร์ไหน
📌 หากขับขี่ในพื้นที่อากาศเย็น ควรเลือกเบอร์ที่มีตัวเลข W ต่ำ เช่น 75W-90
📌 หากใช้งานหนัก หรือขับขี่ในพื้นที่อากาศร้อนอย่างเมืองไทย ควรเลือกเบอร์ที่มีค่าความหนืดสูงขึ้น เช่น 85W-140
สรุปคือ เบอร์น้ำมันเกียร์เป็นตัวบ่งบอกค่าความหนืดของน้ำมันเกียร์ที่อุณหภูมิต่างๆ การเลือกใช้เบอร์น้ำมันเกียร์ที่เหมาะสมช่วยให้เกียร์ทำงานได้ราบรื่น ลดการสึกหรอ และยืดอายุการใช้งานของรถยนต์ 🚗
ข้อเสียของการไม่เปลี่ยนน้ำมันเกียร์ตามเวลาที่เหมาะสม
หากไม่เปลี่ยนน้ำมันเกียร์ตามระยะเวลาที่เหมาะสม อาจส่งผลเสียต่อระบบเกียร์ของรถยนต์ในหลายด้าน ดังนี้
1. เกียร์เสื่อมสภาพเร็วขึ้น
น้ำมันเกียร์ทำหน้าที่หล่อลื่นและลดการเสียดสีของชิ้นส่วนภายในเกียร์ เมื่อใช้งานเป็นเวลานาน น้ำมันเกียร์จะเสื่อมสภาพ สูญเสียความหนืดและประสิทธิภาพในการปกป้อง ส่งผลให้ชิ้นส่วนเกียร์เกิดการสึกหรอเร็วกว่าปกติ
2. เกียร์เปลี่ยนยาก หรือกระตุก
เมื่อน้ำมันเกียร์เสื่อมคุณภาพ อาจทำให้การเปลี่ยนเกียร์ไม่ราบรื่น เช่น เกียร์กระตุก หน่วง หรือมีอาการกระชากขณะขับขี่ ซึ่งอาจทำให้รถยนต์เกิดอาการสะดุดและลดประสิทธิภาพในการขับขี่
3. เครื่องยนต์ทำงานหนักขึ้น
น้ำมันเกียร์ที่สกปรกและเสื่อมสภาพจะทำให้เกียร์ทำงานผิดปกติ ส่งผลให้เครื่องยนต์ต้องใช้แรงมากขึ้นเพื่อส่งกำลังไปยังล้อ ทำให้กินน้ำมันเชื้อเพลิงมากขึ้นและสิ้นเปลืองพลังงาน
4. เกิดความร้อนสะสมในระบบเกียร์
น้ำมันเกียร์ช่วยระบายความร้อนภายในระบบเกียร์ หากน้ำมันหมดสภาพ จะทำให้ความร้อนสะสมมากขึ้น ส่งผลให้เกียร์ร้อนจัดและอาจเกิดความเสียหายร้ายแรง
5. อายุการใช้งานของเกียร์ลดลง
หากปล่อยให้น้ำมันเกียร์เสื่อมสภาพโดยไม่เปลี่ยนถ่าย อาจทำให้เกียร์สึกหรอจนเสียหายรุนแรง และอาจต้องซ่อมหรือเปลี่ยนทั้งระบบเกียร์ ซึ่งมีค่าใช้จ่ายสูง
6. เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ
เกียร์ที่ทำงานผิดปกติอาจส่งผลต่อการควบคุมรถ เช่น เกียร์ลื่น หรือเกียร์ไม่เปลี่ยนตามต้องการ ซึ่งอาจทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ โดยเฉพาะเมื่อขับขี่ด้วยความเร็วสูง
💡 สรุปก็คือการเปลี่ยนน้ำมันเกียร์ตามระยะเวลาที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญในการรักษาสภาพรถยนต์ ช่วยให้เกียร์ทำงานราบรื่น ประหยัดน้ำมัน และลดความเสี่ยงต่อความเสียหายร้ายแรง ควรตรวจสอบและเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเกียร์ตามคำแนะนำของผู้ผลิตเพื่อยืดอายุการใช้งานของรถยนต์ของคุณ
แนะนำน้ำมันเกียร์ ซื้อออนไลน์ได้ เปลี่ยนง่าย ราคาดี!
สำหรับการเลือกน้ำมันเกียร์ที่เหมาะสมกับรถยนต์ของคุณ นี่คือสามแบรนด์และรุ่นที่ได้รับความนิยมและมีคุณภาพ:
- Castrol Transmax Dex/Merc ATF
- คุณสมบัติ: เหมาะสำหรับเกียร์ออโต้ที่ต้องการสเปก Dexron III หรือ Mercon ให้การปกป้องและประสิทธิภาพการทำงานที่ดี
- ราคา: ประมาณ 250 – 300 บาท ต่อลิตร
- Mobil ATF 3309
- คุณสมบัติ: ออกแบบมาสำหรับเกียร์อัตโนมัติที่ต้องการสเปก JWS 3309 มีความเสถียรทางความร้อนและป้องกันการสึกหรอ
- ราคา: ประมาณ 375 บาท ต่อลิตร
- Valvoline MaxLife ATF
- คุณสมบัติ: เหมาะสำหรับเกียร์อัตโนมัติที่มีอายุมากกว่า 120,000 กิโลเมตร มีสารเพิ่มความหนืดเพื่อป้องกันการรั่วซึม
- ราคา: ประมาณ 250 – 450 บาท ต่อลิตร
ควรตรวจสอบความเข้ากันได้ของน้ำมันเกียร์กับรถยนต์ของคุณก่อนการใช้งานเสมอ
ที่มา: Cockpit, Totalenergies