อาการปวดท้องเป็นโรคทั่วไปที่พวกเราหลายคนประสบในช่วงใดช่วงหนึ่งของชีวิต แม้ว่าหลายครั้งคุณอาจจะแค่ปวดนิดๆแล้วก็พยายามมองข้ามว่ามันเป็นความรู้สึกไม่สบายท้องชั่วคราว เดี๋ยวก็หาย แต่การใส่ใจกับตำแหน่งปวดท้องสามารถพอบอกได้ว่าคุณอาจจะเป็นโรคอะไรอยู่เพื่อคุณจะได้ไปหาหมอและแก้ก่อนจะสาย ในบทความนี้เราจะมาเจาะลึกถึง ส่วนต่างๆ ของท้อง กระเพาะอาหาร อาการเจ็บท้อง และความเจ็บปวดในแต่ละบริเวณว่า ปวดท้องตรงไหนบอกอะไร หรือคุณมีความเสี่ยงเป็นโรคอะไรอยู่
หัวข้อต่างๆ ของบทความนี้
สาเหตุของอาการปวดท้อง
ก่อนอื่น ลองไปดูก่อนว่า สาเหตุที่ทำให้ปวดท้องได้ มีอะไรได้บ้าง
ปัญหาระบบทางเดินอาหาร
เช่น
- โรคกระเพาะ: การอักเสบของเยื่อบุกระเพาะอาหารอาจทำให้เกิดอาการปวดท้องได้ อาจเกิดจากการติดเชื้อ ยาบางชนิด หรือการดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป
- แผลในกระเพาะอาหาร: แผลเปิดที่เกิดขึ้นที่เยื่อบุชั้นในของกระเพาะอาหารหรือลำไส้เล็กอาจทำให้เกิดอาการปวดแสบร้อนหรือแทะได้
ความผิดปกติของระบบย่อยอาหาร
เช่น
- โรคกรดไหลย้อน (GERD): กรดในกระเพาะอาหารไหลกลับเข้าสู่หลอดอาหารอาจทำให้เกิดอาการแสบร้อนในช่องท้องส่วนบนหรือขึ้นไปถึงหลอดอาหารได้
- อาการลำไส้แปรปรวน (IBS): ความผิดปกติของลำไส้ที่เกิดจากการทำงานซึ่งมีอาการปวดท้อง ท้องอืด และการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของลำไส้
การอักเสบ
เช่น
- โรคลำไส้อักเสบ (IBD): สภาวะเช่นโรค Crohn และอาการลำไส้ใหญ่บวมเป็นแผลอาจทำให้เกิดอาการปวดท้อง ท้องร่วง และอักเสบของระบบทางเดินอาหาร
- โรคถุงผนังลำไส้อักเสบ: การอักเสบหรือการติดเชื้อของถุงเล็กๆ (diverticula) ในระบบทางเดินอาหารอาจทำให้เกิดอาการเจ็บท้องส่วนล่างได้
ปัญหาสุขภาพการเจริญพันธุ์
เช่น
- ถุงน้ำรังไข่: ถุงที่เต็มไปด้วยของเหลวในรังไข่อาจทำให้เกิดอาการปวดกระดูกเชิงกรานหรือรู้สึกไม่สบายท้องส่วนล่างโดยเฉพาะในสตรี
- Endometriosis: การมีเนื้อเยื่อมดลูกอยู่นอกมดลูกอาจทำให้เกิดอาการปวดกระดูกเชิงกรานอย่างรุนแรง
ปัญหาเฉพาะอวัยวะ
เช่น
- ไส้ติ่งอักเสบ: การอักเสบของไส้ติ่งอาจทำให้เกิดอาการปวดเฉียบพลันในช่องท้องด้านขวาล่าง ซึ่งมักต้องได้รับการผ่าตัด
- นิ่วในถุงน้ำดี: การสะสมที่แข็งตัวในถุงน้ำดีอาจทำให้เกิดอาการปวดอย่างรุนแรง โดยเฉพาะในช่องท้องด้านขวาบน
เข้าใจกายวิภาคของท้องและตำแหน่งปวดท้อง
เพื่อให้เข้าใจถึงความสำคัญของอาการปวดท้อง สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจกายวิภาคของกระเพาะอาหารก่อน กระเพาะอาหารแบ่งออกเป็นสี่ส่วนหลัก ได้แก่ ด้านซ้ายบน ด้านขวาบน ด้านซ้ายล่าง และขวาล่าง แต่ละส่วนมีอวัยวะและโครงสร้างที่แตกต่างกัน และความเจ็บปวดในบริเวณเหล่านี้สามารถชี้ไปที่ปัญหาที่ซ่อนอยู่ได้
ปวดท้องตรงไหนบอกอะไร ตรงนั้นมีอวัยวะอะไรบ้าง
1. ปวดท้องด้านซ้ายบน ป่วยเป็นอะไร
พื้นที่ท้องฝั่งซ้ายบนของคุณ เป็นที่ตั้งของกระเพาะอาหาร ม้าม และส่วนหนึ่งของลำไส้ใหญ่ หากคุณมีอาการปวดบริเวณนี้ อาจเชื่อมโยงกับปัญหาต่างๆ เช่น โรคกระเพาะ ความผิดปกติของม้ามโต หรือแม้แต่ปัญหาเกี่ยวกับส่วนบนของลำไส้ใหญ่ การทำความเข้าใจลักษณะของความเจ็บปวด เช่น ความรุนแรง และอาการอื่นๆ ร่วมด้วย สามารถช่วยในการระบุสาเหตุที่แท้จริงได้
ตัวอย่างโรคที่เสี่ยงถ้าปวดท้องด้านซ้ายบน:
- โรคกระเพาะ
- ม้ามโต
- ลำไส้ส่วนบนอักเสบ
2. ปวดท้องด้านขวาบน ป่วยเป็นอะไร
เมื่อเคลื่อนไปยังพื้นที่ฝั่งขวาบน เราจะพบตับ ถุงน้ำดี และส่วนหนึ่งของลำไส้ใหญ่ อาการเจ็บท้องบริเวณนี้อาจส่งสัญญาณถึงปัญหาต่างๆ เช่น นิ่วในถุงน้ำดี ตับอักเสบ หรือปัญหาเกี่ยวกับถุงน้ำดี การรู้ว่าความเจ็บปวดนั้นรุนแรง ทื่อ หรือเป็นสัญญาณที่จะช่วยบ่งชี้ถึงสาเหตุที่อาจเป็นไปได้ได้ชัดเจนขึ้น
ตัวอย่างโรคที่เสี่ยงถ้าปวดท้องด้านขวาบน:
- นิ่วในถุงน้ำดี
- ตับอักเสบ
- ถุงน้ำดีอักเสบ
3. ปวดท้องด้านซ้ายล่าง ป่วยเป็นอะไร
ปวดท้องบริเวณซ้ายล่าง ต้องดูอีกเช่นกันว่มีอวัยวะอะไรอยู่บริเวณนั้นบ้าง ตรงนี้ประกอบด้วยลำไส้ใหญ่ รังไข่ด้านซ้าย (ในเพศหญิง) และลำไส้ใหญ่ซิกมอยด์ บุคคลที่ประสบอาการปวดบริเวณนี้อาจต้องเผชิญกับภาวะต่างๆ เช่น โรคถุงผนังลำไส้อักเสบ ซีสต์รังไข่ หรือปัญหาเกี่ยวกับลำไส้ใหญ่ แต่ยังไงก็ต้องพิจารณาร่วมกับปัจจัยต่างๆที่เกิดขึ้นกับคุณเองด้วย เช่น ระยะเวลาของความเจ็บปวด ปัจจัยที่ทำให้รุนแรงขึ้นหรือบรรเทาลง เพราะเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้การประเมินว่าเป็นโรคอะไรแม่นยำยิ่งขึ้น
ตัวอย่างโรคที่เสี่ยงถ้าปวดท้องด้านซ้ายล่าง:
- ลำไส้อักเสบเฉียบพลัน
- เนื้องอกในลำไส้
- ปีดมดลูกด้านซ้ายอักเสบ
- (ถ้าปวดค่อนมาตรงกลางท้อง) กระเพาะปัสสาวะอักเสบ หรือ นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ
4. ปวดท้องด้านขวาล่าง ป่วยเป็นอะไร
สุดท้าย ส่วนล่างขวาประกอบด้วยไส้ติ่ง ลำไส้ใหญ่ส่วนต้นเหนือท้องน้อย(cecum) และลำไส้เล็กส่วนหนึ่ง อาการปวดบริเวณนี้อาจบ่งบอกถึงไส้ติ่งอักเสบ ความผิดปกติของช่องท้อง หรือการอักเสบในลำไส้เล็ก การตระหนักว่าความเจ็บปวดเกิดขึ้นเฉพาะที่หรือแผ่ไปยังบริเวณอื่นๆ สามารถช่วยแยกแยะสาเหตุที่เป็นไปได้ได้
ตัวอย่างโรคที่เสี่ยงถ้าปวดท้องด้านขวาล่าง:
- ไส้ติ่งอักเสบ
- ลำไส้เล็กอักเสบ
- ท่อไตขวาอักเสบ
- (ถ้าปวดค่อนมาตรงกลางท้อง) มดลูกอักเสบ
ประเภทของอาการเจ็บท้อง
นอกจาก ตำแหน่งปวดท้อง หรือ ปวดท้องตรงไหนบอกอะไร ปวดท้องตรงไหนเสี่ยงเป็นอะไร ความจริงแล้วรูปแบบของอาการปวดท้องยังสามารถเป็นตัวบ่งชี้ได้เช่นกันว่าอวัยวะส่วนใดของเรากำลังมีปัญหา นอกจากตำแหน่งแล้วคุณควรสังเกตอาการเจ็บท้องเช่นกันว่าเป็นแบบใดเพื่อให้คุณวิเคราะห์เบื้องต้น หรือให้แพทย์ช่วยตัดสินว่าน่าจะเป็นโรคอะไร และต้องทานยาหรือปฏิบัติตัวอย่างไร
1. อาการปวดเฉียบพลันและฉับพลัน
- ไส้ติ่งอักเสบ: อาการปวดเริ่มต้นบริเวณสะดือและลามไปยังช่องท้องด้านขวาล่าง มักจะรุนแรงขึ้นอย่างรวดเร็ว
- นิ่วในไต: อาการปวดเฉียบพลันบริเวณหลังส่วนล่างหรือด้านข้างสามารถลามไปยังช่องท้องส่วนล่างได้
2. อาการปวดท้องแบบรู้สึกแสบร้อน
- แผลในกระเพาะอาหาร: ความเจ็บปวดมักถูกอธิบายว่าเป็นความรู้สึกแสบร้อนในช่องท้องส่วนบน บางครั้งบรรเทาได้ด้วยการรับประทานอาหารหรือรับประทานยาลดกรด
- กรดไหลย้อน (GERD): รู้สึกแสบร้อนที่หน้าอกหรือช่องท้องส่วนบน โดยเฉพาะหลังรับประทานอาหาร
3. ปวดเหมือนตะคริว
- ปวดประจำเดือน: ผู้หญิงอาจมีอาการปวดคล้ายตะคริวที่ช่องท้องส่วนล่างระหว่างมีประจำเดือน
- อาการลำไส้แปรปรวน (IBS): ปวดท้องเป็นตะคริวมักมาพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของลำไส้
4. ปวดตื้อ ปวดเสียด
- โรคกระเพาะ: อาการปวดทึบในช่องท้องส่วนบน มักแย่ลงเมื่อรับประทานอาหาร
- อาการท้องผูก: รู้สึกไม่สบายอย่างต่อเนื่องเนื่องจากอุจจาระลำบาก
5. อาการปวดบิด
- โรคนิ่ว: ปวดเป็นตะคริวเป็นระยะๆ ในช่องท้องด้านขวาบน มักเกิดจากอาหารที่มีไขมัน
- อาการจุกเสียดไต: อาการปวดตะคริวอย่างรุนแรงที่เกิดจากการผ่านนิ่วในไต
การทำความเข้าใจประเภทของอาการเจ็บท้องและอาการที่เกี่ยวข้องสามารถช่วยในการระบุสาเหตุที่แท้จริงได้ แต่อย่างไรก็ตาม ไปหาหมอและให้แพทย์วินิจฉัย ยังไงก็เป็นการรักษาที่น่าเชื่อถือกว่าเพราะเป็นบุคลากรที่ศึกษาเฉพาะทางมาและเชี่ยวชาญ
ปวดท้อง ทำยังไงดี
อาการปวดท้องอาจทำให้คุณรำคาญและไม่สบายตัว แต่ก็มีหลายวิธีที่คุณสามารถทำได้เพื่อบรรเทาอาการไม่สบายหรือพิจารณาว่าจำเป็นต้องไปหาหมอหรือไม่ ต่อไปนี้เป็นรายการสิ่งที่คุณทำได้เพื่อจัดการกับอาการปวดท้องหรืออาการเจ็บท้องที่เกิดขึ้น
1. ประเมินความรุนแรง
ประเมินความรุนแรงและลักษณะของความเจ็บปวด อาการปวดที่รุนแรง ต่อเนื่อง หรือแย่ลงอาจต้องได้รับการดูแลจากแพทย์ทันที ลองคิดดูว่าถ้าปวดแบบทนไม่ได้คือ 10 และไม่ปวดเลยคือ 0 คุณปวดอยู่ที่ระดับใด
2. ระบุตัวการ สาเหตุ หรือ ตัวกระตุ้นที่เป็นไปได้
ลองคิดถึงอาหารที่พึ่งกินมาไม่นาน กิจกรรม หรือความเครียดที่เพิ่งเกิดขึ้น ซึ่งอาจกระตุ้นให้เกิดความเจ็บปวด การระบุสาเหตุที่เป็นไปได้จะช่วยให้คุณจดจำ ทดสอบ และอาจสามารถช่วยป้องกันการปวดท้องในอนาคตได้ด้วยการลดตัวต้นเหตุ
3. ปรับเปลี่ยนอาหาร
เลือกทานอาหารที่ย่อยง่าย เช่น ข้าว ข้าวต้ม หรือกล้วย หลีกเลี่ยงอาหารรสเผ็ด มันเยิ้ม หรือมีกรดมากเกินไปที่อาจทำให้ระคายเคืองกระเพาะอาหารมากขึ้น อย่างส้มตำ น้ำพริก ของดอง ชาบูหม่าล่า ให้งดก่อนเลย
4. ดื่มน้ำให้เพียงพอ
ดื่มน้ำปริมาณมากเพื่อให้ร่างกายไม่ขาดน้ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากอาการปวดเกิดขึ้นพร้อมกับอาเจียนหรือท้องเสีย หากท้องเสียควรทานน้ำเกลือแร่เพื่อเติมน้ำให้ร่างกาย ดื่มน้ำที่อุณหภูมิห้องหรืออุ่นเพียงเล็กน้อย ไม่ต้องดื่มน้ำร้อนหรือเย็น หรือลองจิบชาสมุนไพร เช่น เปปเปอร์มินต์หรือขิง ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องคุณสมบัติผ่อนคลาย ร่วมด้วยก็ได้
5. ซื้อยาจากร้านขายยา
ยาลดกรด หรือ ยาช่วยย่อย สามารถช่วยทำให้กรดในกระเพาะเป็นกลางและบรรเทาอาการอาหารไม่ย่อยได้
ยาที่จำหน่ายหน้าเคาน์เตอร์ เช่น ไอบูโพรเฟนหรืออะเซตามิโนเฟน (หรือที่รู้จักกันในชื่อ พาราเซตามอล) อาจช่วยรักษาอาการปวดเล็กน้อยได้ แต่ควรหลีกเลี่ยงหากคุณสงสัยว่าอาการปวดของคุณเกี่ยวข้องกับแผลในกระเพาะอาหาร
6. ใช้ความร้อนหรือเย็น
วางแผ่นความร้อนบนหน้าท้องของคุณสำหรับอาการปวดคล้ายตะคริว หรือ ปวดประจำเดือน หรือใช้การประคบเย็นเพื่อลดการอักเสบหรือบวมหากบริเวณท้องคุณปวดช้ำ
7. การพักผ่อน ผ่อนคลาย ทำสมาธิ
หยุดพักและให้ร่างกายของคุณได้พักผ่อน อย่าขยับตัวหรือใช้ความคิดมาก เพราะความเครียดอาจทำให้ปัญหากระเพาะอาหารรุนแรงขึ้นได้ ดังนั้นให้ลองฝึกเทคนิคการผ่อนคลาย เช่น การหายใจเข้าลึกๆ หรือการทำสมาธิ
8. หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ บุหรี่ กัญชา
ทั้งแอลกอฮอล์และบุหรี่ สารเสพติด รวมถึงบุหรี่ไฟฟ้า อาจทำให้เยื่อบุกระเพาะอาหารหรือระบบทางเดินหายใจระคายเคืองได้ การหลีกเลี่ยงสิ่งเหล่านี้อาจช่วยบรรเทาอาการปวดได้
9. ลองกินโพรไบโอติก
โพรไบโอติกสามารถส่งเสริมสมดุลของแบคทีเรียในลำไส้และอาจเป็นประโยชน์ต่อปัญหาทางเดินอาหารบางอย่าง
10. ติดตามอาการ ทำการจด
หากอาการปวดท้องของคุณเริ่มเกิดขึ้นหลายวัน หรือมีอาการขึ้นๆลงๆ เป็นบ้างไม่เป็นบ้าง ลองติดตามอาการของคุณ รวมถึงประเภทของความเจ็บปวด ระยะเวลา และปัจจัยที่เกี่ยวข้อง ข้อมูลนี้อาจมีประโยชน์เมื่อปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร
11. ไปพบแพทย์หากจำเป็น
หากอาการปวดรุนแรง ต่อเนื่อง (ปวดท้องมากนานกว่า 6 ชั่วโมงแล้วไม่ดีขึ้น) หรือมีอาการที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม (มีไข้ อาเจียนเป็นเลือด อุจจาระสีดำ) ปวดจนขยับตัว/กินอาหาร/หรือนอนไม่ได้ ปวดท้องมากร่วมกับอาเจียนเกิน 3 ครั้ง ปวดร่วมกับมีไข้หรือท้องเสียหนัก ให้ไปพบแพทย์ทันที
12. ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพ
หากอาการปวดยังคงอยู่หรือเกิดขึ้นอีกบ่อยครั้ง ให้ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพเพื่อรับการตรวจและวินิจฉัยอย่างละเอียด
ตำแหน่งปวดท้องกับโรค เป็นไปได้หลายอย่าง อย่ามองข้ามความเสี่ยง
การถอดรหัสอาการปวดท้องตามตำแหน่งเป็นเครื่องมืออันทรงคุณค่าในการระบุปัญหาสุขภาพที่อาจเกิดขึ้น อย่างไรก็ตาม จำเป็นต้องปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพเพื่อรับการวินิจฉัยที่ถูกต้องและการรักษาที่เหมาะสม การใส่ใจกับความแตกต่างของอาการเจ็บท้องจะทำให้คุณสามารถดำเนินการเชิงรุกเพื่อทำความเข้าใจและแก้ไขสาเหตุที่แท้จริงของอาการไม่สบายได้ โปรดจำไว้ว่าร่างกายของคุณมักจะสื่อสารผ่านความเจ็บปวด ขึ้นอยู่กับเราที่จะฟังและตีความสัญญาณที่ร่างกายส่งไป
Credit: