เมื่อสายฝนโปรยปราย ความชุ่มฉ่ำและความเขียวขจีกลับคืนสู่ผืนดินผืนป่า พร้อมอุณหภูมิที่เย็นสบาย แน่นอนว่าเป็นอากาศที่ถูกใจใครหลายคน แต่รู้ไหมว่าพอเข้าสู่ฤดูฝนที่อากาศกำลังสดชื่นจะมีสิ่งที่ตามด้วยนั่นก็คือพวกแมลงนานาชนิด ซึ่งบางครั้งก็แฝงมาด้วยอันตรายที่เราคาดไม่ถึง! ดังนั้น เมื่อถึงฤดูฝนนอกจากจะต้องเตรียมพกร่มหรือชุดกันฝนออกจากบ้านแล้ว แต่ยังต้องเตรียมรับมือและป้องกันการมาถึงของสัตว์มีพิษหลายชนิด เพราะช่วงฤดูฝนจะมีปริมาณน้ำฝนและน้ำท่วมที่เพิ่มขึ้นจึงส่งผลให้สิ่งมีชีวิตเหล่านี้ต้องออกจากถิ่นที่อยู่ตามธรรมชาติ แล้วมาปะปนอยู่กับกลุ่มคน ซึ่งมีทั้งแมลงที่มีพิษและไม่มีพิษ วันนี้ Shopee อยากจะแบ่งปันความรู้จักเกี่ยวกับ แมลงอันตรายหน้าฝน ส่วนใหญ่จะพบในช่วงหน้าฝน มีแมลงมีพิษอะไรบ้าง พร้อมวิธีป้องกันและรับมืออย่างไรเมื่อต้องเผชิญกับแมลงอันตรายหน้าฝน มาดูกันเลย
หัวข้อต่างๆ ของบทความนี้
ทำไมแมลงมีพิษหรือสัตว์มีพิษจะมีจำนวนมากในช่วงหน้าฝน
เคยสงสัยกันไหม? ทำไมสัตว์มีพิษถึงมีช่วงหน้าฝน? ฤดูกาลอื่นล่ะมีสัตว์มีพิษด้วยไหม? จริง ๆ แล้วสัตว์มีพิษนั้นมีอยู่ทั่วไปทุกฤดูกาล แต่บางครั้งเราอาจจะไม่ได้เห็นมากนัก แต่ถ้าเป็นช่วงหน้าฝนจะเป็นช่วงที่สัตว์มีพิษต่าง ๆ ออกมาจากที่อยู่เดิม โดยมีเหตุผล ดังนี้
- ความชื้นสูง : ด้วยสภาพอากาศที่ชื้นแฉะถือเป็นสวรรค์ของเหล่าบรรดาแมลงชนิดต่าง ๆ ทำให้แมลงเจริญเติบโตและขยายพันธุ์ได้ดี
- น้ำท่วมขัง : ฤดูฝนนั้นจะมีฝนตกแล้วน้ำฝนก็จะท่วมขังตามพื้นที่ต่าง ๆ ซึ่งกลายเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ของสัตว์บางชนิด เช่น ยุงลาย ซึ่งเป็นพาหะนำโรคไข้เลือดออกที่น่ากลัว
- การหลบหนีจากน้ำ : เมื่อฝนตกหนักจนทำให้พื้นที่เกิดน้ำท่วมรังหรือท่วมที่อยู่อาศัยจนทำให้สัตว์ต่าง ๆ ไม่สามารถอยู่ได้ จนต้องพยายามหาที่อยู่ใหม่ ซึ่งอาจจะเข้ามาอยู่ในบ้านโดยที่ไม่ได้ตั้งใจ
- อาหารอุดมสมบูรณ์ : แน่นอนหน้าฝนจะมีความชื้นค่อนข้างสูง ซึ่งความชื้นนี้จะทำให้พืชพรรณต่าง ๆ เจริญงอกงาม เป็นแหล่งอาหารที่อุดมสมบูรณ์สำหรับแมลงบางชนิด ทำให้แมลงออกมาหากินนั่นเอง
ประเภทแมลงมีพิษที่พบบ่อยในฤดูฝนของประเทศไทย
แมลงที่มีพิษกระจายอยู่ทั่วไปทุกภูมิภาคทั่วโลก ซึ่งในประเทศไทยก็มีแมลงมีพิษอาศัยอยู่จำนวนมากที่กระจายอยู่ตามพื้นที่ต่าง ๆ โดยมากจะเป็นแมลงที่สามารถทนต่ออากาศร้อนชื้นได้ดี ซึ่งสามารถจะแบ่งเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ ดังนี้
- แมลงที่มีปีก (Pterygota): เป็นแมลงที่มีปีก 1-2 คู่ติดอยู่กับลำตัวของแมลง โดยปีกมีลักษณะเหมือนหรือแตกต่างกัน เช่น แมลงปอ แมลงวัน แมลงสาบ ซึ่งแมลงบางชนิดเป็นแมลงมีพิษบินได้ที่ควรระวัง
- แมลงที่ไม่มีปีก (Apterygota): เป็นแมลงที่มีรูปร่างเด่นชัดตามลักษณะเฉพาะ เช่น แมลงที่มีง่ามบนหัว แมลงประเภทที่มีหางดีด หรือแมลงที่มีข้อปล้องตามลำตัว เป็นต้น
ทั้งนี้ แมลงอันตรายหน้าฝน จะมีทั้งแมลงที่มีพิษและแมลงที่ไม่มีพิษบางประเภทจะไม่ทำร้ายคนก่อน เว้นแต่ว่ามีการรุกรานที่อยู่ก็จะสร้างพิษขึ้นมาเพื่อเป็นการปกป้องตัวเอง หากพบเห็นรังของแมลงที่ไม่คุ้น หรือไม่เคยเห็นมาก่อน ห้ามเคลื่อนย้ายโดยทันที ควรจะต้องสอบถามกับผู้เชี่ยวชาญก่อน เพื่อความปลอดภัย
ข้อเท็จจริงและสถิติที่น่าสนใจ
ข้อเท็จจริง | รายละเอียด |
จำนวนเหตุการณ์งูกัดต่อปีในประเทศไทย | ประมาณ 7,000 เคส ต่อปี |
ร้อยละของสิ่งเหล่านี้เกี่ยวข้องกับงูพิษ | ประมาณ 50% หรือ 3,500 เคส ต่อปี |
เวลาที่ตะขาบออกหากินมากที่สุด | ยามค่ำคืนในช่วงฤดูฝน |
12 แมลงอันตรายหน้าฝน และสัตว์มีพิษที่พบบ่อยในฤดูฝน
ภัยใกล้ตัว! ที่ทุกคนต้องระวังเมื่อเข้าสู่หน้าฝน นั่นก็คือสัตว์มีพิษหรือแมลงอันตรายต่าง ๆ ที่มาพร้อมกับสายฝน ที่อาจจะเข้ามาในบ้านของคุณได้ ถ้าเป็นสัตว์หรือแมลงที่พิษอาจจะก่อให้เกิดอันตรายกับผู้คนที่อาศัยอยู่ในบ้านได้ หรือถ้าร้ายแรงสุดอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต ลองมาดูกันสิว่าจะมีแมลงมีพิษ ในไทยมากที่สุดในช่วงฤดูฝน เราลิสต์มาให้แล้วทั้งหมด 12 แมลงอันตรายหน้าฝน ดังนี้
1. งู
สัตว์มีพิษในหน้าฝนที่น่ากลัวมากที่สุด คืองู ประเทศไทยเป็นที่อยู่ของงูพิษหลายชนิด รวมถึงงูจงอาง งูเห่า และงูเขียวหางไหม้ งูเหล่านี้จะออกหากินมากขึ้นในช่วงฤดูฝน เนื่องจากพวกมันค้นหาพื้นที่แห้งและเหยื่อ สามารถลดการเผชิญหน้าได้โดยหลีกเลี่ยงการเดินลุยพื้นที่รกพงมีหญ้าสูง กองใบไม้ และสวมรองเท้าบู๊ตและกางเกงขายาวหนาเมื่อเดินผ่านแหล่งที่อยู่อาศัยของพวกมัน
- เจอได้ที่ไหน: งูมักพบในป่าหรือพื้นที่ต้นไม้รก รวมถึงพื้นที่หญ้ารกใกล้แหล่งน้ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งงูจงอาง แต่ในช่วงฤดูฝน พวกมันอาจเข้าไปในสวนและทุ่งนาเพื่อค้นหาพื้นที่แห้งและอาหาร
- ความอันตราย: ขึ้นอยู่กับชนิดของงูที่ถูกกัด งูพิษจะสามารถปล่อยพิษเข้าสู่ร่างกายเหยื่อผ่านทางเขี้ยว ทำให้เกิดอาการต่าง ๆ ตั้งแต่อาการปวดบวมเฉพาะที่ ไปจนถึงอาการรุนแรงที่ส่งผลต่อระบบประสาท ระบบเลือด และอาจจะถึงแก่ชีวิตได้เลย
- การปฐมพยาบาลเบื้องต้น: ถ้าถูกกัดให้ตั้งสติและเคลื่อนไหวน้อยที่สุด เพื่อลดการไหลเวียนของเลือดและพิษ จากนั้นให้พันผ้ารัดเหนือบริเวณที่ถูกกัดให้แน่นพอประมาณ เพื่อที่ชะลอการไหลเวียนของพิษ อย่าลืมจำลักษณะหรือถ่ายรูปงูที่กัดเพื่อแจ้งเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ในภายหลัง
- วิธีการรักษา: ยาแก้พิษเป็นวิธีการรักษาที่มีประสิทธิภาพเพียงอย่างเดียวสำหรับการถูกงูจงอางกัด จำเป็นต้องไปพบแพทย์ทันที เนื่องจากพิษอาจถึงแก่ชีวิตได้
- การป้องกัน: หลีกเลี่ยงการเดินผ่านพืชพรรณหนาทึบโดยไม่มีอุปกรณ์เดินเท้าที่เหมาะสม ใช้ไฟฉายในเวลากลางคืนและระมัดระวังบริเวณที่อาจงูซ่อนตัว เช่น กองใบไม้หรือก้อนหิน สวมรองเท้าบูทและกางเกงยีนส์ขายาวเมื่อเคลื่อนที่ผ่านบริเวณที่มีงูเหล่านี้อยู่ทั่วไป ยึดเส้นทางที่ชัดเจนซึ่งมองเห็นพื้นได้ และหลีกเลี่ยงการเดินผ่านพุ่มไม้เตี้ย
2. แมงป่อง

Cr. Unsplash
แมงป่องถือเป็นสัตว์มีพิษที่พบได้หน้าฝน เพราะทำให้สมาชิกในบ้าน รวมถึงสัตว์เลี้ยงเสียชีวิตในช่วงฤดูฝน เมื่อคนส่วนใหญ่ไปจับแมงป่องหรือถูกตัวมันจะไม่ค่อยรู้ตัวว่าโดนพิษของแมงป่องเข้าให้แล้ว แถมไม่รู้ด้วยว่าไปโดนตอนไหนที่ไหน เพราะป่องมักซ่อนตัวอยู่ในพื้นที่มืด และอับชื้น พร้อมกับปล่อยพิษจากปล้อง หรือบริเวณหางที่มีการฝังเหล็กในนั่นเอง แนะนำให้เขย่ารองเท้า เสื้อผ้า ผ้าห่ม เช็กผ้าปูที่นอนก่อนนอนทุกครั้ง ปิดผนึกรอยแตกและช่องต่าง ๆ ในบ้านช่วยลดโอกาสที่แมงป่องเข้ามาภายในบ้านได้ด้วย
- เจอหาได้ที่ไหน: แมงป่องอาจหาที่หลบภัยในบ้าน เช่น การหนีเข้าไปอยู่ภายในรองเท้า หรืออาศัยอยู่ภายใน เสื้อผ้าหรือเครื่องนอนเพื่อหนีจากสภาพอากาศที่เปียกชื้นภายนอก
- ความอันตราย: พิษของแมงป่องทำให้เกิดอาการปวดบวมบริเวณที่ถูกต่อย แต่บางชนิดก็มีพิษร้ายแรงถึงชีวิตได้ โดยเฉพาะในเด็กเล็ก ผู้สูงอายุ และผู้ที่มีโรคประจำตัว
- การปฐมพยาบาลเบื้องต้น: ทำความสะอาดแผลด้วยน้ำสะอาด ใช้น้ำแข็งหรือแผ่นประคบเย็นบริเวณที่ถูกต่อยเพื่อบรรเทาอาการปวดและบวม ถ้าปวดมากสามารถทานพาราเซตามอลบรรเทาอาการปวดได้ หลีกเลี่ยงการเกา และงดบริโภคอาหาร หรือเครื่องดื่มหากกลืนลำบาก แต่ถ้ามีไข้สูงหรืออาการแพ้พิษหรือมีอาการรุนแรง เช่น หัวใจเต้นเร็ว หายใจเร็ว ความดันโลหิตสูง ปวดกล้ามเนื้อและกระดูก ต้องรีบไปหาแพทย์ทันที
- วิธีการรักษา: การรักษาเป็นไปตามอาการ โดยเน้นที่การจัดการความเจ็บปวด ยาแก้พิษมีให้ในกรณีที่รุนแรงแต่ไม่ค่อยจำเป็น
- การป้องกัน: เขย่ารองเท้า เสื้อผ้า และเครื่องนอนก่อนใช้งาน ปิดรอยแตกร้าวและช่องเปิดรอบๆ บ้าน ใช้ยาฆ่าแมลงในบริเวณที่แมงป่องเป็นปัญหาบ่อยครั้ง
3. แมงมุม

Cr. Unsplash
แมงมุมบางชนิด เช่น แมงมุมแม่หม้ายน้ำตาล แมงมุมแม่หม้ายหลังแดง แมงมุมแม่หม้ายดำ และ แมงมุมพิษน้ำตาล จะพบเห็นได้ในประเทศไทย แม้จะพบบ่อยที่สุดในช่วงฤดูหนาว แต่ในช่วงฤดูฝนก็พบได้เช่นกัน แมงมุมเหล่านี้มีพิษสูงและสามารถพบได้ในที่มืด แห้ง รก และไม่ถูกรบกวนในบ้านหรือสวนของคุณ เวลาโดนแมงมุมเหล่านี้กัดผิวบริเวณนั้นจะแดงเป็นจ้ำและรู้สึกชา แต่แมงมุมเหล่านี้โดยส่วนใหญ่แล้วมีพิษปริมาณน้อยไม่ทำให้ถึงตาย ยกเว้นแต่ว่าแผลจะติดเชื้อหรือคุณจะแพ้พิษจนหายใจไม่ออกจึงจะเสียชีวิตได้ด้วยผลข้างเคียง การทำความสะอาดและการตรวจสอบพื้นที่จัดเก็บเป็นประจำสามารถช่วยลดความเสี่ยงที่แมงมุมกัดได้ รวมไปถึงทำความสะอาดบ้านอย่างถี่ถ้วน ใช้ไม้กวาดหยากไย่เพื่อทำลายรังและที่อยู่ของแมงมุมที่ใกล้ตัว
- เจอหาได้ที่ไหน: แมงมุมแม่ม่ายดำมักพบในพื้นที่ที่ไม่ถูกรบกวนและรก เช่น กองไม้ ห้องใต้ดิน พื้นที่ใต้ถุน และห้องใต้หลังคา แมงมุมสีน้ำตาลสามารถพบได้ในพื้นที่แห้งและเงียบสงบ เช่น ตู้เสื้อผ้า มุม กองไม้ และเพิงไม้ พวกเขามีความกระตือรือร้นมากขึ้นในเวลากลางคืน
- การปฐมพยาบาล: ทำความสะอาดบริเวณที่ถูกกัดด้วยสบู่และน้ำ ประคบเย็นเพื่อลดอาการบวมและปวด
- วิธีการรักษา: การรักษาทางการแพทย์อาจรวมถึงยาแก้ปวดและการผ่อนคลายกล้ามเนื้อ การรักษาเกี่ยวข้องกับการทำความสะอาดแผลและการจัดการอาการต่างๆ เช่น ความเจ็บปวดและเนื้อร้ายที่ผิวหนัง ในกรณีที่รุนแรงอาจจำเป็นต้องใช้ยาต้านพิษ
- การป้องกัน: หลีกเลี่ยงการเก็บเสื้อผ้าหรือรองเท้าบนพื้น และใช้ความระมัดระวังในการเคลื่อนย้ายสิ่งของที่จัดเก็บ ทำความสะอาดและดูดฝุ่นบริเวณจุดซ่อนตัวอย่างสม่ำเสมอเพื่อป้องกันไม่ให้แมงมุมเกาะตัว รักษาพื้นที่รอบๆ บ้านให้สะอาดและไม่เกะกะ ใช้ตู้เก็บของที่ปิดมิดชิดแทนการกองของสุมๆไว้ หมั่นจัดพื้นที่ไม่ให้เก็บฝุ่นโดยเฉพาะตามมุมห้อง ระมัดระวังในการจัดการกล่องและสิ่งของอื่น ๆ ที่เก็บไว้เป็นเวลานาน
4. คางคก

Cr. Unsplash
เราที่เป็นมนุษย์ก็อาจไม่ได้ไปเจอและแตะต้องคางคกให้ได้รับพิษกันมาง่ายๆ แต่หารู้ไม่ว่าหมาหรือแมวสัตว์เลี้ยงแสนรักของคุณอาจจะหาแหล่งที่มาของเสียงและไปกัดเจ้าคางคกและรับพิษมาก็ได้ ดังนั้นให้ระวังแหล่งน้ำกับสัตว์เลี้ยงที่ปล่อยวิ่งนอกบ้านไว้ให้ดี
- เจอหาได้ที่ไหน: คางคกสามารถพบได้ในสวน ใกล้แหล่งน้ำ และในพื้นที่ชื้น ไม่ว่าจะเป็นบ่อน้ำ ทะเลสาบ หรือบ่อน้ำขังตามพื้นและพงหญ้า โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝน
- การปฐมพยาบาล: หากสัตว์เลี้ยงกัดคางคก ให้นำคางคกออกและล้างปากล้างหน้าสัตว์เลี้ยงด้วยน้ำสะอาดทันที และป้องกันไม่ให้กลืนพิษหรือกลืนน้อยลงโดยการให้ก้มหัวลง
- วิธีการรักษา: ไปพบสัตวแพทย์หากมีอาการเป็นพิษในสัตว์เลี้ยง ในมนุษย์ หากพิษของคางคกเข้าตาหรือผิวหนัง ให้ล้างออกให้สะอาดและไปพบแพทย์หากยังมีอาการระคายเคืองอยู่
- การป้องกัน: สวมสายจูงสัตว์เลี้ยง เช่น สายจูงสุนัข สายจูงแมว และดูแลสัตว์เลี้ยงเมื่ออยู่ข้างนอก โดยเฉพาะอย่างยิ่งใกล้กับแหล่งที่อยู่อาศัยของคางคกทั่วไป ล้างมือหลังจากสัมผัสคางคกทันที
5. กิ้งกือ

Cr. Unsplash
หลายคนอาจรู้ว่ากิ้งกือไม่มีพิษ จนสามารถให้เด็กๆไปเอากิ่งไม้จิ้มหรือแม้กระทั่งจับเล่นให้กิ้งกือม้วนตัวก็เป็นได้ หารู้ไม่ว่าแม้กิ้งกือจะไม่กัด แต่ก็มีพิษอยู่รอบตัว ซึ่งถ้าสัมผัสเข้ากับผิวหนังมนุษย์โดยตรงแล้ว ก็อาจจะทำให้เป็นผื่นแพ้ บวมแดงคันได้ หรืออย่างหนักก็ทำให้ฟิวไหม้ได้เลยทีเดียว ทั้งนี้เป็นเพราะกิ้งกือมีพิษจางๆเป็นของเหลงใสไม่มีสีอยู่ตามด้านข้างลำตัวยาวๆของมัน ซึ่งมีไว้เพื่อเป็นพิษฤทธิ์อ่อนที่ฆ่า มด แมลงที่มากับฝนได้เท่านั้น
- เจอหาได้ที่ไหน: กิ้งกือมักพบในบริเวณชื้นใต้ใบไม้ หิน และท่อนไม้ พวกมันจะเคลื่อนไหวมากขึ้นในช่วงกลางคืนและช่วงฝนตก
- การปฐมพยาบาล: หากสารคัดหลั่งของกิ้งกือสัมผัสกับผิวหนัง ให้ล้างบริเวณนั้นด้วยสบู่และน้ำปริมาณมากเพื่อขจัดของเหลวที่มีพิษและลดการสัมผัสพิษที่ผิวหนัง
- วิธีการรักษา: ใช้ยาแก้แพ้บรรเทาอาการคัน หรือ ยาแก้ผื่นคัน ทาครีมไฮโดรคอร์ติโซนเพื่อบรรเทาอาการระคายเคืองผิวหนัง ปรึกษาแพทย์หากยังมีอาการอยู่
- การป้องกัน: สวมถุงมือเมื่อทำงานในสวนและกำจัดกองใบไม้และเศษซากเพื่อลดแหล่งที่อยู่อาศัยของกิ้งกือ รวมถึงจำกัดบริเวณสัตว์เลี้ยงไม่ให้ไปสัมผัส กัด หรือคาบกิ้งกือ และรับพิษโดยไม่ได้ตั้งใจ

6. แมลงก้นกระดก หรือ ด้วงก้นกระดก
เจ้าแหลงตัวเล็กที่หน้าตาคล้ายมดตัวใหญ่ ตูดแหลม และมีสีแซมส้มๆใกล้ๆบริเวณก้น ถ้าเจอล่ะก็อย่าคิดเป็นเป็นมดที่เอามือปัดๆหรือเอานิ้วบี้ได้ เพราะแมลงก้นกระดกนี้มีพิษร้ายที่จะทำร้ายคุณได้อย่างสาหัสทีเดียว ผลของผิวหนังมนุษย์สัมผัสพิษของตัวแมลงก้นกระดกแม้จะโดนนิดเดียวตอนเจ้าแมลงบินผ่าน ก็สามารถทำให้เกิดผื่นแดงบวมคัน และลุกลายจนเกิดผื่นเป็นปื้น แผลพุพอง ไหม้แดง ปวดแสบปวดร้อน มีไข้ หรือที่แย่ที่สุดคือพิษเข้าที่ตา ก็อาจทำให้ตาบอดได้เลยทีเดียว
- เจอหาได้ที่ไหน: มักพบอยู่ใต้ก้อนหิน ท่อนไม้ มูลสัตว์ กองไม้ และใบไม้ โดยเฉพาะในสภาพแวดล้อมที่ชื้น บางทีอาจบินมาเล่นแสงตามหน้าบ้านเรือนของคน หรืออยู่ใกล้ห้องน้ำเพราะมีสภาพอากาศชื้น เมื่อเจออย่าจับ อย่าบี้ ควรหลีกเลี่ยงการปัดหรือบีบตัวแมลงที่มาเกาะตามตัว ควรใช้วิธีเป่าแมลงให้หลุดออกไปเองโดยไม่ต้องจับโดนตัวแมลง
- ความอันตราย: แม้ว่าไม่ได้กัดคนโดยตรง แต่ที่ลำตัวจะมีสารพิษเพเดอริน (Pederin) ถ้าสัมผัสโดนจะทำให้เกิดผื่นแดง แสบร้อน และเป็นตุ่มพองอย่างรุนแรง โดยอาการจะปรากฎหลังจากได้สัมผัสประมาณ 8-12 ชั่วโมง
- การปฐมพยาบาล: แมลงก้นกระดกเมื่อสัมผัส มันจะปล่อยของเหลวมีพิษสีเหลืองอ่อนออกมาจากบริเวณขา ให้รีบล้างผิวหนังบริเวณที่ได้รับการสัมผัสหรือรู้สึกคันด้วยสบู่และน้ำเปล่าทันทีหลังการสัมผัส เพื่อลดการระคายเคืองผิวหนัง ไม่ควรเกาหรือสัมผัสบริเวณที่ติดเชื้อหรือคันเพื่อกันแผลลุกลาม ถ้าอาการผื่นเป็นมากขึ้นหรือมีตุ่มน้ำพองเกิดขึ้นควรรีบไปพบแพทย์
- วิธีการรักษา: รักษาปฏิกิริยาทางผิวหนังด้วยยาสเตียรอยด์เฉพาะที่เพื่อลดการอักเสบ หากเข้าตา ให้ล้างตาด้วยน้ำปริมาณมาก และไปพบแพทย์โดยด่วน
- การป้องกัน: รับรู้รูปร่างหน้าตาของแมลงก้นกระดกและหลีกเลี่ยงการจับต้องเจ้าด้วงก้นกระดก สวมถุงมือและแขนยาวเมื่อทำงานกลางแจ้ง หากอยู่บริเวณบ้านอาจลดแสงที่ทำให้แมลงบินเข้ามาเล่นไฟบริเวณบ้านเรือน เพราะชอบออกมาเล่นแสงไฟตามบ้าน ก่อนนอนควรปัดที่นอน หมอน มุ้ง ผ้าห่ม ก่อน เพื่อป้องกัน รวมทั้ง ควรปิดประตูตู้เสื้อผ้า ประตูและหน้าต่างห้องนอนให้มิดชิดทั้งกลางวันและกลางคืน
7. มดแดง
แม้จะเป็นแค่มด แต่เมื่อถึงหน้าฝน มดก็อาจจะอพยพจากด้านนอกมาเดินแถวในบ้านเรา สร้างความรำคาญใจแล้วก็ส่วนหนึ่ง แต่อย่าพึ่งคิดว่าเป็นมดจะไม่มีพิษ เพราะหากเป็นมดแดง มดแดงจะสามารถกัดหรือต่อยให้คนได้รับความเจ็บปวดได้อย่างมาก หากคนที่โดนกัดไม่แพ้ก็อาจทนซักพักก็หาย แต่สำหรับบางคนก็อาจทำให้เกิดอาการแพ้อย่างรุนแรงในบุคคลที่มีอาการแพ้มด ปวด บวม แดง ร้อน หายช้า หรือแม้กระทั่ง เวียนหัว หน้ามืด หรือ ทำการส่งผลต่อความดันและช็อกได้เลยทีเดียว มักพบเป็นจำนวนมากหลังฝนตก ซึ่งอาจท่วมรังในระดับพื้นดิน ทำให้พวกมันก้าวร้าวมากขึ้นและบุกรุกบ้านคน
- เจอหาได้ที่ไหน: มดเหล่านี้สร้างกองดินและพบได้ทั่วไปในสนามหญ้า ทุ่งนา และสวนสาธารณะ
- การปฐมพยาบาล: หากถูกกัด ให้ประคบเย็นเพื่อลดอาการบวมและปวด
- วิธีการรักษา: ใช้ครีมไฮโดรคอร์ติโซนหรือยาแก้แพ้เพื่อบรรเทาอาการคันและบวม หากเกิดอาการแพ้ เช่น หายใจลำบาก ให้ไปพบแพทย์ฉุกเฉินทันที
- การป้องกัน: สวมรองเท้าและถุงเท้าเมื่อออกไปข้างนอก และระมัดระวังบริเวณกองมด พิจารณาการรักษาด้วยการควบคุมมดในบริเวณที่ได้รับผลกระทบ
8. ยุงลาย
ยุงลาย จัดอยู่ในหมวดหมู่ของแมลงอันตรายหน้าฝน เพราะทำให้มีความเสี่ยงในการเกิดโรคต่าง ๆ ที่ยุงลายนั้นเป็นพาหะนำโรค เช่น ไข้เลือดออก ไข้มาลาเรีย ไข้สมองอักเสบ โรคเท้าช้าง เป็นต้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงและหลังฤดูฝน
- เจอหาได้ที่ไหน: พบใกล้แหล่งน้ำนิ่ง ในสวน และใกล้บ้าน โดยเฉพาะช่วงเย็นและกลางคืน
- ความอันตราย: ยุงลายถือเป็นพาหะนำโรคที่สำคัญ และเป็นอันตรายต่อสุขภาพ เช่น ไข้เลือดออก ไข้มาลาเรีย ไข้สมองอักเสบ โรคเท้าช้าง เป็นต้น
- การปฐมพยาบาลเบื้องต้น: ใช้น้ำแข็งหรือประคบเย็นบริเวณที่ถูกกัด เพื่อลดอาการบวมและคัน หรือ ทายาแก้แมลงสัตว์กัดต่อย ใช้น้ำสะอาดและสบู่ล้างบริเวณที่ถูกยุงกัดเบา ๆ เพื่อลดความเสี่ยงของการติดเชื้อ และหลีกเลี่ยงการเกาเพราะอาจทำให้เกิดการระคายเคืองมากขึ้นและเพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อแบคทีเรีย
- วิธีการรักษา: ใช้ครีมแก้คันเฉพาะที่หรือยาแก้แพ้ในช่องปากเพื่อจัดการกับอาการ รักษารอยกัดให้สะอาดเพื่อป้องกันการติดเชื้อ
- การป้องกัน: ใช้ยาจุดกันยุง สเปรย์ฉีดกันยุง สติ๊กเกอร์ติดกันยุง เครื่องดักยุง หรือไม้ตียุง สวมเสื้อแขนยาวและกางเกงขายาว และใช้มุ้งหรือติดมุ้งลวดเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกยุงกัด กำจัดแหล่งน้ำนิ่งบริเวณที่อยู่อาศัยเพื่อลดแหล่งเพาะพันธุ์ยุง
9. แมลงวันตา
แม้ว่าจะไม่เป็นพิษโดยตรงผ่านการถูกต่อยหรือสัตว์กัด แต่แมลงวันเหล่านี้แพร่เชื้อโรคได้ในขณะที่พวกมันไปที่อาหารหรือกองขยะที่วางทิ้งไว้และเริ่มเน่าเปื่อย รวมไปถึงที่อยู่อาศัยของมนุษย์ ซึ่งอาจก่อให้เกิดอาหารเป็นพิษและการติดเชื้อแบคทีเรียอื่นๆ ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าแมลงวันตาดูดกินเลือดหรือน้ำเหลืองบนแผลที่ผิวหนังคนเข้า อาจทำให้เชื้อโรคเข้าสู่บาดแผล ติดเชื้อ และลุกลามใหญ่โตได้ ดังนั้นการป้องกันแมลงวันตา หรือกำจัดแมลงวันเมื่อเห็นมันเข้าบ้านจึงเป็นมาตรการป้องกันที่ควรทำ
- เจอหาได้ที่ไหน: มักพบใกล้ขยะ ของเสีย และอินทรียวัตถุที่เน่าเปื่อย
- การปฐมพยาบาล: รักษาสุขอนามัยเพื่อหลีกเลี่ยงโรคติดต่อจากการสัมผัสกับแมลงวัน ล้างมือให้สะอาดหลังจากสัมผัสกับพื้นผิวที่มีแมลงวันเข้ามา
- วิธีการรักษา: โดยทั่วไปไม่จำเป็นต้องมีการรักษาโดยตรงเมื่อสัมผัสกับแมลงวันเหล่านี้ แต่การรักษาความสะอาดเป็นกุญแจสำคัญในการป้องกันการติดเชื้อ
- การป้องกัน: ใช้มุ้งกันแมลง ใช้ฝาชีปิดชามอาหาร ปิดผนึกขยะและเศษอาหารอย่างแน่นหนา และรักษาความสะอาดในพื้นที่รับประทานอาหาร ครัว และที่ทิ้งอาหาร เพื่อป้องกันแมลงวันรบกวน
10. ตะขาบ
ตะขาบ ถือเป็นสัตว์มีพิษที่พบมากหน้าฝน เพราะตะขาบเป็นสัตว์ที่ชอบอาศัยอยู่ในพื้นที่ชื้นแฉะ และเมื่อฝนตก ความชื้นในบริเวณเหล่านี้จะเพิ่มสูงขึ้น จึงเป็นพื้นที่เหมาะกับการอยู่อาศัยและออกหากินของตะขาบ แต่ถ้าเกิดฝนตกหนักจนเกิดน้ำท่วมที่อยู่อาศัยของตะขาบ จะทำให้ตะขาบก็จะพยายามหนีน้ำไปยังพื้นที่แห้งที่สูงกว่า นั่นความหมายว่ามีโอกาสที่หนีเข้าบ้านของเราได้
- ความอันตราย: ตะขาบทุกชนิดมีพิษ แต่ความรุนแรงของพิษมีความแตกต่างกันในแต่ละสายพันธุ์ โดยส่วนใหญ่แล้วตะขาบที่พบในไทย ยังไม่ได้มีพิษร้ายแรงจนถึงชีวิต แต่ถ้าถูกกัดก็จะทำให้เกิดอาการปวดบวมอย่างรุนแรงตรงบริเวณที่ถูกกัด และอาจจะเกิดอาการอื่น ๆ อีกได้
- การปฐมพยาบาลเบื้องต้น: ให้ทำความสะอาดบริเวณที่ถูกกัดด้วยน้ำสะอาด แล้วประคบน้ำอุ่นครั้งละประมาณ 10 นาที เพื่อลดอาการบวม และควรหลีกเลี่ยงการเกา แกะ บริเวณที่ถูกกัด เพื่อป้องกันการติดเชื้อ ถ้าพบว่ามีอาการบวมหรือปวดเพิ่มขึ้นให้รีบไปพบแพทย์
11. แมลงตด
แมลงตด (Bombardier Beetle) เป็นแมลงปีกแข็งชนิดหนึ่งที่จำพวกเดียวกันกับด้วงดิน โดยส่วนมากจะวางไข่เป็นกลุ่มอยู่ในโพรงใต้ดิน กองหิน หรือใต้เปลือกไม้ อยู่ตามตามบริเวณริมแอ่งน้ำเล็ก ๆ และแพร่พันธุ์ในช่วงฤดูฝน ลำตัวยาวประมาณ 2 เซนติเมตร กว้างประมาณ 5-8 มิลลิเมตร และความพิเศษที่โดดเด่นของเจ้าแมลงตดคือการปล่อยของเหลวออกมาที่มีกลิ่นเหม็นฉุนรุนแรงมาก ๆ ซึ่งเป็นอีกกลไกหนึ่งในการป้องกันตัวเองจากศัตรู
- ความอันตราย: โดยทั่วไปแมลงตดไม่ได้อันตรายร้ายแรงจนถึงชีวิต แต่ถ้าโดนตัวหรือสัมผัสของเหลวที่มันปล่อยออกมา อาจทำให้เกิดปวดแสบปวดร้อน แดง คัน หากโดนเข้าที่ดวงตาอาจทำให้ตาบอดได้
- การปฐมพยาบาลเบื้องต้น: ควรรีบล้างบริเวณนั้นด้วยน้ำสะอาดและสบู่ทันที แต่ถ้าของเหลวเข้าตาให้รีบล้างตาด้วยน้ำสะอาดปริมาณมาก ๆ ทันที ถ้ามีอาการรุนแรงหรือรู้สึกไม่สบายให้รีบไปพบแพทย์
วิธีป้องกันและรับมือเมื่อต้องเผชิญกับแมลงอันตรายหน้าฝน
การทำความเข้าใจและเคารพแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์มีพิษเหล่านี้ถือเป็นกุญแจสำคัญในการอยู่ร่วมกันอย่างปลอดภัยในช่วงฤดูฝน เพื่อความปลอดภัยของคุณเองและคนรอบข้าง เราแนะนำให้ใช้มาตรการป้องกันดังต่อไปนี้
- หลีกเลี่ยงน้ำท่วม: วิธีนี้สามารถช่วยป้องกันสัตว์และโรคที่มากับน้ำได้
- ตรวจสอบและเขย่าเสื้อผ้า รองเท้า และผ้าเช็ดตัว ก่อนใช้งานทุกครั้ง
- รักษาพื้นที่อยู่อาศัยของคุณให้สะอาด และไม่เกะกะเพื่อลดจุดซ่อนตัวของแมลงมีพิษหน้าฝนเหล่านี้
- ติดตั้งมุ้งลวดที่หน้าต่างและประตู เพื่อป้องกันไม่ให้สัตว์ไม่ได้รับเชิญเข้ามาในบ้านของคุณ
- จัดสวนและพื้นที่รอบบ้านให้โล่งเตียน อย่าปล่อยให้พุ่มไม้รกและหญ้าขึ้นเต็มพื้นที่โดยไม่มีตัดแต่ง เพราะอาจจะทำให้สัตว์มีพิษ หน้าฝน เข้ามาอาศัยอยู่ได้
อย่าลืมเรียนรู้ว่าสัตว์มีพิษทั่วไปชนิดใดได้บ้างจะสามารถอยู่ในบริเวณพื้นที่ของคุณ และให้ความรู้แก่ครอบครัวของคุณเกี่ยวกับพวกมัน เพื่อไม่ให้พวกเขาจับต้องหรือสัมผัสโดยไม่รู้ว่าพวกมันมีพิษ
บทสรุป
อย่าลืมเรียนรู้ว่าสัตว์มีพิษทั่วไปชนิดใดได้บ้างจะสามารถอยู่ในบริเวณพื้นที่ของคุณ และให้ความรู้แก่ครอบครัวของคุณเกี่ยวกับพวกมัน เพื่อไม่ให้พวกเขาจับต้องหรือสัมผัสโดยไม่รู้ว่าพวกมันมีพิษ
ทั้งหมดก็คือ 12 แมลงอันตรายหน้าฝน พร้อมกับความอันตรายของสัตว์มีพิษ หน้าฝน การปฐมพยาบาลเบื้องต้นเมื่อต้องเจอกับแมลงมีพิษในหน้าฝน ที่มักจะหนีน้ำในช่วงหน้าฝนเข้ามาหลบอยู่ภายในบ้าน มีทั้งแมลงและสัตว์บางชนิดที่มีพิษร้าย และบางชนิดที่เป็นตัวพาหะนำเชื้อโรค เพราะถ้าไม่รู้วิธีในการตั้งรับกับการมาเยือนของเจ้าบรรดาแมลงและสัตว์ทั้งหลายได้เหมาะสม ก็อาจทำให้เกิดอันตรายต่อตัวเองและคนในครอบครัวได้ นอกจากนี้แนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดคือเก็บหมายเลขฉุกเฉินในพื้นที่ไว้ใกล้มือเสมอ และทราบตำแหน่งของสถานพยาบาลที่ใกล้ที่สุด รู้จักหน้าตาของสัตว์มีพิศพวกนี้ไว้คุณจะได้ปลอดภัยจากพวกมัน Shopee ก็ขอให้คุณปลอดภัยจากเหล่าสัตว์ร้ายเหล่านี้กันตลอดหน้าฝนนะ หากใครอยากรู้วิธีไล่แมลงวัน อ่านต่อเพิ่มเติมได้ที่นี่!
อ้างอิง