เมื่อพูดถึงเรื่องการรับประกันอายุการใช้งานของรถและความปลอดภัยบนท้องถนน การตรวจสอบสภาพรถเป็นประจำเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ไม่ว่าคุณจะวางแผนการเดินทางไกล ใกล้ หรือต้องการต่อภาษีรถยนต์ ต่อให้ขับรถเดินทางในเมือง แต่ถ้ามีการใช้งานเรื่อยๆก็ควรตรวจสภาพรถยรต์ให้ทุกส่วนประกอบยังอยู่ในสภาพดีพร้อมใช้งาน การทำความเข้าใจประเด็นสำคัญในการบำรุงรักษารถยนต์สามารถช่วยคุณให้รอดปลอดภัย ในบทความนี้ เราจะเจาะลึกถึงความสำคัญของการตรวจสอบสภาพรถยนต์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ก่อนการเดินทาง และก่อนการต่อภาษีรถยนต์
หัวข้อต่างๆ ของบทความนี้
ตรวจเช็คสภาพรถ สำคัญยังไง
ตรวจสภาพรถ ก่อนการเดินทาง
ก่อนออกเดินทาง การประเมินสภาพโดยรวมของรถ และตรวจสอบชิ้นส่วนอะไหล่รถให้ยังอยู่ในสภาพพร้อมใช้งานเป็นสิ่งสำคัญ รถที่ได้รับการดูแลอย่างดีไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มความปลอดภัยของคุณ แต่ยังช่วยให้ประหยัดน้ำมันและสมรรถนะดีขึ้นอีกด้วย ประเด็นสำคัญที่ควรให้ความสำคัญเมื่อตรวจสอบสภาพรถก่อนการเดินทาง มีดังนี้
- การตรวจสอบยาง: ตรวจสอบให้แน่ใจว่ายางของคุณมีความลึกของดอกยางเพียงพอและเติมลมอย่างเหมาะสม ยางที่ดอกยางจางไปแล้วหรือมีลมยางต่ำอาจทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ โดยเฉพาะในสภาพถนนที่เปียกหรือลื่น
- ตรวจสอบยางตรงที่ปัดน้ำฝน: การตรวจว่าที่ปัดน้ำฝนทำงานได้ดีก็สำคัญ เพราะที่ปัดน้ำฝนมีไว้เพื่อให้คนในรถ โดยเฉพาะคนขับ มีทัศนวิสัยที่ดีในการขับขี่เครื่องบนต์อย่างปลอดภัย หากยางเสื่อมสภาพหรือปัดน้ำได้ไม่หมดดี ควรซื้อยางที่ปัดน้ำฝนใหม่เปลี่ยน
- ระบบเบรก: ตรวจสอบเบรกว่ามีการสึกหรอหรือมีเสียงผิดปกติเมื่อเหยียบเบรกหรือไม่ สายเบรกที่ไม่ขาดชำรุดเช็คได้โดยติดเครื่องยนต์ขับไปเพียงระยะ 5-10 เมตร และลองเบรก ดูว่าเบรกทำงานได้ปกติไม่มีเสียงแปลกไป เบรกได้ช้า หรือลื่นไถล
- ระดับของเหลว: ตรวจสอบระดับน้ำมันเครื่อง น้ำมันเกียร์ น้ำมันเบรก หม้อน้ำ น้ำยาแอร์ และน้ำยาอื่นๆทั้งหมดให้อยู่ในเกณฑ์ระหว่าง MIN กับ MAX ถ้าของเหลวใดอยู่ในระดับต่ำกว่าขั้นต่ำอาจทำให้เครื่องยนต์เสียหาย หรือทำให้คุณร้อนเกินไปด้วยลมและแดดประเทศไทย
- หม้อน้ำ ตรวจเช็คหม้อน้ำว่ามีระดับน้ำยาหล่อเย็นเหมาะสมหรือไม่ หากมีปัญหานี้กลางทางอาจทำให้รถร้อน ควันขึ้น และขับต่อไม่ได้ วิธีการคือดับเครื่องจนรถเย็น เปิดฝากระโปรงและหาฝาหม้อน้ำ (ที่ฝาจะมีป้ายเตือนติดอยู่ เพราะให้ผู้ใช้รถระวังไม่เปิดตอนร้อน เพราะอาจลวกมือจากไอน้ำได้) ดูระดับน้ำจากถังภายนอกว่าอยู่ระหว่าง Max กับ Min ใช่หรือไม่ ถ้าอยู่ต่ำกว่า Min ต้องหาซื้อน้ำยาหล่อเย็นเติม ห้ามใช้น้ำประปาเพราะจะทำให้เกิดตะกรันและสนิมได้ในอนาคต และถ้าเปิดฝาหม้อน้ำตรวจสอบของเหลวด้านใน ไม่ควรพบน้ำสีน้ำตาล ตะกรัน ฝุ่น เศษผง สนิม หากพบปัญหาดังกล่าวให้เอารถเข้าอู่เพื่อให้ช่างเปลี่ยนถ่ายหม้อน้ำดีกว่า และเมื่อเช็คเสร็จควรปิดฝาหม้อน้ำให้สนิท (Credit: one2car)
- น้ำมันเกียร์ สามารถเช็คได้โดยติดเครื่องรถยนต์ไว้ ใส่เกียร์จอด P แล้วเปิดฝากระโปรงหน้ารถและดึงก้านเช็คน้ำมันเกียร์ออกมาเช็ค เสียบก้านเข้าไปใหม่และดึงออกมาดูว่าระดับน้ำมันเกียร์อยู่ระหว่าง เต็ม (Full) กับ เติม (Add) ใช่หรือไม่ ถ้าอยู่ต่ำกว่าระดับเส้น Add ให้หาน้ำมันเกียร์เติม นอกจากนั้น ให้สังเกตสีของน้ำมันเกียร์ว่าเป็นสีแดงหรือเหลืองใส ไม่มีฝุ่น ก้อน ฟอง หรือตะกอนใดๆ เพราะถ้ามีเศษตะกอนหรือฟองเจือปนอาจแปลว่ากล่องใส่น้ำมันเกียร์อาจรั่วซึมและมีสิ่งอื่นนอกจากน้ำมันเกียร์มาปนเปื้อน
- น้ำมันเบรก ตรวจสอบสภาพรถได้โดยหาถังน้ำมันเบรกที่มักจะเป็นถังสี่เหลี่ยมสีขาวขุ่นพอมองเห็นระดับของเหลวด้านใน ลองดูว่าน้ำมันเบรกอยู่ที่ระดับเหมาะสม คือระหว่าง Max กับ Min หรือไม่ [ใส่รูประดับน้ำมันเบรก Credit: acautoservice]
- น้ำยาแอร์ ตรวจสอบได้โดยติดเครื่องยนต์ เปิดฝากระโปรงหน้ารถ ดูปริมาณน้ำยาแอร์ที่ตาแมว ซึ่งมีลักษณะเป็นกระจกใสกลมที่อยู่บนกระบอกดรายเออร์หรืออยู่บริเวณท่อแอร์ที่มีไอความเย็นเกาะอยู่ หากส่องตาแมวแล้วเจอฟองอากาศมากแปลว่าน้ำยาแอร์อยู่ที่ระดับต่ำ หากมีฟองสลับกับน้ำแสดงว่ามีในระดับพอควร หากมีฟองน้อยหรือไม่มีเลยแปลว่าน้ำยาแอร์เต็มอยู่ แปลว่าหากพบว่ามีฟองมากให้หาน้ำยาแอร์มาเติม
- น้ำมันเครื่อง น้ำมันพาวเวอร์ น้ำกลั่นในแบตเตอรี่แบบเปียกทั้ง 6 ช่อง น้ำมันคลัชท์ และ น้ำทำความสะอาดกระจก ทั้งหมดต้องมีและอยู่ในระดับเหมาะสมเช่นกัน สำหรับน้ำยาทำความสะอาดกระจกอย่าลืมเช็คสภาพและเติมทั้งหน้ารถและหลังรถ
- ไฟและสัญญาณ: ทดสอบไฟหน้า ไฟเบรก สัญญาณไฟเลี้ยว และไฟฉุกเฉินทั้งหมด ว่าไฟติดดีตามที่เราทำการกดเปิดและปิด ไฟที่ผิดพลาดหรือขาดหาย อาจทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ทั้งกับตัวคุณเองและรถคันอื่น โดยเฉพาะในเวลากลางคืน
- แบตเตอรี่: ตรวจสอบแบตเตอรี่และตรวจดูให้แน่ใจว่าติดตั้งอย่างแน่นหนา แบตเตอรี่ที่อ่อนหรือหมดอาจทำให้คุณเสียเวลาเรียกช่างและเสียเงินเกินควร วิธีการทดสอบแบตเตอรี่สามารถทำได้โดยเปิดไฟหน้ารถทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที และสตาร์ทรถเพื่อดูความสว่างของไฟหน้า หากความสว่างของไฟทั้ง 2 ช่วงเวลาต่างกันแบบหลังสตาร์ทไฟหรี่ลง ไม่สว่างเหมือนเดิม ให้นำรถเข้าตรวจสภาพและเปลี่ยนแบตเตอรี่ก่อนรถแบตฯหมดกลางถนน
Credit: AC auto service
ตรวจสภาพรถ ก่อนนำไป ต่อภาษี
เมื่อถึงเวลาต่ออายุภาษีรถยนต์ การตรวจสอบอย่างละเอียดถือเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้เป็นไปตามข้อกำหนดที่จำเป็น นอกเหนือจากการตรวจสอบที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว ควรให้ความใส่ใจเป็นพิเศษกับสิ่งต่อไปนี้
- ระบบปล่อยไอเสีย: ตรวจสอบให้แน่ใจว่าระบบปล่อยไอเสียของรถของคุณทำงานอย่างถูกต้อง ไม่ปล่อยควันดำออกมาเกินไป สำหรับสถานที่ตรวจที่ได้รับอนุญาตอย่าง ตรอ. จะมีอุปกรณ์วัดระดับอย่างแม่นยำ โดยจะต้องตรวจสอบการปล่อยก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ (CO) และก๊าซไฮโดรคาร์บอน (HC) ของรถยนต์ส่วนบุคคลไม่เกิน 7 ที่นั่ง ให้อยู่ในเกณฑ์ที่กำหนด
- การตรวจสอบหมายเลขประจำตัวยานพาหนะ (VIN): ตรวจสอบว่า VIN ของคุณตรงกับหมายเลขในเอกสารการลงทะเบียนของคุณ หากมีเลขไม่ตรงกันอาจนำไปสู่ปัญหาในการต่อภาษีรถยนต์ไม่สำเร็จ
- อุปกรณ์ด้านความปลอดภัย: ตรวจสอบว่าอุปกรณ์ด้านความปลอดภัยทั้งหมด เช่น เข็มขัดนิรภัย ถุงลมนิรภัย และล็อคป้องกันเด็ก อยู่ในสภาพการทำงานที่เหมาะสม
ตรวจสภาพรถใช้อะไรบ้าง ไอเทมไหนควรพก ?
- เกจวัดแรงดันลมยาง: ตรวจสอบและรักษาแรงดันลมยางให้เหมาะสม ทำให้คุณสามารถวัดระดับในที่ใดก็ได้ไม่จำเป็นต้องหาปั๊มน้ำมันหรือสถานีตรวจวัดระดับลมยาง
- ไฟฉาย: ตรวจสอบช่วงล่างของรถยนต์และห้องเครื่องยนต์ในสภาพแสงน้อย
- ก้านวัดน้ำมันเครื่อง: ตรวจสอบระดับและคุณภาพน้ำมันเครื่อง
- กระดาษเช็ด (แนะนำใช้ paper towel) หรือ ผ้าขาว: เช็ดน้ำมัน สารหล่อเย็น หรือของเหลวอื่นๆ เพื่อการตรวจสอบลักษณะของเหลวได้อย่างรวดเร็ว
- สายจัมเปอร์: ให้การจั๊มสตาร์ทอย่างรวดเร็วหากแบตเตอรี่หมดกะทันหัน
- ชุดเครื่องมือพื้นฐาน: ประกอบด้วยไขควง คีม และประแจสำหรับการซ่อมแซมเล็กน้อย
- ชุดปฐมพยาบาล: อุปกรณ์ทางการแพทย์ที่จำเป็นในกรณีที่ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย
- คู่มือรถยนต์: ให้คำแนะนำเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาและการซ่อมแซมขั้นพื้นฐาน
- กรวย: ช่วยในการเติมของเหลวโดยไม่หก
- ฟิวส์สำรอง: เพื่อการเปลี่ยนอย่างรวดเร็วในกรณีที่เกิดปัญหา เช่น รถสตาร์ทไม่ติดจากปัญหาฟิวส์ขาด
- เทปกาวแบบเหนียว (Duct Tape): ซ่อมแซมชิ้นส่วนรถยนต์ต่างๆ ชั่วคราว
- เกจวัดความลึกของดอกยาง: วัดความลึกของดอกยางเพื่อการประเมินความปลอดภัย
- ยางสำรอง: ยางรถยนต์สำรองไว้หนึ่งวงที่ด้านหลังหากมีพื้นที่ จะทำให้คุณมียางเปลี่ยนกรณียางแตกหรือรั่ว ด้วยการมีอุปกรณ์สำรองและความรู้ คุณอาจเปลี่ยนยางได้เองและเดินทางต่อได้โดยไม่ต้องรอความช่วยเหลือเป็นเวลานาน
การมีไอเทมเหล่านี้พร้อมใช้จะทำให้การดูแลรักษารถยนต์เข้าถึงได้ง่ายขึ้น มีประสิทธิภาพ และปลอดภัยสำหรับเจ้าของรถ การตรวจสอบสภาพรถเป็นประจำและการทำความสะอาดอย่างรวดเร็วช่วยให้มั่นใจได้ว่ารถของคุณจะอยู่ในสภาพดีเยี่ยม เพิ่มทั้งความปลอดภัยและอายุการใช้งานที่ยืนยาว
จะต่อภาษีรถยนต์ ตรวจสภาพรถที่ไหน
ถ้าคุณใกล้ถึงเวลาต่อภาษีรถยนต์แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ารถยนต์ของคุณที่จะนำไปต่อภาษีเป็นรถยนต์หรือรถบรรทุกส่วนบุคคลมีอายุเกิน 7 ปี หรือรถมอเตอไซค์มีอายุเกิน 5 ปีขึ้นไปแล้ว ไม่ต้องคิดว่า ตรวจสภาพรถที่ไหน ดี เพราะคุณจะเข้าไปตรวจสภาพรถตามศูนย์หรืออู่รถยนต์ทั่วไปไม่ได้ แต่คุณจะต้องไปตรวจสภาพรถยนต์กับหน่วยงานของกรมการขนส่งทางบกเท่านั้น คือ
- กรมการขนส่งทางบก ตั้งอยู่ที่ สำนักงานขนส่งกรุงเทพมหานครทั้ง 5 พื้นที่ และประจำตามจังหวัดต่างๆ ตรวจสอบเว็บไซต์หลักของกรมการขนส่งทางบกแต่ละพื้นที่ ที่นี่
- สำนักงานขนส่งประจำจังหวัด
- สถานตรวจสภาพรถยนต์เอกชน (ตรอ.) ทั่วประเทศที่ได้รับอนุญาตจากกรมการขนส่งทางบก สามารถค้นหาสถานที่เข้าไปตรวจเช็คสภาพรถ หรือ หา ตรอ. ใกล้บ้านคุณ ได้ที่ เว็บไซต์ TQM ที่นี่
ทั้งนี้การตรวจจะต้องเกิดก่อนารต่อภาษีตามพระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ.2522 ว่า รถที่จะนำมาใช้ ต้องมีสภาพมั่นคงแข็งแรง มีลักษณะ ขนาด และเครื่องอุปกรณ์ส่วนควบของรถถูกต้อง ตามที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวง เพื่อความปลอดภัยของผู้ขับรถ ผู้โดยสาร และเพื่อนร่วมทางคันอื่น ๆ อีกทั้งยังรวมไปถึงสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ดังนั้นการตรวจเช็คสภาพรถจึงจำเป็นด้วยประการนี้
ผลิตภัณฑ์เพื่อการดูแลรักษารถยนต์ให้สะอาดและปลอดภัย
- ผ้าทำความสะอาดไมโครไฟเบอร์: อ่อนโยนต่อพื้นผิว เหมาะสำหรับทำความสะอาดและขัดเงาโดยไม่เกิดรอยขีดข่วน
- สบู่ล้างรถ: ออกแบบมาโดยเฉพาะเพื่อขจัดสิ่งสกปรกและสิ่งสกปรกโดยไม่ทำลายสีรถ
- สเปรย์ล้างรถแบบไม่ใช้น้ำ: สะดวกสำหรับการทำความสะอาดอย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องใช้น้ำ เหมาะสำหรับการทำความสะอาดฉุกเฉิน
- เครื่องดูดฝุ่นในรถยนต์: แบบพกพาและสะดวกสำหรับการทำความสะอาดภายในอย่างรวดเร็ว ขจัดฝุ่นและเศษขนมหรือขยะ
- Car Wax: ให้ชั้นปกป้อง ทำให้ง่ายต่อการทำความสะอาดรถและให้ความเงางาม
- ดินน้ำมันขัดสีรถ (Clay Bar Kit): ขจัดสิ่งปนเปื้อนออกจากพื้นผิวสี ทำให้เรียบเนียนและพร้อมสำหรับการแว็กซ์
- น้ำยาทำความสะอาดภายในรถ: สำหรับทำความสะอาดแผงหน้าปัด เบาะนั่ง และพื้นผิวภายในอื่นๆ โดยไม่ทำให้เสียหาย
- น้ำยาทำความสะอาดหนัง: หากรถคุณเป็นเบาะหนังลองซื้อมาใช้ จะช่วยให้เบาะหนังนุ่มและป้องกันการแตกของหนังที่หุ้มเบาะ
- น้ำยาทำความสะอาดกระจก: ช่วยให้มองเห็นได้ชัดเจนโดยขจัดสิ่งสกปรกและรอยเปื้อนจากหน้าต่างและกระจก
- น้ำยาทำความสะอาดล้อ: ขจัดฝุ่นและคราบเบรกจากล้อ ทำให้มั่นใจได้ว่าล้อจะสะอาดและเป็นเงางาม
- Tire Shine Gel: ช่วยให้ยางดูเงางามพร้อมทั้งปกป้องยางจากรังสียูวีและสิ่งสกปรกบนถนน
- น้ำหอมปรับอากาศ: ช่วยให้รถมีกลิ่นหอมสดชื่น เลือกกลิ่นที่ไม่ฉุนเกินไป
- พรมปูพื้นยาง: ปกป้องพรมรถยนต์จากสิ่งสกปรก น้ำ และการสึกหรอ
- ม่านบังแดดกระจกหน้ารถ หรือ ร่มบังแดดรถ: ปกป้องการตกแต่งภายในจากแสงแดดและช่วยให้รถเย็นลง ปกป้องรถจากฝุ่น ฝน และรังสี UV เมื่อจอดรถกลางแจ้ง
- ผ้าคลุมรถ หรือ หลังคากันแดดรถ: ปกป้องรถจาก ฝุ่น ใบไม้ แสงแดด จากด้านนอก ทำให้รถด้านนอกสะอาดและลดความร้อนสะสมลง
- ถุงมือ: ถุงมือยาง ช่วยปกป้องมือของคุณ เช่น ใช้ล้างรถ หรือ ใช้ใส่เวลาเปลี่ยนยาง
- แปรงเก็บรายละเอียด หรือ สไลม์เก็บฝุ่น: แปรงขนาดเล็กสำหรับทำความสะอาดช่องระบายอากาศ รอยแยก และบริเวณอื่นๆ ที่เข้าถึงยาก
- เครื่องฉีดน้ำแรงดันสูง: สำหรับการทำความสะอาดอย่างละเอียดและรวดเร็ว โดยเฉพาะใต้ท้องรถ หลังคารถ และในห้องเครื่องยนต์
- ถาดรองน้ำหยด: ป้องกันน้ำมันและของเหลวอื่นๆ ไม่ให้เปื้อนพื้นโรงรถ
ตรวจเช็คสภาพรถก่อนขับรถในพื้นที่ฝนตกและน้ำท่วม
การใช้ชีวิตในไทยที่มีฝนตก ปีละประมาณ 6 เดือน และพบเจอกับน้ำท่วมเป็นครั้งคราว ผู้ขับขี่จะต้องระมัดระวังเป็นพิเศษเกี่ยวกับสภาพของยานพาหนะของตน นอกเหนือจากการตรวจเช็ครถที่ลิสต์ไว้ด้านบน ต่อไปนี้คือการตรวจเช็คสภาพรถเพิ่มเติมที่สำคัญและมาตรการป้องกันเพื่อให้แน่ใจว่ารถของคุณยังคงใช้งานได้และปลอดภัยในช่วงฤดูฝนและน้ำท่วม
1. ดอกยางและแรงดันลมยาง
- ตรวจสอบความลึกของดอกยาง: ในพื้นที่ที่มีฝนตกหนัก การยึดเกาะของยางอย่างเหมาะสมถือเป็นสิ่งสำคัญ ตรวจสอบให้แน่ใจว่ายางของคุณมีความลึกของดอกยางเพียงพอเพื่อป้องกันการลื่นไถลบนถนนเปียก
- รักษาแรงดันลมยางให้ถูกต้อง: แรงดันลมยางที่เพียงพอช่วยให้มั่นใจได้ถึงการสัมผัสพื้นผิวถนนอย่างเหมาะสม ยางที่เติมลมน้อยเกินไปอาจนำไปสู่การเหินน้ำ ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงในการลื่นไถล และเกิดอุบัติเหตุ
2. ระบบเบรก
- ตรวจสอบผ้าเบรกและจาน: ผ้าเบรกที่ชำรุดหรือจานเบรกที่ชำรุดอาจลดประสิทธิภาพในการเบรก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสภาพเปียก เปลี่ยนใหม่หากจำเป็น
- ตรวจสอบระบบ ABS: หากรถของคุณมีระบบเบรกป้องกันล้อล็อก (ABS) ตรวจสอบให้แน่ใจว่าระบบทำงานอย่างถูกต้อง ABS ป้องกันการลื่นไถลขณะเบรกกะทันหันบนถนนลื่น
3. ไฟและที่ปัดน้ำฝน
- ตรวจสอบให้แน่ใจว่ามีทัศนวิสัยที่เหมาะสม: ไฟหน้าทำงาน ไฟเบรก และสัญญาณไฟเลี้ยวมีความสำคัญอย่างยิ่งในฝนตกหนักและในสภาพทัศนวิสัยต่ำ เปลี่ยนหลอดไฟที่เสียทันที
- เปลี่ยนใบปัดน้ำฝนที่ชำรุด: ทัศนวิสัยที่ดีเป็นสิ่งสำคัญในช่วงฝนตก เปลี่ยนใบปัดน้ำฝนที่ชำรุดเพื่อรักษาทัศนวิสัยที่ชัดเจนผ่านกระจกหน้ารถ
4. ระบบไฟฟ้า
- ตรวจสอบสภาพแบตเตอรี่: บางครั้งฝนตกอาจทำให้เกิดปัญหาทางไฟฟ้าได้ ตรวจสอบการกัดกร่อนของแบตเตอรี่และตรวจดูให้แน่ใจว่าติดตั้งอย่างแน่นหนา แบตเตอรี่ที่อ่อนอาจทำงานล้มเหลวในสภาพฝนตกหรือน้ำท่วมสูงเกินไป
- ปกป้องอุปกรณ์ไฟฟ้า: พิจารณาใช้สเปรย์ป้องกันกับอุปกรณ์ไฟฟ้าที่มีช่องโหว่เพื่อป้องกันความเสียหายจากน้ำ
5. ช่วงล่างและระบบกันสะเทือน
- การตรวจสอบช่วงล่างเป็นประจำ: น้ำท่วมสามารถสร้างความเสียหายให้กับช่วงล่างและส่วนประกอบของระบบกันสะเทือนได้ ตรวจสอบพื้นที่เหล่านี้เป็นประจำเพื่อดูสัญญาณของสนิมหรือความเสียหาย
- ส่วนประกอบระบบกันสะเทือนแบบกันน้ำ: การใช้สารเคลือบกันน้ำกับส่วนประกอบระบบกันสะเทือนสามารถป้องกันสนิมและการกัดกร่อนที่เกิดจากการสัมผัสกับน้ำเป็นเวลานาน
6. เครื่องยนต์และปริมาณอากาศ
- เพิ่มระดับปริมาณอากาศเข้า: หากพื้นที่ของคุณมีแนวโน้มที่จะเกิดน้ำท่วม ให้พิจารณาเพิ่มระดับปริมาณอากาศเข้าในรถของคุณ เพื่อป้องกันไม่ให้น้ำเข้าไปในเครื่องยนต์ซึ่งอาจทำให้เกิดความเสียหายร้ายแรงได้
- หลีกเลี่ยงแอ่งน้ำและถนนที่มีน้ำท่วม: หากเป็นไปได้ หลีกเลี่ยงการขับรถผ่านแอ่งน้ำหรือถนนที่มีน้ำท่วม แม้แต่น้ำท่วมที่ค่อนข้างตื้นก็สามารถทำลายเครื่องยนต์และระบบไฟฟ้าของรถคุณได้
7. การบำรุงรักษาตามปกติและการตรวจเช็คของเหลว
- การเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องบ่อยครั้ง: การเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องเป็นประจำมีความสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ที่เสี่ยงต่อการสัมผัสน้ำ น้ำมันที่สะอาดช่วยให้มั่นใจในการหล่อลื่นที่เหมาะสมและป้องกันความเสียหายของเครื่องยนต์
- ตรวจสอบระดับของเหลวอื่นๆ: ตรวจเช็คระดับน้ำมันเบรก น้ำมันเกียร์ และน้ำหล่อเย็นเป็นประจำ การปนเปื้อนของน้ำอาจส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของระบบต่างๆในรถ
การปฏิบัติตามมาตรการตรวจสอบและป้องกันเหล่านี้ ผู้ขับขี่ในพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมสามารถลดความเสี่ยงที่รถจะเสียหายได้อย่างมาก และมั่นใจในความปลอดภัยในช่วงฝนตกหนักและน้ำท่วม จำไว้ว่า การบำรุงรักษาเป็นประจำและการขับขี่อย่างระมัดระวังเป็นกุญแจสำคัญในการรักษารถของคุณให้อยู่ในสภาพที่เหมาะสมในสภาพอากาศที่เปียกปอนถึงปีละครึ่งปีแบบเมืองไทย
FAQ: การตรวจสภาพรถ
ถาม: ฉันควรตรวจสอบสภาพรถก่อนเดินทางบ่อยแค่ไหน?
ตอบ: ขอแนะนำให้ทำการตรวจสอบอย่างละเอียดอย่างน้อยเดือนละครั้ง และโดยเฉพาะอย่างยิ่งก่อนการเดินทางระยะไกล การบำรุงรักษาตามปกติ รวมถึงการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องและการเติมลมยาง ควรดำเนินการตามคำแนะนำของผู้ผลิตรถยรต์ของคุณ
ถาม: ฉันสามารถต่ออายุภาษีรถยนต์ของฉันได้หรือไม่หากรถของฉันไม่ผ่านการทดสอบการปล่อยมลพิษ หรือ มีการปล่อยควันดำ?
ตอบ: ไม่ คุณจะไม่สามารถต่อภาษีรถยนต์ได้หากรถของคุณปล่อยควันดำเกินร้อยละ 50 และระบบวัดความทึบแสงต้องเกิน 45% และ/หรือ ตรวจวัดเสียงรถได้เกิน 100 เดซิเบล หากผลออกมาไม่ดีดังกล่าวคุณจะต้องทำการซ่อมก่อนต่อภาษีรถยนต์
โดยสรุป การตรวจเช็คสภาพรถเป็นประจำไม่ใช่แค่สิ่งที่ต้องทำเพื่อตัวคุณเท่านั้น เป็นความรับผิดชอบที่เจ้าของรถทุกคนควรยึดถือ การดำเนินการตรวจสอบเป็นประจำและป้องกันปัญหาล่วงหน้านั้น ไม่เพียงแต่รับประกันความปลอดภัยและการปฏิบัติตามกฎระเบียบเท่านั้น แต่ยังประหยัดเงินในระยะยาวด้วยการป้องกันการซ่อมแซมที่มีค่าใช้จ่ายสูง รถที่ได้รับการดูแลอย่างดีเป็นรถที่เชื่อถือได้และปลอดภัย ทำให้การเดินทางของคุณปราศจากความเครียดจากอุบัติเหตุไม่คาดฝัน ทั้งกับทรัพย์สิน เวลา และตัวคุณกับคนที่คุณรัก Shopee ขอให้คุณตรวจเช็คสภาพรถได้อย่างครบครัน และปลอดภัยในการเดินทางบนท้องถนน ต่อภาษีได้ด้วยดี นะ!