ไอโฟนรุ่นไหนดี เป็นคำถามที่เรียกได้ว่ามาแรงสุด ๆ เมื่อไอโฟนรุ่นใหม่เปิดตัว ที่มักจะเปิดตัวในช่วงเดือนกันยายน-ตุลาคมของแต่ละปี และในปี 2024 นี้เองก็มีรุ่นใหม่เปิดตัวมา 2 ซีรีส์ 4 รุ่นย่อย ที่มาเป็นทางเลือกให้กับผู้ใช้งานที่ชื่นชอบระบบ iOS ได้เลือกกันเพิ่มว่าจะซื้อไอโฟนเครื่องใหม่เป็นตัวไหนดี แต่แน่นอนว่า ด้วยความที่แต่ละรุ่นที่เปิดตัวมาในแต่ละมีนั้นก็มีจุดเด่นที่แตกต่างกันออกไป รวมไปถึงราคาที่ก็แตกต่างกันด้วยเช่นกัน หลายคนที่กำลังอยากจะเปลี่ยนมาใช้ไอโฟนก็อาจจะมีคำถามว่า แล้วถ้าจะซื้อไอโฟนเครื่องใหม่ จะซื้อรุ่นไหนดี และจะใช้อะไรเป็นเกณฑ์ตัดสินใจได้บ้าง และทำไมต้องไอโฟน มาดูข้อมูลกันในบทความนี้ที่ Shopee Blog จัดเต็มข้อมูลมาให้ทุกคนเลย
หัวข้อต่างๆ ของบทความนี้
ทำไมต้องไอโฟน ?
แน่นอนว่าอาจจะเป็นคำถามที่ผู้ใช้งานสมาร์ทโฟน (ที่อาจจะไม่ใช่ไอโฟน) มักจะตั้งคำถามกันบ่อย ๆ ว่าทำไมต้องไอโฟน ไอโฟนมีดีอย่างไร ทำไมถึงเป็นกระแสและมีคนใช้งานเยอะกว่ามือถือรุ่นอื่น ๆ และบางคนถึงกับต้องไขว่คว้าหาไอโฟนมาใช้ให้ได้ มาดูเหตุผลกันว่า ทำไมคุณถึงต้องซื้อหรือใช้งานไอโฟน
1. ไอโฟนมีระบบปฏิบัติการที่ใช้งานง่าย
ด้วยความที่ไอโฟนรันด้วยระบบปฏิบัติการ iOS ที่มีแค่อุปกรณ์ของค่าย Apple เท่านั้นในการใช้งาน และมี UX/UI ที่ใช้งานง่าย มือใหม่ทำความเข้าใจได้ไม่ยาก และเน้นไปที่ประสบการณ์การใช้งานของผู้ใช้ ทำให้หลาย ๆ คนยอมรับกันว่าไอโฟนนั้นมีระบบปฏิบัติการที่ใช้งานง่าย และชื่นชอบในการใช้งานไอโฟนมากกว่านั่นเอง
2. ไอโฟนรองรับการอัปเดตที่ยาวนาน
ตั้งแต่ไอโฟนรุ่นแรก ๆ Apple จะมีการอัปเดตซอฟต์แวร์ให้กับไอโฟนทุกรุ่นอย่างยาวนาน อย่างน้อย 3-4 ปี และในปัจจุบันก็ถือว่าไอโฟนนั้นรองรับการอัปเดตซอฟต์แวร์ยาวนานอย่างน้อย 5-6 ปี ยกตัวอย่างเช่น iPhone XR และ XS ที่เปิดตัวตั้งแต่ปี 2018 ในปี 2024 ก็ยังได้รับการอัปเดต iOS 18 อยู่ (ถึงแม้จะมีอาการแลกขณะใช้งานบ้าง) แต่ก็เป็นการอัปเดตที่ทำให้ไอโฟนสองรุ่นนี้นั้นยังสามารถใช้งานได้อย่างน้อย ๆ คือจนถึงปี 2025 และแม้จะไม่มีการอัปเดต iOS รุ่นใหม่ ๆ ก็ยังใช้งานต่อเนื่องได้อยู่ ทำให้การซื้อไอโฟนเครื่องนึงนั้น หากไม่ได้ตั้งใจจะเปลี่ยนทุกปี ก็สามารถใช้งานได้ยาวนานอย่างน้อย 5-6 ปี เลยทีเดียว (แต่ก็อาจจะต้องมีการเปลี่ยนแบตเตอรี่ด้วยนะเพื่อให้ใช้งานได้ยาวนานมากขึ้น)
3. ไอโฟนมีวัสดุตัวเครื่องที่แข็งแรงและทนทาน
สิ่งหนึ่งที่ไอโฟนได้รับการยอมรับนั่นก็คือวัสดุตัวเครื่องที่มีความแข็งแรงและทนทาน นับตั้งแต่ iPhone 4 นั้น iPhone ทุกรุ่นก็แทบจะใช้วัสดุตัวเครื่องหลักเป็นอะลูมิเนียมและกระจก และเริ่มหันมาใช้วัสดุตัวเครื่องเป็นไทเทเนียมใน iPhone 15 Pro เป็นต้นมา ซึ่งทำให้ความรู้สึกในการจับใช้งานและสัมผัสนั้นมีความทนทานกว่า และด้วยงานประกอบที่แน่นหนาและประณีต รวมไปถึงคุณสมบัติการกันน้ำกันฝุ่นที่ใส่มาให้ในช่วงหลัง ๆ ก็ทำให้ไอโฟนนั้นมีความทนทานมากขึ้นนั่นเอง
4. ไอโฟนมีดีไซน์ที่เป็นเอกลักษณ์และโดดเด่น
แน่นอนว่าไอโฟนแทบจะทุกรุ่นมีดีไซน์ที่โดดเด่นและเป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง ที่ถึงแม้ว่าหลายคนอาจจะมองว่าดีไซน์ไอโฟนตั้งแต่รุ่น 11 เป็นต้นมาเปลี่ยนแปลงไปไม่มาก แต่ก็ต้องยอมรับว่าดีไซน์กล้องด้านหลังแบบ 3 กล้อง (หรือ 2 กล้องในรุ่นธรรมดา) รวมไปถึงโลโก้ Apple อันโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ และหน้าจอที่เป็นติ่ง Notch และ Dynamic Island ก็เป็นดีไซน์ที่เป็นเอกลักษณ์และทำให้รู้ว่านี่แหละคือไอโฟน
5. ไอโฟนหาอุปกรณ์เสริมง่าย
ปฏิเสธไม่ได้จริง ๆ ว่าด้วยความที่จำนวนรุ่นไอโฟนมีน้อย และจำนวนผู้ใช้งานที่ค่อนข้างเยอะ จึงทำให้ไอโฟนนั้นหาอุปกรณ์เสริม (โดยเฉพาะเคส) ได้ง่ายมาก ๆ เรียกได้ว่าไม่ว่าจะไปตลาดที่ไหน หรือแม้แต่ใน Shopee ก็มีเคสไอโฟนให้เลือกมากมายเป็นหมื่นเป็นแสนแบบ แถมราคาก็มีหลากหลายตั้งแต่ถูกยันแพง และนอกจากเคสแล้ว อุปกรณ์เสริมต่าง ๆ อย่างที่ชาร์จ แท่นวางมือถือ แท่นชาร์จไร้สาย อุปกรณ์ MagSafe ต่าง ๆ ก็มีให้เลือกหลากหลายมากเช่นกัน ทำให้ต้องยอมรับเลยว่าไอโฟนนั้นหาอุปกรณ์เสริมได้ง่ายมากจริง ๆ
6. ไอโฟนมีความเสถียรและลื่นไหล
คล้าย ๆ กับเหตุผลที่ไอโฟนนั้นมีระบบปฏิบัติการที่ใช้งานง่าย เพราะด้วยความที่ระบบปฏิบัติการ iOS นั้นมีอุปกรณ์ที่ใช้งานระบบปฏิบัติการนี้จำนวนไม่มาก นักพัฒนาจึงสามารถออกแบบแอปพลิเคชันหรือปรับปรุงประสิทธิภาพของระบบปฏิบัติการให้สามารถทำให้งานในแต่ละรุ่นได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ เพราะในการพัฒนาไม่ต้อง Customize ในจำนวนที่มหาศาล (เมื่อเทียบกับระบบปฏิบัติการอื่น ๆ ที่มีอุปกรณ์หลากหลาย จากหลากระบบปฏิบัติการ ที่ทำให้ปรับแต่งได้ยาก) และสิ่งนี้เองที่ทำให้แอปพลิเคชันหลาย ๆ อย่างนั้นทำงานได้อย่างเสถียรและลื่นไหลบนไอโฟนนั่นเอง
7. ไอโฟนมี Ecosystem ที่แข็งแกร่ง
ไอโฟนนั้นเป็นส่วนหนึ่งของ Apple Ecosystem ที่มีอุปกรณ์อยู่อย่างมากมายและทำงานร่วมกันได้อย่างไร้รอยต่อ ทั้งไอโฟน ไอแพด แม็กบุ๊ก แอร์พอด ที่หากใช้งานร่วมกันบอกได้เลยว่าเพิ่ม Productivity ได้อย่างมากและสามารถใช้งานได้อย่างสะดวกสุด ๆ ซึ่งเป็นจุดเด่นและจุดแข็งที่ทำให้คนใช้งานไอโฟน ที่ใช้งานร่วมกับไอแพด หรือแม็กบุ๊ก แทบจะไม่เปลี่ยนมือถือไปใช้ระบบปฏิบัติการอื่น ๆ เลยก็ว่าได้
6 ไอโฟนรุ่นไหนดี รุ่นท็อป สเปกเด็ด หาซื้อได้ง่าย
เกริ่นนำข้อดีของไอโฟนกันมามากมายแล้ว มาดู 6 ไอโฟนรุ่นไหนดีที่หยิบยกมาแนะนำกันบ้าง ว่าจะมีรุ่นไหน ที่เหมาะกับทุกคนบ้าง
iPhone 16 Pro/Pro Max
แน่นอนว่าไอโฟนรุ่นไหนดีรุ่นแรกที่เอามาแนะนำให้กับทุกคนกันนั้น หนีไม่พ้นรุ่นท็อปที่เพิ่งเปิดตัวกันไปสด ๆ ร้อน ๆ กับ iPhone 16 Pro Series ที่ในปีนี้เรียกได้ว่าสเปกขยับเข้ามาเทียบเท่ากันมากขึ้นทั้งในด้านประสิทธิภาพการใช้งานและสเปกกล้องที่ให้กล้องซูม 5 เท่ามาให้เท่ากันแล้ว รวมไปถึงให้หน้าจอที่ใหญ่ขึ้นกว่ารุ่นก่อนเล็กน้อย เป็น 6.3 นิ้วในรุ่น Pro และ 6.9 นิ้วในรุ่น Pro Max ใช้งานได้เต็มตามากขึ้นในขนาดตัวเครื่องที่ใกล้เคียงรุ่นก่อนหน้า แถมวัสดุก็ยังคงเป็น Titanium ที่มีความทนทานมากเหมือนเดิม และอีกหนึ่งสิ่งที่น่าสนใจคือ ราคาเปิดตัวรุ่นเริ่มต้นที่ลดลงเล็กน้อยจากรุ่นก่อน ที่ 39,900 บาทเท่านั้น เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งไอโฟนที่หากใครถามหาความสุดใน พ.ศ. นี้ ก็ต้องเครื่องนี้ไปเลยจ้า
สเปกของ iPhone 16 Pro/16 Pro Max
- หน้าจอ : Super Retina XDR ขนาด 6.3 นิ้ว (16 Pro) และ 6.9 นิ้ว (16 Pro Max) พร้อมเทคโนโลยี ProMotion รีเฟรชเรท 120 Hz และ Dynamic Island
- กล้องถ่ายภาพ
- กล้องหลัก : 48 ล้านพิกเซล ƒ/1.78 พร้อมระบบกันสั่น OIS
- กล้อง Ultrawide : 48 ล้านพิกเซล ƒ/2.2 มุมมองภาพ 120°
- กล้อง Telephoto : 12 ล้านพิกเซล ƒ/2.8 พร้อม OIS และซูมสูงสุดแบบ Optical 5 เท่า และ Digital 25 เท่า
- กล้องหน้า : TrueDepth 12 ล้านพิกเซล ƒ/1.9 พร้อมออโต้โฟกัส
- CPU : Apple A18 Pro
- RAM : 8 GB
- ROM : 128 GB (เฉพาะ 16 Pro), 256 GB, 512 GB และ 1 TB
- การเชื่อมต่อ : 5G, WiFi 7, Bluetooth 5.3, NFC, USB Type-C Version 3.2
- สี : Black Titanium, White Titanium, Natural Titanium, Desert Titanium
- ฟีเจอร์เด่นที่น่าสนใจ : รองรับ Apple Intelligence, บอดี้วัสดุไทเทเนียม, ปุ่ม Camera Control
- ราคา : เริ่มต้น 39,900 สำหรับ iPhone 16 Pro (128 GB) และ 48,900 บาท สำหรับ iPhone 16 Pro Max (256 GB)
iPhone 16/16 Plus
อีกหนึ่งไอโฟนรุ่นไหนดีที่นำมาแนะนำกัน ก็หนีไม่พ้นซีรี่ส์ตัวเลขประจำปีกับ iPhone 16 และ iPhone 16 Plus ที่มาพร้อมกับการรีดีไซน์ครั้งสำคัญในด้านหลัง ที่กลายเป็นกล้องเรียงกันแบบแนวตั้ง นอกจากนั้นยังให้ Camera Control มาเหมือนกับรุ่นพี่อีกต่างหาก พร้อมกับสีสันใหม่สุดโดดเด่นทั้ง 5 สีที่บอกได้เลยว่าหลายคนจะต้องชื่นชอบแน่นอนถ้าได้เห็นตัวจริง เพราะเราไปลองจับมาแล้วบอกได้เลยว่า สีที่เห็นในเว็บนั้นสู้ของจริงไม่ได้เลย ส่วนในด้านสเปกหลายอย่างก็อัปเกรดมาใหม่อย่างชิปก็กลายเป็น Apple A18 แล้ว บอกได้เลยว่าใครใช้ไอโฟนรุ่นเก่า ๆ ตั้งแต่ 13 ลงไป ควรเปลี่ยนมาใช้อันนี้เป็นอย่างยิ่ง แต่ก็อาจจะมีจุดเล็กน้อย คือ ไม่ได้จอ ProMotion เหมือนกับรุ่นพี่ และอาจจะซูมได้ไม่เยอะเท่า เพราะได้ที่ 2 เท่าแบบ Optical และ 10 เท่าแบบ Digital แต่ก็ถือว่าใช้งานทั่วไปได้ดีเยี่ยมระดับนึงเลย
สเปกของ iPhone 16/16 Plus
- หน้าจอ : Super Retina XDR ขนาด 6.1 นิ้ว (iPhone 16) และ 6.7 นิ้ว (iPhone 16 Plus) พร้อม Dynamic Island
- กล้องถ่ายภาพ
- กล้องหลัก : 48 ล้านพิกเซล ƒ/1.6 รองรับการซูม 2 เท่าแบบ Optical พร้อมระบบกันสั่น OIS
- กล้อง Ultrawide : 12 ล้านพิกเซล ƒ/2.2 มุมมองภาพ 120°
- กล้องหน้า : TrueDepth 12 ล้านพิกเซล ƒ/1.9 พร้อมออโต้โฟกัส
- CPU : Apple A18
- RAM : 8 GB
- ROM : 128 GB, 256 GB และ 512 GB
- การเชื่อมต่อ : 5G, WiFi 7, Bluetooth 5.3, NFC, USB Type-C Version 2.0
- สี : Black, White, Pink, Teal, Ultramarine
- ฟีเจอร์เด่นที่น่าสนใจ : รองรับ Apple Intelligence และมีปุ่ม Camera Control
- ราคา : 29,900 บาท สำหรับ iPhone 16 (128GB) และ 34,900 บาท สำหรับ iPhone 16 Plus (128GB)
iPhone 15/15 Plus
แนะนำรุ่นใหม่ไปแล้ว มาถึงรุ่นก่อนหน้าที่ยังมีขายกันอยู่บ้าง กับ iPhone 15 และ 15 Plus ที่ปรับลดราคามาเริ่มต้นเพียง 2 หมื่นกลาง ๆ เท่านั้น (หรืออาจจะถูกกว่านี้ในช่วงโปร) และแน่นอนว่าสเปกก็ถือว่ายังถือใช้งานได้อีกยาว ๆ หลายปีเลย เพราะมาพร้อมกับหน้าจอ 6.1 ในรุ่น 15 และ 6.7 นิ้วในรุ่น 15 Plus พร้อมกับ Dynamic Island ที่เห็นแล้วรู้เลยว่าเป็นไอโฟนรุ่นใหม่ ๆ และวัสดุฝาหลังพร้อมกับสีสันโทนพาสเทลที่ถูกใจหลายคนสุด ๆ แถมกล้องก็ให้ความละเอียดมาสูงถึง 48 ล้านพิกเซลที่ใช้งานได้ดีขึ้นทั้งถ่ายรูปทั่วไปและการซูม ใครหาไอโฟนดีไซน์ใหม่แต่ราคาคุ้มค่า iPhone 15 ก็น่าสนใจไม่น้อย เป็นอีกหนึ่งในไอโฟนรุ่นไหนดีที่ Shopee Blog แนะนำจ้า
สเปกของ iPhone 15/15 Plus
- หน้าจอ : Super Retina XDR ขนาด 6.1 นิ้ว (iPhone 15) และ 6.7 นิ้ว (iPhone 15 Plus) พร้อม Dynamic Island
- กล้องถ่ายภาพ
- กล้องหลัก : 48 ล้านพิกเซล ƒ/1.6 รองรับการซูม 2 เท่าแบบ Optical พร้อมระบบกันสั่น OIS
- กล้อง Ultrawide : 12 ล้านพิกเซล ƒ/2.4 มุมมองภาพ 120°
- กล้องหน้า : TrueDepth 12 ล้านพิกเซล ƒ/1.9 พร้อมออโต้โฟกัส
- CPU : Apple A16
- RAM : 6 GB
- ROM : 128 GB, 256 GB และ 512 GB
- การเชื่อมต่อ : 5G, WiFi 6, Bluetooth 5.3, NFC, USB Type-C Version 2.0
- สี : Black, Blue, Green, Yellow, Pink
- ฟีเจอร์เด่นที่น่าสนใจ : รองรับ Dynamic Island, กล้อง 48 ล้านที่ซูมได้ 2 เท่าแบบไม่สูญเสียรายละเอียด
- ราคา : 26,900 บาท สำหรับ iPhone 15 (128GB) และ 29,900 บาท สำหรับ iPhone 15 Plus (128GB)
iPhone 15 Pro/Pro Max
เป็นไอโฟนรุ่นไหนดีอีกรุ่นที่น่าสนใจ เพราะถึงแม้จะมี iPhone 16 Pro Series มาทดแทนแล้ว รุ่นนี้ก็ยังถือว่าเป็นรุ่นที่น่าสนใจอยู่ดี เพราะมีราคาที่ลดลงมาพอสมควร อาจจะหาซื้อได้ทั้งมือหนึ่งและมือสองในราคาที่ค่อนข้างคุ้มค่า แต่สเปกนั้นก็ยังถือว่าทันสมัยอยู่ เพราะยังจัดเต็มในความเป็นไอโฟนซีรีส์โปร ทั้งหน้าจอขนาดใหญ่ พร้อม ProMotion 120 Hz และกล้องความละเอียดสูง โดยภาพรวมก็ถือว่าใช้ได้อีกยาว ๆ แต่เครื่องมือ 1 ก็อาจจะมีขายอย่างจำกัด เพราะ ณ ตอนนี้ที่เขียนบทความนี้ Apple ได้เลิกผลิตไปแล้ว ก็อาจจะลองดูเป็นมือสองจากร้านค้าที่ไว้ใจได้เหมือนกัน
สเปกของ iPhone 15 Pro/15 Pro Max
- หน้าจอ : Super Retina XDR ขนาด 6.1 นิ้ว (15 Pro) และ 6.7 นิ้ว (15 Pro Max) พร้อมเทคโนโลยี ProMotion รีเฟรชเรท 120 Hz และ Dynamic Island
- กล้องถ่ายภาพ
- กล้องหลัก : 48 ล้านพิกเซล ƒ/1.8 พร้อมระบบกันสั่น OIS
- กล้อง Ultrawide : 12 ล้านพิกเซล ƒ/2.2 มุมมองภาพ 120°
- กล้อง Telephoto :
- 15 Pro Max : 12 ล้านพิกเซล ƒ/2.8 พร้อม OIS และซูมสูงสุดแบบ Optical 5 เท่า และ Digital 25 เท่า
- 15 Pro : 12 ล้านพิกเซล ƒ/2.8 พร้อม OIS และซูมสูงสุดแบบ Optical 5 เท่า และ Digital 15 เท่า
- กล้องหน้า : TrueDepth 12 ล้านพิกเซล ƒ/1.9 พร้อมออโต้โฟกัส
- CPU : Apple A17 Pro
- RAM : 8 GB
- ROM : 128 GB (เฉพาะ 15 Pro), 256 GB, 512 GB และ 1 TB
- การเชื่อมต่อ : 5G, WiFi 6e, Bluetooth 5.3, NFC, USB Type-C Version 3.2
- สี : Black Titanium, White Titanium, Blue Titanium, Natural Titanium
- ฟีเจอร์เด่นที่น่าสนใจ : รองรับ Apple Intelligence, บอดี้วัสดุไทเทเนียม, ปุ่ม Camera Control
- ราคา : เริ่มต้นประมาณ 35,000 – 36,000 บาท (15 Pro) หรือ 41,000 – 43,000 บาท (15 Pro Max) ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับโปรโมชั่นและส่วนลดจากร้านค้าในแต่ละช่วง
iPhone 14/ 14 Plus
ย้อนกลับมารุ่นเบสิคแห่งปี 2022 กันบ้างกับ iPhone 14 และ 14 Plus ที่ปัจจุบันยังมีวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการใน Apple Store และร้านค้าทั่วไปอยู่ เป็นอีกหนึ่งรุ่นที่น่าสนใจพอสมควร แต่อาจจะไม่ค่อยแตกต่างกับ iPhone 13 มากนักทำให้กระแสของรุ่นนี้อาจจะเงียบ ๆ ไปบ้าง แต่รุ่นนี้นั้นเป็น iPhone รุ่นแรกที่ได้รุ่น Plus จอใหญ่ 6.7 นิ้วมาเป็นทางเลือกสำหรับคนที่ชอบใช้รุ่นจอใหญ่น้ำหนักเบา แถมสีสันก็ยังสวยโดดเด่นด้วยสีฟ้าและสีเหลือง ที่เป็นสีประจำรุ่นนี้ ใครที่ชอบไอโฟนจอติ่งเล็ก และชอบสีฟ้าสีเหลือง รุ่นนี้ก็ยังถือว่าน่าสนใจอยู่นะ
สเปกของ iPhone 14 /14 Plus
- หน้าจอ : Super Retina XDR ขนาด 6.1 นิ้ว (iPhone 14) และ 6.7 นิ้ว (iPhone 14 Plus)
- กล้องถ่ายภาพ
- กล้องหลัก : 12 ล้านพิกเซล ƒ/1.5 พร้อมระบบกันสั่น OIS
- กล้อง Ultrawide : 12 ล้านพิกเซล ƒ/2.4 มุมมองภาพ 120°
- กล้องหน้า : TrueDepth 12 ล้านพิกเซล ƒ/1.9 พร้อมออโต้โฟกัส
- CPU : Apple A15
- RAM : 6 GB
- ROM : 128 GB, 256 GB และ 512 GB
- การเชื่อมต่อ : 5G, WiFi 6, Bluetooth 5.3, NFC, Lightning Port
- สี : Midnight, Purple, Starlight, Blue, Red, Yellow
- ราคา : 22,900 บาท สำหรับ iPhone 14 (128GB) และ 26,900 บาท สำหรับ iPhone 14 Plus (128GB)
iPhone 13
มาถึงไอโฟนรุ่นไหนดีตัวสุดท้ายกันแล้ว กับไอโฟนรุ่นยอดนิยมที่ถึงแม้จะเปิดตัวมามากกว่า 3 ปีแล้ว ก็ยังได้รับความนิยมเพราะดีไซน์ที่สวย สีสันที่โดดเด่น (โดยเฉพาะสีชมพูสุดน่ารัก) และราคาที่จับต้องได้ แถมยังสามารถรองรับการอัปเดตได้อีกอย่างน้อย 3-4 ปี ทำให้ iPhone 13 เป็นหนึ่งในตัวเลือกสำหรับหลายคนที่ใช้ไอโฟนเครื่องแรก เป็นอีกเครื่องที่มีความสามารถในระดับพื้นฐานอย่างครบครันอย่างที่ไอโฟนควรจะเป็น และใช้งานได้รอบด้าน แต่อาจจะไม่ได้โดนเด่นมากนักเมื่อเทียบกับรุ่นปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม ในงบไม่เกิน 20,000 บาท ไอโฟนรุ่นนี้ก็ถือเป็นตัวเลือกดี ๆ เครื่องนึงเลยก็ว่าได้
สเปกของ iPhone 13
- หน้าจอ : Super Retina XDR ขนาด 6.1 นิ้ว
- กล้องถ่ายภาพ
- กล้องหลัก : 12 ล้านพิกเซล ƒ/1.6 พร้อมระบบกันสั่น OIS
- กล้อง Ultrawide : 12 ล้านพิกเซล ƒ/2.4 มุมมองภาพ 120°
- กล้องหน้า : TrueDepth 12 ล้านพิกเซล ƒ/2.2
- CPU : Apple A15
- RAM : 4 GB
- ROM : 128 GB, 256 GB และ 512 GB
- การเชื่อมต่อ : 5G, WiFi 6, Bluetooth 5.0, NFC, Lightning Port
- สี : Midnight, Purple, Starlight, Blue, Red, Yellow
- ราคา : 22,900 บาท สำหรับ iPhone 14 (128GB) และ 26,900 บาท สำหรับ iPhone 14 Plus (128GB)
เป็นอย่างไรกันบ้างกับ 6 ไอโฟนรุ่นไหนดีที่ Shopee Blog หยิบยกมาฝากทุกคนกันในวันนี้ หวังว่าจะเป็นไกด์ดี ๆ ให้เพื่อน ๆ ทุกคนสามารถเลือกซื้อไอโฟนเครื่องใหม่กันได้นะ แต่อย่างไรก็ตาม Shopee Blog มักจะพูดเสมอ ๆ ในบทความแนะนำมือถือว่า ไม่มีมือถือรุ่นไหนที่ดีที่สุดในโลกสำหรับทุกคน มีแต่มือถือที่เหมาะสมกับแต่ละคน ซึ่งแน่นอนว่าคนที่จะตอบคำถามนี้ได้ก็คือตัวเอง อาจจะออกไปลองจับเล่นดูก่อน แล้วมาเลือกซื้อทีหลังก็ได้นะ ด้วยความหวังดีจาก Shopee Blog จ้า