น้ำมันปลาช่วยอะไร ? ไขทุกข้อสงสัย พร้อมป้ายยา 13 ยี่ห้อดังที่ต้องลอง!

สวัสดีเพื่อน ๆ ชาว Shopee Blog ทุกคน! ในยุคที่เทรนด์การดูแลสุขภาพกำลังมาแรง เชื่อว่าหลายคนคงเคยได้ยินหรือเห็นอาหารเสริมที่ชื่อว่า “น้ำมันปลา” ผ่านตากันมาบ้างใช่ไหม บางคนอาจจะกำลังทานอยู่ แต่บางคนก็อาจจะยังสงสัยว่าเจ้าเม็ดซอฟต์เจลสีเหลืองใส ๆ นี้คืออะไรกันแน่? แล้วที่เขาว่าดีต่อสุขภาพเนี่ย น้ำมันปลา ช่วยอะไรได้จริง ๆ บ้าง? 

บทความนี้จะพาทุกคนไปไขทุกข้อข้องใจเกี่ยวกับน้ำมันปลา ตั้งแต่ความแตกต่างระหว่างน้ำมันปลากับน้ำมันตับปลา สรรพคุณแบบจัดเต็ม วิธีการทานที่ถูกต้อง ไปจนถึงการรีวิวและป้ายยา 13 แบรนด์ดังในท้องตลาด เพื่อให้เพื่อน ๆ ได้ข้อมูลครบถ้วนที่สุดและตัดสินใจเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่ใช่สำหรับตัวเองได้อย่างมั่นใจ ถ้าพร้อมแล้ว ไปดูกันเลย!

หัวข้อต่างๆ ของบทความนี้

ไขความลับของน้ำมันปลา คืออะไรกันแน่? ต่างจากน้ำมันตับปลาจริงไหม?

ก่อนจะไปดูที่คุณประโยชน์มากมาย เรามาทำความรู้จักตัวตนที่แท้จริงของอาหารเสริมสองชนิดที่หลายคนมักสับสนกันอยู่บ่อย ๆ อย่าง “น้ำมันปลา” และ “น้ำมันตับปลา” กันก่อนดีกว่า แม้ชื่อจะคล้ายกัน แต่บอกเลยว่าแหล่งที่มาและสารอาหารหลักนั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

Cr. freepik

น้ำมันปลา (Fish Oil) คืออะไร?

สำหรับน้ำมันปลา คือน้ำมันที่สกัดมาจากเนื้อ หนัง และหัวของปลาทะเลน้ำลึกที่อาศัยอยู่ในแหล่งน้ำเย็น เช่น ปลาแซลมอน ปลาแมคเคอเรล ปลาทูน่า หรือปลาแอนโชวี่ จุดเด่นที่สุดของน้ำมันปลาคือการเป็นแหล่งของกรดไขมันจำเป็นในกลุ่มโอเมก้า 3 (Omega-3) ซึ่งร่างกายของเราไม่สามารถสร้างขึ้นเองได้ ต้องได้รับจากการรับประทานอาหารเท่านั้น โดยกรดไขมันโอเมก้า 3 ที่สำคัญและเป็นพระเอกหลักในน้ำมันปลาก็คือ:

  • EPA (Eicosapentaenoic Acid): มีคุณสมบัติเด่นในการช่วยลดการอักเสบในร่างกาย ลดระดับไขมันไตรกลีเซอไรด์ในเลือด และส่งเสริมสุขภาพหัวใจและหลอดเลือด
  • DHA (Docosahexaenoic Acid): เป็นส่วนประกอบสำคัญของเซลล์สมองและจอประสาทตา มีบทบาทอย่างมากในการบำรุงสมอง พัฒนาความจำ และดูแลสุขภาพดวงตา

น้ำมันตับปลา (Cod Liver Oil) คืออะไร?

ส่วนน้ำมันตับปลาตามชื่อเลย คือน้ำมันที่สกัดมาจาก “ตับ” ของปลาทะเล ซึ่งส่วนใหญ่มักจะเป็นปลาค็อด (Cod) แม้น้ำมันตับปลาจะมีกรดไขมันโอเมก้า 3 (ทั้ง EPA และ DHA) อยู่ด้วยเช่นกัน แต่จุดเด่นที่แตกต่างและทำให้มันโด่งดังมาตั้งแต่สมัยรุ่นปู่ย่าก็คือ การเป็นแหล่งที่อุดมไปด้วยวิตามิน A และวิตามิน D ที่ละลายในไขมันในปริมาณที่สูงมาก

  • วิตามิน A: มีความสำคัญต่อการมองเห็นในที่มืด สร้างภูมิคุ้มกัน และบำรุงผิวพรรณ
  • วิตามิน D: ช่วยในการดูดซึมแคลเซียมและฟอสฟอรัส ทำให้กระดูกและฟันแข็งแรง

เปิดคุณประโยชน์เน้นๆ น้ำมันปลา ช่วยอะไรได้บ้าง?

เมื่อรู้แล้วว่าหัวใจสำคัญของน้ำมันปลาคือโอเมก้า 3 คราวนี้เรามาเจาะลึกกันดีกว่าว่าน้ํามันปลา ช่วยอะไร มีสรรพคุณที่น่าทึ่งอย่างไรบ้าง

  • ราชาแห่งการบำรุงหัวใจและหลอดเลือด: โอเมก้า 3 โดยเฉพาะ EPA มีส่วนช่วยลดระดับไตรกลีเซอไรด์ ซึ่งเป็นไขมันร้ายชนิดหนึ่งในเลือด ช่วยป้องกันการจับตัวของเกล็ดเลือดที่อาจนำไปสู่ภาวะหลอดเลือดอุดตัน และอาจช่วยลดความดันโลหิตได้เล็กน้อย จึงถือเป็นเพื่อนแท้ของหัวใจ
  • อาหารสมองชั้นเลิศ เพิ่มพลังความจำ: DHA คือส่วนประกอบหลักของสมองถึง 40% การได้รับ DHA อย่างเพียงพอจึงจำเป็นอย่างยิ่งต่อการทำงานของเซลล์สมอง ช่วยเสริมสร้างความจำ การเรียนรู้ และอาจช่วยลดความเสี่ยงของโรคสมองเสื่อมอย่างอัลไซเมอร์ในผู้สูงอายุได้
  • ฮีโร่พิชิตการอักเสบ: โอเมก้า 3 มีคุณสมบัติเป็นสารต้านการอักเสบ (Anti-inflammatory) ตามธรรมชาติ จึงมีประโยชน์ในการช่วยบรรเทาอาการปวดบวมจากโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ได้
  • บำรุงสายตา ชะลอความเสื่อม: เนื่องจาก DHA เป็นโครงสร้างสำคัญในจอประสาทตา การทานน้ำมันปลาจึงช่วยบำรุงสายตา ลดอาการตาแห้ง และอาจช่วยลดความเสี่ยงของโรคจอประสาทตาเสื่อม (AMD) เมื่ออายุมากขึ้น
  • ดูแลสุขภาพผิวให้เปล่งปลั่ง: โอเมก้า 3 ช่วยรักษาความชุ่มชื้นและความยืดหยุ่นของผิว ลดการอักเสบของผิวหนังที่อาจเป็นสาเหตุของสิว หรือโรคผิวหนังอักเสบอื่น ๆ
  • อาจช่วยบรรเทาอาการซึมเศร้า: มีงานวิจัยหลายชิ้นที่ชี้ให้เห็นความเชื่อมโยงระหว่างการบริโภคโอเมก้า 3 กับการลดลงของอาการซึมเศร้า เนื่องจากกรดไขมันเหล่านี้มีความสำคัญต่อการทำงานของสารสื่อประสาทในสมอง

แล้วน้ำมันตับปลาช่วยอะไร? รู้ไว้ก่อนเลือกซื้อ!

ในเมื่อมีทั้งโอเมก้า 3 วิตามิน A และ D สรรพคุณของน้ำมันตับปลาจึงเป็นการผสมผสานคุณประโยชน์ของสารอาหารทั้งสามชนิดเข้าไว้ด้วยกัน

  • เสริมสร้างกระดูกและฟัน: บทบาทเด่นของวิตามิน D คือการช่วยให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับการสร้างกระดูกและฟันที่แข็งแรง โดยเฉพาะในเด็กวัยเจริญเติบโตและผู้สูงอายุที่เสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุน
  • บำรุงสายตา ป้องกันตาฟาง: วิตามิน A ในน้ำมันตับปลาเป็นที่รู้จักกันดีในเรื่องการบำรุงสายตา ช่วยในการมองเห็นในที่แสงน้อย และป้องกันอาการตาบอดกลางคืน
  • เสริมภูมิคุ้มกัน ต้านทานโรค: ทั้งวิตามิน A และ D มีบทบาทสำคัญในการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้ร่างกายสามารถต่อสู้กับเชื้อโรคและการติดเชื้อต่าง ๆ ได้ดีขึ้น

ตารางเปรียบเทียบ น้ำมันปลา vs น้ำมันตับปลา

เพื่อให้เพื่อน ๆ เห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้น ลองมาดูตารางเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างน้ำมันทั้งสองชนิดนี้กัน

คุณสมบัติน้ำมันปลา (Fish Oil)น้ำมันตับปลา (Cod Liver Oil)
แหล่งที่มาเนื้อ, หนัง, หัวของปลาทะเลน้ำลึกตับของปลาค็อด
สารอาหารเด่นโอเมก้า 3 (EPA & DHA)วิตามิน A, วิตามิน D, โอเมก้า 3
ปริมาณโอเมก้า 3สูงกว่าน้อยกว่าน้ำมันปลาในปริมาณที่เท่ากัน
คุณประโยชน์หลักบำรุงหัวใจ, สมอง, ลดการอักเสบเสริมสร้างกระดูก, บำรุงสายตา, ภูมิคุ้มกัน
เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเน้นบำรุงสมองและหัวใจเด็กวัยเจริญเติบโต, ผู้ที่ขาดวิตามิน A และ D
ข้อควรระวังปริมาณสูงอาจเพิ่มความเสี่ยงเลือดออกการได้รับวิตามิน A และ D มากเกินไปอาจเป็นพิษ

“น้ำมันปลา กินตอนไหน” และข้อควรรู้อื่น ๆ

การเลือกผลิตภัณฑ์ที่ดีเป็นเพียงจุดเริ่มต้น แต่การทานให้ถูกวิธีก็สำคัญไม่แพ้กัน เพื่อให้ร่างกายได้รับประโยชน์สูงสุดและหลีกเลี่ยงผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์

Cr. freepik

น้ำมันปลา กินตอนไหน เห็นผลดีที่สุด?

คำถามยอดฮิตที่ว่า น้ำมันปลา กินตอนไหนดีที่สุด คำตอบที่ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่แนะนำคือ ควรทานพร้อมมื้ออาหาร หรือหลังอาหารทันที โดยเฉพาะมื้อที่มีไขมันดีเป็นส่วนประกอบ เช่น อะโวคาโด ถั่ว หรือน้ำมันมะกอก เหตุผลก็เพราะว่าโอเมก้า 3 เป็นกรดไขมัน การทานพร้อมกับอาหารที่มีไขมันจะช่วยกระตุ้นการหลั่งน้ำดีและเอนไซม์ไลเปส ซึ่งจำเป็นต่อการย่อยและดูดซึมไขมัน ทำให้ร่างกายนำโอเมก้า 3 ไปใช้ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ นอกจากนี้ การทานหลังอาหารยังช่วยลดผลข้างเคียงที่พบบ่อยอย่างอาการเรอเป็นกลิ่นปลาได้อีกด้วย

เช็กลิสต์ด่วน! น้ำมันปลา ไม่ควรกินคู่กับอะไร?

แม้ว่าน้ำมันปลาจะค่อนข้างปลอดภัย แต่ก็มีข้อควรระวังในการทานร่วมกับยาบางชนิด เนื่องจากโอเมก้า 3 มีคุณสมบัติทำให้เลือดแข็งตัวช้าลง ดังนั้น หากเพื่อน ๆ กำลังทานยาเหล่านี้อยู่ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเริ่มทานน้ำมันปลา:

  • ยากลุ่มต้านการแข็งตัวของเลือด (Anticoagulants): เช่น วาร์ฟาริน (Warfarin), เฮพาริน (Heparin)
  • ยาต้านเกล็ดเลือด (Antiplatelets): เช่น แอสไพริน (Aspirin), โคลพิโดเกรล (Clopidogrel)
  • ยาลดความดันโลหิต: การทานน้ำมันปลาร่วมด้วยอาจทำให้ความดันโลหิตลดต่ำลงเกินไปได้

อ่านก่อนกิน! ข้อควรระวังเพื่อความปลอดภัย

  • ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ: ก่อนเริ่มทานอาหารเสริมใด ๆ โดยเฉพาะหากเพื่อน ๆ มีโรคประจำตัว กำลังตั้งครรภ์ หรือให้นมบุตร ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนเสมอ
  • ระวังในผู้ที่แพ้อาหารทะเล: ผู้ที่แพ้ปลาหรืออาหารทะเลควรหลีกเลี่ยงการทานน้ำมันปลา
  • เลือกผลิตภัณฑ์ที่น่าเชื่อถือ: ควรเลือกซื้อน้ำมันปลาจากแบรนด์ที่ได้มาตรฐาน ผ่านการรับรองจาก อย. และตรวจสอบว่ามีกระบวนการผลิตที่กำจัดสารปนเปื้อน เช่น โลหะหนัก ปรอท ออกไปแล้ว
  • สังเกตอาการข้างเคียง: ผลข้างเคียงที่อาจพบได้ เช่น คลื่นไส้ ท้องเสีย หรือเรอเป็นกลิ่นปลา หากมีอาการผิดปกติรุนแรงควรหยุดทานและปรึกษาแพทย์

รีวิวจัดเต็ม! เปิดคลัง 13 น้ำมันปลา ยี่ห้อไหนดี ที่ใช่สำหรับเพื่อน ๆ

มาถึงส่วนที่ทุกคนรอคอย! หลังจากได้ความรู้กันไปแบบแน่น ๆ แล้ว ก็ถึงเวลาเลือกช้อปผลิตภัณฑ์ที่ใช่ Shopee Blog ได้รวบรวม 13 แบรนด์น้ำมันปลายอดนิยม มาเปรียบเทียบให้ดูกันแบบชัด ๆ เพื่อให้เพื่อน ๆ ตัดสินใจได้ง่ายขึ้น กันเลยว่าน้ำมันปลายี่ห้อไหนดี

ตารางเปรียบเทียบ 13 น้ำมันปลา ยี่ห้อไหนดี

ยี่ห้อจุดเด่นปริมาณ (แคปซูล)ราคาโดยประมาณ (บาท)
1. BEWEL Salmon Fish Oilราคาเป็นมิตร, คุ้มค่า, เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้น30, 7090 – 270
2. Vistra Salmon Fish Oilใช้น้ำมันปลาแซลมอน, ผสมวิตามินอี45, 75, 100160 – 600
3. DR.PONG Daily Omega-3สูตรไร้กลิ่นคาว (Odorless), ทานง่าย60200 – 300
4. MEGA We care Fish Oil 1000mgคุ้มค่า, สกัดจากปลาแอนโชวี่ โลหะหนักต่ำ30, 100, 200200 – 900
5. Nutrimaster Fish Oilนำเข้าจากนิวซีแลนด์, แบรนด์น่าเชื่อถือ30, 100220 – 350
6. Amsel Fish Oil Mini Capsเม็ดเล็ก 500 มก., รับประทานง่าย30, 75250 – 400
7. Giffarine Fish Oil 1000 mgแบรนด์ไทยที่เชื่อถือได้, มีหลายขนาดความแรง50 , 90300 – 400
8. Blackmores Fish Oil Miniเม็ดเล็กพิเศษ กลืนง่ายมาก, ไร้กลิ่นคาว30, 60, 400300 – 1,700
9. Nutrilite Triple Omegaผสมโอเมก้า 3-6-9 ดูแลไขมันองค์รวม30, 120400 – 1,600
10. Vitamate Max Fish Oilเข้มข้นสูง (EPA 360, DHA 240), นำเข้าจาก USA60500 – 650
11. Zeavita Tuna Head Fish Oil Plusสกัดจากหัวปลาทูน่า, DHA สูง, เน้นบำรุงสมอง60520 – 560
12. Blackmores Omega Triple Dailyเข้มข้น 3 เท่า, เหมาะกับผู้ที่ต้องการโอเมก้า-3 สูง60900 – 1,200
13. Swisse Ultiboost Odourlessสูตรเข้มข้นและไร้กลิ่น, วัตถุดิบยั่งยืน200, 400900 – 1,800

1. BEWEL Salmon Fish Oil Plus Vitamin E

ปิดท้ายกันด้วย BEWEL อีกหนึ่งแบรนด์คุณภาพที่เลือกใช้ “น้ำมันปลาแซลมอน” เป็นวัตถุดิบหลัก และมีการเพิ่มวิตามิน E เข้าไปเพื่อช่วยในกระบวนการต้านอนุมูลอิสระและคงความสดใหม่ของน้ำมันปลาเอาไว้ เป็นสูตรมาตรฐานที่ให้ EPA และ DHA ในสัดส่วนที่สมดุล เหมาะสำหรับการดูแลสุขภาพทั่วไปในชีวิตประจำวัน ในราคาที่เข้าถึงได้ง่าย เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่มองหาน้ำมันปลาจากปลาแซลมอนในราคาสบายกระเป๋า

  • จุดเด่น: ใช้น้ำมันจากปลาแซลมอน มีวิตามิน E ราคาเข้าถึงง่าย
  • ลักษณะเม็ด: ซอฟต์เจลขนาดมาตรฐาน
  • วิธีรับประทาน: วันละ 1 แคปซูล พร้อมอาหาร
  • ปริมาณ: 30, 70 แคปซูล
  • ราคาโดยประมาณ: 90 – 270 บาท

2. Vistra Salmon Fish Oil

สำหรับเพื่อน ๆ ที่ใส่ใจในแหล่งที่มาของปลาเป็นพิเศษ Vistra Salmon Fish Oil คือคำตอบที่น่าสนใจมาก เพราะแบรนด์นี้เลือกใช้น้ำมันที่สกัดจาก “ปลาแซลมอน” ซึ่งเป็นปลาทะเลน้ำลึกที่ขึ้นชื่อว่าเป็นแหล่งโอเมก้า 3 คุณภาพสูงจากประเทศไอซ์แลนด์ การระบุแหล่งที่มาของปลาอย่างชัดเจนช่วยสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภคได้เป็นอย่างดี ใน 1 แคปซูลประกอบด้วยน้ำมันปลาแซลมอน 1000 มก. ให้ EPA 180 มก. และ DHA 120 มก. ถือเป็นสัดส่วนมาตรฐานที่เหมาะกับการดูแลสุขภาพโดยรวม ทั้งเรื่องหัวใจและสมอง ใครที่กำลังมองหาวิตามินและอาหารเสริม ที่เน้นคุณภาพของวัตถุดิบ Vistra คือตัวเลือกที่ไม่ควรมองข้าม

  • จุดเด่น: ใช้น้ำมันจากปลาแซลมอน แหล่งวัตถุดิบคุณภาพสูง
  • ลักษณะเม็ด: ซอฟต์เจลสีเหลืองทอง ขนาดมาตรฐาน
  • วิธีรับประทาน: วันละ 1 แคปซูล พร้อมมื้ออาหาร
  • ปริมาณ: 45, 75, 100 แคปซูล
  • ราคาโดยประมาณ: 160 – 600 บาท

3. DR.PONG Daily Omega-3 odorless fish oil 1000 mg plus vitamin E

แบรนด์สกินแคร์และอาหารเสริมของคนไทยที่มาแรงสุด ๆ อย่าง DR.PONG ก็ไม่พลาดที่จะส่งผลิตภัณฑ์น้ำมันปลาคุณภาพสูงเข้าสู่ตลาด จุดขายที่ทำให้แบรนด์นี้โดดเด่นคือการชูเรื่อง “Odourless” หรือสูตรไร้กลิ่นคาวปลา ซึ่งเป็นปัญหาที่ทำให้หลายคนไม่อยากทานน้ำมันปลา สูตรนี้ใช้เทคโนโลยีพิเศษในการผลิตเพื่อลดกลิ่นคาว ทำให้ทานง่าย ไม่ต้องทนกับอาการเรอเป็นกลิ่นปลาอีกต่อไป นอกจากนี้ยังใช้ปลาตัวเล็กจากแหล่งน้ำธรรมชาติที่สะอาด ทำให้มีความเสี่ยงต่อการสะสมของโลหะหนักต่ำ และยังเสริมด้วยวิตามิน E เพื่อคงคุณภาพของน้ำมันปลา เหมาะสำหรับคนที่แพ้กลิ่นคาวปลา หรือเพิ่งเริ่มต้นทานแล้วกลัวเรื่องกลิ่น

  • จุดเด่น: สูตรไร้กลิ่นคาวปลา (Odourless) ทานง่าย ใช้ปลาตัวเล็กจากธรรมชาติ
  • ลักษณะเม็ด: ซอฟต์เจลขนาดมาตรฐาน
  • วิธีรับประทาน: วันละ 1 แคปซูล พร้อมอาหาร
  • ปริมาณ: 60 แคปซูล
  • ราคาโดยประมาณ: 200 – 300 บาท

4. MEGA We care Fish Oil 1000mg.

อีกหนึ่งแบรนด์ยักษ์ใหญ่ที่คุ้นหน้าคุ้นตากันเป็นอย่างดี MEGA We care เป็นแบรนด์ที่โดดเด่นในเรื่องคุณภาพและราคาที่เข้าถึงง่าย ทำให้ผลิตภัณฑ์น้ำมันปลาของพวกเขากลายเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายในประเทศไทย สำหรับสูตรนี้ให้ปริมาณโอเมก้า 3 ที่ 350 มก. ต่อแคปซูล ซึ่งสูงกว่าสูตรมาตรฐานทั่วไปเล็กน้อย มาพร้อมกระบวนการผลิตที่ทันสมัยจากโรงงานในประเทศไทยที่ได้รับการรับรองมาตรฐานระดับสากล ทำให้มั่นใจได้ในคุณภาพและความปลอดภัย เหมาะสำหรับนักเรียน นักศึกษา วัยทำงาน หรือใครก็ตามที่ต้องการเริ่มต้นดูแลสุขภาพด้วยโอเมก้า 3 ในราคาที่จับต้องได้ ถือเป็นตัวเลือกที่คุ้มค่าและหาซื้อได้สะดวกมาก ๆ

  • จุดเด่น: ราคาคุ้มค่า คุณภาพมาตรฐานสากล เป็นที่นิยมในไทย
  • ลักษณะเม็ด: ซอฟต์เจลสีเหลืองใส ขนาดมาตรฐาน
  • วิธีรับประทาน: วันละ 1 แคปซูล 3 ครั้ง พร้อมมื้ออาหาร
  • ปริมาณ: 30, 100, 200 แคปซูล
  • ราคาโดยประมาณ: 200 – 900 บาท

5. Nutrimaster Fish Oil

Nutrimaster เป็นอีกหนึ่งแบรนด์ที่อยู่ในวงการอาหารเสริมมานานและได้รับความไว้วางใจ จุดเด่นของน้ำมันปลาจากแบรนด์นี้คือการคัดสรรวัตถุดิบจากปลาแอนโชวี่ ซึ่งเป็นปลาขนาดเล็กในมหาสมุทรแปซิฟิกตอนใต้ ทำให้มีวงจรชีวิตสั้น ลดความเสี่ยงในการสะสมของสารปนเปื้อนและโลหะหนักได้เป็นอย่างดี ผลิตภัณฑ์นี้ให้โอเมก้า 3 ในสัดส่วนมาตรฐานที่สมดุลระหว่าง EPA และ DHA เหมาะสำหรับการดูแลสุขภาพในภาพรวม ทั้งระบบหัวใจ หลอดเลือด และสมอง เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกคุณภาพในราคาที่สมเหตุสมผลสำหรับผู้ที่ใส่ใจเรื่องความปลอดภัยและแหล่งที่มาของวัตถุดิบ

  • จุดเด่น: สกัดจากปลาแอนโชวี่ ซึ่งมีความเสี่ยงโลหะหนักต่ำ
  • ลักษณะเม็ด: ซอฟต์เจลสีเหลืองใส ขนาดมาตรฐาน
  • วิธีรับประทาน: วันละ 1 แคปซูล พร้อมอาหาร
  • ปริมาณ: 30, 100 แคปซูล
  • ราคาโดยประมาณ: 220 – 350 บาท

6. Amsel Fish Oil Mini Caps

Amsel เป็นอีกแบรนด์ที่เข้าใจปัญหาคนกลืนยาเม็ดยาก จึงได้ออกผลิตภัณฑ์ Fish Oil Mini Caps มาเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ ด้วยขนาดเม็ดที่เล็กจิ๋ว ทำให้ทานง่ายมาก ๆ เหมาะกับทุกเพศทุกวัย แม้จะเป็นเม็ดเล็ก แต่น้ำมันปลาที่ใช้สกัดมาจากปลาแอนโชวี่ในทะเลน้ำลึก ทำให้มั่นใจได้ในเรื่องความบริสุทธิ์และปลอดภัยจากสารปนเปื้อน ใน 1 แคปซูลเล็ก ๆ นี้ มีน้ำมันปลา 500 มก. ให้ EPA 90 มก. และ DHA 60 มก. เป็นปริมาณที่ไม่สูงมากนัก เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเสริมโอเมก้า 3 ในปริมาณน้อย ๆ เป็นประจำทุกวัน หรือสำหรับเด็ก ๆ ที่เริ่มทานน้ำมันปลา

  • จุดเด่น: เม็ดเล็กจิ๋ว กลืนง่ายที่สุด สกัดจากปลาแอนโชวี่
  • ลักษณะเม็ด: ซอฟต์เจลขนาดเล็กมาก
  • วิธีรับประทาน: วันละ 1-2 แคปซูล พร้อมอาหาร
  • ปริมาณ: 30, 75 แคปซูล
  • ราคาโดยประมาณ: 250 – 400 บาท

7. Giffarine Fish Oil 1000 mg.

แบรนด์สัญชาติไทยที่แข็งแกร่งและอยู่คู่คนไทยมาอย่างยาวนานอย่าง Giffarine ก็มีผลิตภัณฑ์น้ำมันปลาคุณภาพเยี่ยมเช่นกัน สูตรนี้ใช้น้ำมันปลาจากประเทศไอซ์แลนด์ พร้อมเพิ่มวิตามิน E เข้ามาเพื่อช่วยต้านอนุมูลอิสระและรักษาคุณภาพของน้ำมันเอาไว้ ให้ปริมาณโอเมก้า 3 มาตรฐานคือ EPA 180 มก. และ DHA 120 มก. ด้วยความที่เป็นแบรนด์ไทยที่มีฐานลูกค้าที่เหนียวแน่นและมีตัวแทนจำหน่ายที่เข้าถึงง่าย ทำให้ Giffarine เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่สะดวกและน่าเชื่อถือสำหรับผู้บริโภคชาวไทย ใครที่ชื่นชอบและมั่นใจในผลิตภัณฑ์ของแบรนด์นี้อยู่แล้ว ก็สามารถเลือกซื้อได้อย่างสบายใจ

  • จุดเด่น: แบรนด์ไทยที่น่าเชื่อถือ มีวิตามิน E ผสม
  • ลักษณะเม็ด: ซอฟต์เจลขนาดมาตรฐาน
  • วิธีรับประทาน: วันละ 1-2 แคปซูล พร้อมอาหาร
  • ปริมาณ: 50, 90 แคปซูล
  • ราคาโดยประมาณ: 300 – 400 บาท

8. Blackmores Fish Oil Mini

ปัญหาใหญ่ของใครหลายคนในการทานน้ำมันปลาคือ “ขนาดเม็ดที่ใหญ่” จนทำให้กลืนลำบาก Blackmores เข้าใจปัญหานี้ดีจึงได้ออกผลิตภัณฑ์ Fish Oil Mini Caps มาเพื่อตอบโจทย์โดยเฉพาะ แม้ขนาดเม็ดจะเล็กลงถึงครึ่งหนึ่ง แต่ยังคงให้ปริมาณโอเมก้า 3 เท่าเดิมกับสูตรมาตรฐาน (300 มก.) แต่ต้องทานในปริมาณ 2 แคปซูลแทน 1 แคปซูลของสูตรปกติ สูตรนี้ยังคงเป็นแบบไร้กลิ่นคาว (Odourless) ทำให้เป็นมิตรกับผู้ทานมากขึ้น เหมาะอย่างยิ่งสำหรับเด็ก ผู้สูงอายุ หรือใครก็ตามที่มีปัญหาในการกลืนยาเม็ดใหญ่ ๆ ถือเป็นการแก้ปัญหาที่ตรงจุดและทำให้การทานน้ำมันปลาเป็นเรื่องง่ายขึ้นเยอะ

  • จุดเด่น: เม็ดเล็กพิเศษ กลืนง่ายกว่าสูตรปกติถึง 50% ไร้กลิ่นคาว
  • ลักษณะเม็ด: ซอฟต์เจลขนาดเล็กพิเศษ (Mini Caps)
  • วิธีรับประทาน: วันละ 2 แคปซูล พร้อมมื้ออาหาร
  • ปริมาณ: 30, 60, 400 แคปซูล
  • ราคาโดยประมาณ: 300 – 1,700 บาท

9. Nutrilite Triple Omega

Nutrilite จาก Amway เป็นแบรนด์ที่มีชื่อเสียงระดับโลกในด้านอาหารเสริมที่เน้นวัตถุดิบจากฟาร์มออร์แกนิกของตัวเอง สำหรับ Triple Omega ไม่ได้มีแค่น้ำมันปลา แต่เป็นสูตรผสมผสานของกรดไขมันจำเป็น 3 ชนิด คือ โอเมก้า 3 จากปลาแซลมอน, โอเมก้า 6 จากน้ำมันดอกโบราจ, และโอเมก้า 9 จากน้ำมันมะกอก ซึ่งเป็นการดูแลสุขภาพไขมันแบบองค์รวม นอกจากนี้ยังเสริมด้วยวิตามิน E จากน้ำมันถั่วเหลืองเพื่อป้องกันการเสื่อมคุณภาพของน้ำมัน เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการดูแลสุขภาพแบบครบวงจร ไม่ได้ต้องการแค่โอเมก้า 3 เพียงอย่างเดียว และเชื่อมั่นในมาตรฐานการผลิตระดับสูงของ Nutrilite

  • จุดเด่น: สูตรผสมผสานโอเมก้า 3, 6, 9 จากหลากหลายแหล่งวัตถุดิบคุณภาพ
  • ลักษณะเม็ด: ซอฟต์เจลขนาดมาตรฐาน
  • วิธีรับประทาน: วันละ 1-3 แคปซูล พร้อมอาหาร
  • ปริมาณ: 30, 120 แคปซูล
  • ราคาโดยประมาณ: 400 – 1,600 บาท

10. Vitamate Max Fish Oil 1000 mg

สำหรับเพื่อน ๆ คนไหนที่รู้สึกว่าการทาน้ำมันปลาสูตรมาตรฐานอาจจะยังไม่ตอบโจทย์ความต้องการของร่างกายได้อย่างเต็มที่ หรือกำลังมองหา ‘ตัวจบ’ ที่ให้ความเข้มข้นของโอเมก้า-3 ในระดับที่สูงขึ้นไปอีกขั้นเพื่อเป้าหมายสุขภาพที่เฉพาะเจาะจง ขอให้จับตาดูตัวนี้ไว้ให้ดีเลยครับ นี่คือ Vitamate Max Fish Oil แบรนด์คุณภาพที่ส่งตรงจากสหรัฐอเมริกา ซึ่งออกแบบมาเพื่อเป็นคำตอบสุดท้ายสำหรับคนที่ไม่ได้มองหาแค่การบำรุงทั่วไป แต่ต้องการประสิทธิภาพสูงสุดในทุก ๆ วัน

  • จุดเด่น: ที่สุดของความเข้มข้น! ใน 1 แคปซูล 1000 มก. ให้ปริมาณ EPA สูงถึง 360 มก. และ DHA 240 มก. รวมเป็นโอเมก้า-3 ถึง 600 มก. ซึ่งสูงกว่าสูตรมาตรฐานทั่วไปถึง 2 เท่า
  • ลักษณะเม็ด: ซอฟต์เจลสีเหลืองใส ขนาดมาตรฐาน
  • วิธีรับประทาน: วันละ 1 แคปซูล พร้อมอาหาร
  • ปริมาณ: 60 แคปซูล
  • ราคาโดยประมาณ: 500 – 650 บาท

11. Zeavita Tuna Head Fish Oil Plus

Zeavita เป็นแบรนด์ที่สร้างความแตกต่างด้วยการเลือกใช้วัตถุดิบที่ไม่เหมือนใคร นั่นคือ “น้ำมันปลาจากส่วนหัวของปลาทูน่า” ซึ่งเป็นแหล่งที่อุดมไปด้วย DHA ในสัดส่วนที่สูงเป็นพิเศษ ทำให้ผลิตภัณฑ์นี้โดดเด่นในด้านการบำรุงสมองและความจำโดยเฉพาะ นอกจากนี้ยังมีการเพิ่มวิตามิน E ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยป้องกันไม่ให้น้ำมันปลาถูกออกซิไดซ์ (เหม็นหืน) ง่าย และยังมีส่วนช่วยบำรุงผิวพรรณอีกด้วย ถือเป็นสูตรที่คิดค้นมาอย่างดี เหมาะอย่างยิ่งสำหรับนักเรียน นักศึกษา หรือวัยทำงานที่ต้องใช้ความคิดและต้องการดูแลสมองเป็นพิเศษ ใครที่กำลังมองหาน้ำมันปลาที่เน้น DHA สูง ๆ ตัวนี้คือคำตอบ

  • จุดเด่น: สกัดจากหัวปลาทูน่า ให้ DHA สูง เน้นบำรุงสมอง มีวิตามิน E
  • ลักษณะเม็ด: ซอฟต์เจลขนาดเล็ก ทานง่าย
  • วิธีรับประทาน: วันละ 2 แคปซูล หลังอาหาร
  • ปริมาณ: 60 แคปซูล
  • ราคาโดยประมาณ: 520 – 560 บาท

12. Blackmores Omega Triple Daily

กลับมาที่แบรนด์ Blackmores อีกครั้ง แต่คราวนี้มาในสูตรที่เข้มข้นกว่าเดิมถึง 3 เท่า! Blackmores Omega Triple Daily ถูกออกแบบมาเพื่อเพื่อน ๆ ที่ต้องการโอเมก้า 3 ในปริมาณที่สูงเป็นพิเศษ หรือผู้ที่มีความต้องการเฉพาะเจาะจง เช่น ผู้ที่ต้องการดูแลเรื่องระดับไตรกลีเซอไรด์ หรือลดการอักเสบของข้ออย่างจริงจัง จุดเด่นคือใน 1 แคปซูล อัดแน่นไปด้วยน้ำมันปลาเข้มข้นถึง 1500 มก. และให้โอเมก้า 3 สูงถึง 900 มก. (EPA 540 มก. และ DHA 360 มก.) ทำให้ทานเพียงวันละ 1 เม็ดก็เพียงพอ ไม่ต้องทานหลายเม็ดให้ยุ่งยาก เป็นสูตรที่สะดวกและตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนยุคใหม่ที่ต้องการความรวดเร็วและประสิทธิภาพสูงสุด

  • จุดเด่น: ความเข้มข้นสูงกว่าสูตรปกติ 3 เท่า ทานเพียงวันละ 1 เม็ด
  • ลักษณะเม็ด: ซอฟต์เจลขนาดค่อนข้างใหญ่
  • วิธีรับประทาน: วันละ 1 แคปซูล พร้อมมื้ออาหาร
  • ปริมาณ: 60 แคปซูล
  • ราคาโดยประมาณ: 900 – 1,200 บาท

13. Swisse Ultiboost Odourless High Strength Wild Fish Oil

Swisse เป็นแบรนด์พรีเมียมจากออสเตรเลียที่กำลังได้รับความนิยมอย่างสูงในไทย โดดเด่นด้วยภาพลักษณ์ที่ทันสมัยและการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่เข้มข้น สูตร Ultiboost นี้เป็นสูตรเข้มข้น (High Strength) ที่ให้โอเมก้า 3 ถึง 500 มก. ต่อแคปซูล (EPA 300 มก., DHA 200 มก.) จากน้ำมันปลา 1500 มก. จุดเด่นคือการใช้ปลาจากแหล่งธรรมชาติที่ยั่งยืน (Sustainably Sourced) และเป็นสูตรไร้กลิ่นคาว ทำให้ทานง่าย เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการโอเมก้า 3 ในปริมาณที่สูงกว่าปกติ แต่ยังไม่ถึงขั้น Triple Dose และยังใส่ใจในเรื่องสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนอีกด้วย

  • จุดเด่น: สูตรเข้มข้น ไร้กลิ่นคาว ใช้วัตถุดิบจากแหล่งที่ยั่งยืน
  • ลักษณะเม็ด: ซอฟต์เจลขนาดค่อนข้างใหญ่
  • วิธีรับประทาน: วันละ 1 แคปซูล สำหรับบำรุงทั่วไป หรือ 2-3 แคปซูลสำหรับดูแลเฉพาะด้าน
  • ปริมาณ: 200, 400 แคปซูล
  • ราคาโดยประมาณ: 900 – 1,800 บาท

มาถึงตรงนี้ เพื่อน ๆ คงได้คำตอบกันแล้วว่าน้ำมันปลา ช่วยอะไรได้บ้าง ตั้งแต่การเป็นฮีโร่ดูแลหัวใจและหลอดเลือด, เป็นอาหารชั้นเลิศของสมอง, ช่วยลดการอักเสบ, ไปจนถึงบำรุงสายตาและผิวพรรณ เรียกได้ว่าเป็นสารอาหารที่มีประโยชน์รอบด้านจริง ๆ การเลือกซื้อน้ำมันปลาสักกระปุกจึงไม่ใช่แค่การซื้ออาหารเสริม แต่คือการลงทุนเพื่อสุขภาพที่ดีในระยะยาว

สิ่งสำคัญที่สุดคือการเลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับความต้องการและไลฟ์สไตล์ของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความเข้มข้น, ขนาดเม็ด, แหล่งที่มาของวัตถุดิบ, หรือแม้กระทั่งงบประมาณ หวังว่าข้อมูลและรีวิวทั้ง 13 แบรนด์ในบทความนี้จะเป็นประโยชน์ให้เพื่อน ๆ ได้ใช้ประกอบการตัดสินใจเลือกซื้อน้ำมันปลาที่ใช่และดีที่สุดสำหรับตัวเองและคนที่คุณรักบน Shopee

บทความแนะนำ

Gam weerawat

Share
Published by
Gam weerawat

Recent Posts

15 ที่เที่ยวปีนัง เที่ยวเองได้ง่าย ๆ พร้อมทิปเด็ดที่ไม่ควรพลาด!

วางแผนไปที่เที่ยวปีนังง่าย ๆ ครบจบในบทความเดียว และพาไปรู้จัก 15 สถานที่ท่องเที่ยวปีนังยอดฮิต เหมาะกับทุกสไตล์การท่องเที่ยว

3 hours ago

สีทาบ้านยี่ห้อไหนดี? มัดรวม 13 ยี่ห้อสีทาบ้าน พร้อมเทคนิคเลือกสีให้บ้านสวยทนนาน

คู่มือเลือกสีทาบ้านยี่ห้อไหนดี ที่ทั้งทนทาน สีสวยนาน และใช้งานได้จริง พร้อมเทคนิคเลือกยี่ห้อสีทาบ้านให้เหมาะกับบ้านของคุณ

1 day ago

แบรนด์เครื่องสำอางไทยมาแรง 2025 รวมรุ่นฮิตและเคล็ดลับเลือกให้เหมาะกับคุณ

ทำไมแบรนด์เครื่องสำอางไทยถึงฮิตติดเทรนด์? รวม 15 เครื่องสำอางแบรนด์ไทยยอดนิยม พร้อมเคล็ดลับเลือกให้เหมาะกับผิวและสไตล์ของทุกคน

1 day ago

รถมอไซค์เท่ๆ สำหรับผู้หญิง รุ่นไหนดี? เคล็ดลับเลือกให้ใช่ ขับง่าย สวยโดนใจ

รวมรถมอไซค์เท่ๆ สําหรับผู้หญิง พร้อมวิธีเลือกรถมอเตอร์ไซค์ผู้หญิงขับง่าย เหมาะกับมือใหม่ ดีไซน์สวย ใช้งานสะดวก ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์

5 days ago

ป้ายยา! 11 ชุดเครื่องนอน ยี่ห้อไหนดี พร้อมเคล็ดลับการดูแลผ้าปูที่นอนให้ใช้งานได้นาน

คัดมาแล้ว 11 ชุดเครื่องนอน ยี่ห้อไหนดี ช่วยกันไรฝุ่น ดีต่อผิว ระบายอากาศ นอนสบาย พร้อมเคล็ดลับที่ทำให้เครื่องนอนใช้ได้นาน และวิธีการเลือกซื้อให้ถูกใจ

6 days ago

เจาะลึก! ทิชชู่เปียกเช็ดหน้าได้ไหม พร้อมแนะนำ 9 ทิชชูเปียก ยี่ห้อไหนดี อ่อนโยนต่อผิว

แนะนำ 9 ทิชชูเปียก ยี่ห้อไหนดี อ่อนโยนต่อผิว ไม่ทำให้ระคายเคือง ใช้ได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ พร้อมไขข้องสงสัย ทิชชู่เปียกเช็ดหน้าได้ไหม หาคำตอบได้ที่นี่!

6 days ago