Categories: Cars

น้ำมันเกียร์ เปลี่ยนตอนไหน และวิธีการเลือกที่เหมาะสม

น้ำมันเกียร์เป็นส่วนสำคัญที่ช่วยให้ระบบเกียร์ของรถยนต์ทำงานได้อย่างราบรื่น การดูแลและเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเกียร์ตามระยะเวลาที่เหมาะสมจะช่วยยืดอายุการใช้งานของเกียร์และป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต บทความนี้จะตอบคำถามเกี่ยวกับน้ำมันเกียร์ เช่น น้ำมันเกียร์ เปลี่ยนตอนไหน คืออะไร ควรเปลี่ยนเมื่อไหร่ น้ำมันเกียร์ เปลี่ยนทุกกี่โล ใช้เบอร์อะไร และวิธีการเลือกน้ำมันเกียร์ที่เหมาะสม

หัวข้อต่างๆ ของบทความนี้

น้ำมันเกียร์ คือของเหลวที่ใช้ในการหล่อลื่นชิ้นส่วนภายในระบบเกียร์ของรถยนต์ หน้าที่หลักของน้ำมันเกียร์คือช่วยลดแรงเสียดทานและการสึกหรอของชิ้นส่วนเกียร์ นอกจากนี้ยังช่วยระบายความร้อนและป้องกันการกัดกร่อนของชิ้นส่วนโลหะภายในเกียร์อีกด้วย


น้ำมันเกียร์แบ่งออกเป็นสองประเภทหลัก ๆ ดังนี้

  1. น้ำมันเกียร์สำหรับเกียร์ธรรมดา (Manual Transmission Fluid – MTF)

ใช้สำหรับระบบเกียร์ธรรมดา มีคุณสมบัติในการหล่อลื่นและป้องกันการสึกหรอของชิ้นส่วนเกียร์

  1. น้ำมันเกียร์สำหรับเกียร์อัตโนมัติ (Automatic Transmission Fluid – ATF)

ใช้สำหรับระบบเกียร์อัตโนมัติ นอกจากการหล่อลื่นแล้วยังทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการส่งกำลังและควบคุมการทำงานของระบบเกียร์

ปัจจัยเปรียบเทียบน้ำมันเกียร์ธรรมดา (MTF)น้ำมันเกียร์อัตโนมัติ (ATF)
การใช้งานใช้กับระบบเกียร์ธรรมดาที่ต้องอาศัยการเปลี่ยนเกียร์ด้วยตนเองใช้กับระบบเกียร์อัตโนมัติที่เปลี่ยนเกียร์ได้เองตามรอบเครื่อง
หน้าที่หลักหล่อลื่นฟันเฟืองและลดแรงเสียดทานระหว่างเกียร์นอกจากหล่อลื่นแล้ว ยังเป็นตัวกลางในการส่งกำลังและควบคุมแรงดันไฮดรอลิก
ความหนืดมีความหนืดสูงกว่า ATF มักอยู่ในช่วง 75W-80, 75W-90มีความหนืดต่ำกว่า MTF เพื่อให้ไหลเวียนได้ง่าย มักมีค่าประมาณ 20-40 cSt
สีของน้ำมันสีเหลืองอำพันหรือน้ำตาลสีแดงเพื่อแยกความแตกต่างจากของเหลวอื่นในรถยนต์
อายุการใช้งานเปลี่ยนถ่ายทุก 40,000 – 60,000 กม.เปลี่ยนถ่ายทุก 30,000 – 50,000 กม. หรืออาจเร็วกว่านี้หากใช้งานหนัก
การรองรับอุณหภูมิทนต่อแรงกดสูง แต่ไม่มีคุณสมบัติป้องกันความร้อนมากเท่ากับ ATFมีสารเติมแต่งช่วยทนความร้อนและช่วยป้องกันการเกิดฟองอากาศ

เลือกใช้น้ำมันเกียร์ให้เหมาะสม

📌 น้ำมันเกียร์ทั้งสองประเภทไม่สามารถใช้แทนกันได้ เนื่องจากระบบเกียร์มีการทำงานที่แตกต่างกัน
📌 ควรเลือกใช้น้ำมันเกียร์ที่มีค่าความหนืดและมาตรฐานตรงตามที่ผู้ผลิตรถยนต์แนะนำ
📌 ตรวจสอบและเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเกียร์ตามระยะเวลาที่กำหนดเพื่อป้องกันความเสียหายของระบบเกียร์ 


การเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเกียร์ควรทำตามระยะทางหรือระยะเวลาที่กำหนดในคู่มือรถยนต์ของคุณ โดยทั่วไปแล้ว ควรเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเกียร์ทุก ๆ 30,000-40,000 กิโลเมตร หรือประมาณทุก ๆ 2-3 ปี ในบางเจ้า ถ้าถามว่า น้ำมันเกียร์ เปลี่ยนตอนไหน เมื่อไหร่ดี หรือ น้ำมันเกียร์ เปลี่ยนทุกกี่โล ก็ระบุว่าเปลี่ยนน้ำมันเกียร์ทุกการขับขี่ประมาณ 50,000-160,000 กิโลเมตร อย่างไรก็ตาม หากรถยนต์ของคุณใช้งานหนัก เช่น ขับในสภาพการจราจรติดขัดหรือบรรทุกหนัก ควรพิจารณาเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเกียร์บ่อยขึ้น


นอกจากการเปลี่ยนถ่ายตามระยะทางหรือระยะเวลาที่กำหนดแล้ว คุณยังสามารถสังเกตอาการผิดปกติของระบบเกียร์ที่อาจบ่งบอกถึงความจำเป็นในการเปลี่ยนน้ำมันเกียร์ หรือ ตรวจสอบด้วยตัวเองง่ายๆที่บ้าน รวมแล้วสองวิธีด้วยกัน คือ

1. สังเกตอาการผิดปกติของเกียร์หรือการใช้รถ

  • เกียร์เปลี่ยนยากหรือมีอาการกระตุก
  • มีเสียงดังผิดปกติขณะเปลี่ยนเกียร์
  • ได้กลิ่นไหม้ขณะใช้รถซึ่งอาจมาจากน้ำมันเกียร์

หากพบอาการเหล่านี้ ควรนำรถเข้าตรวจสอบและเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเกียร์ทันที

2. ตรวจสอบสภาพน้ำมันเกียร์ด้วยตัวเองง่ายๆที่บ้าน

✅ อุปกรณ์ที่ต้องใช้

🛠 ขั้นตอนการตรวจสอบสีของน้ำมันเกียร์

1️⃣ หาตำแหน่งก้านวัดน้ำมันเกียร์

  • สำหรับ เกียร์อัตโนมัติ (AT): รถส่วนใหญ่มีก้านวัดน้ำมันเกียร์ (มักอยู่ใกล้เครื่องยนต์)
  • สำหรับ เกียร์ธรรมดา (MT): ไม่มีก้านวัด ต้องเปิดฝาปิดน้ำมันเกียร์ที่เกียร์โดยตรง

2️⃣ ดึงก้านวัดน้ำมันเกียร์ออก แล้วเช็ดด้วยกระดาษทิชชู่สีขาว

3️⃣ สังเกตสีของน้ำมันเกียร์ แล้วเปรียบเทียบกับตารางด้านล่าง

🎨 ตารางเปรียบเทียบสีของน้ำมันเกียร์และสภาพ

สีของน้ำมันเกียร์สภาพของน้ำมันเกียร์ควรเปลี่ยนหรือไม่?
สีแดงสด หรือชมพูใสใหม่ สะอาด พร้อมใช้งาน❌ ยังไม่ต้องเปลี่ยน
สีแดงเข้ม หรือสีส้มใช้งานไปแล้ว เริ่มเสื่อมสภาพ⚠️ ใกล้ถึงเวลาตรวจเช็คและเปลี่ยน
สีน้ำตาลอ่อนน้ำมันเริ่มเก่า มีการเสื่อมสภาพ✅ ควรเปลี่ยนเร็วๆ นี้
สีน้ำตาลเข้ม หรือดำเสื่อมสภาพ มีคราบเขม่า✅ เปลี่ยนทันที!
สีดำและมีกลิ่นไหม้เกียร์อาจมีปัญหา น้ำมันเกียร์อาจมีการเผาไหม้🚨 เปลี่ยนทันที และตรวจสอบระบบเกียร์

💡 หมายเหตุ:

  • หากน้ำมันเกียร์ ขุ่นหรือมีฟอง อาจมีปัญหาความชื้นหรืออากาศเข้าไปในระบบเกียร์
  • หากพบ เศษโลหะปะปน ควรรีบเข้าศูนย์เพื่อตรวจสอบเกียร์

🔧 วิธีดูแลน้ำมันเกียร์ให้ใช้งานได้นานขึ้น

✅ หมั่นตรวจเช็คทุก 10,000 – 20,000 กม. หรือทุก 6 เดือน
✅ ใช้ น้ำมันเกียร์ตามมาตรฐานที่ผู้ผลิตรถยนต์แนะนำ
✅ หลีกเลี่ยงการขับรถลากรอบสูงหรือบรรทุกหนักเกินไป เพราะจะทำให้เกียร์เสื่อมเร็ว
✅ หากเริ่มมีอาการ เกียร์กระตุก, เปลี่ยนเกียร์ยาก, หรือมีเสียงดัง ควรตรวจเช็คทันที

🛠 สรุป: วิธีเช็คสีน้ำมันเกียร์ได้เองที่บ้าน

  1. ดึงก้านวัดน้ำมันเกียร์ออกมา
  2. หยดน้ำมันเกียร์ลงบนกระดาษทิชชู่สีขาว
  3. สังเกตสีตามตารางเปรียบเทียบ
  4. หากสี น้ำตาลเข้มหรือดำ + มีกลิ่นไหม้ ควรรีบเปลี่ยนทันที!

🔴 อย่ารอจนเกียร์พัง! เปลี่ยนน้ำมันเกียร์ตามระยะที่เหมาะสมเพื่อยืดอายุการใช้งานของเกียร์และขับขี่อย่างปลอดภัย 🚗💨


การเลือกน้ำมันเกียร์ที่เหมาะสมควรพิจารณาจากปัจจัยดังต่อไปนี้:

  • ประเภทของเกียร์: เลือกน้ำมันเกียร์ที่เหมาะสมกับประเภทของเกียร์รถยนต์ของคุณ เช่น เกียร์ธรรมดาหรือเกียร์อัตโนมัติ
  • ความหนืด: ตรวจสอบค่าเบอร์ความหนืดที่ผู้ผลิตรถยนต์แนะนำ
  • มาตรฐานและคุณสมบัติพิเศษ: เลือกน้ำมันเกียร์ที่มีมาตรฐานและคุณสมบัติที่ตรงตามความต้องการของรถยนต์ เช่น ทนต่อความร้อนสูง หรือมีสารป้องกันการสึกหรอ

การเลือกเบอร์หรือความหนืดของน้ำมันเกียร์ควรอ้างอิงตามคู่มือรถยนต์ของแต่ละรุ่น เนื่องจากผู้ผลิตจะระบุสเปกที่เหมาะสมไว้แล้ว อย่างไรก็ตาม น้ำมันเกียร์มักจะมีการระบุค่าเบอร์ความหนืด เช่น SAE 75W-90, 80W-90 เป็นต้น ซึ่งตัวเลขเหล่านี้บ่งบอกถึงความหนืดของน้ำมันเกียร์ในสภาวะอุณหภูมิต่าง ๆ แต่ถ้าสงสัยว่าเบอร์ของน้ำมันเกียร์บอกอะไร ก็ไปทำความเข้าใจรายละเอียดกันได้ดังนี้

น้ำมันเกียร์ที่มีเบอร์ระบุ เบอร์คืออะไร และบอกอะไรได้บ้าง?

“เบอร์” ของน้ำมันเกียร์ หมายถึงค่าความหนืด (Viscosity) ของน้ำมันเกียร์ ซึ่งกำหนดโดยมาตรฐานของ SAE (Society of Automotive Engineers) เพื่อช่วยให้ผู้ใช้เลือกน้ำมันเกียร์ที่เหมาะสมกับสภาพอากาศและการใช้งานของรถยนต์แต่ละประเภท

1. ความหมายของเบอร์น้ำมันเกียร์

เบอร์น้ำมันเกียร์ที่พบบ่อยจะอยู่ในรูปแบบ ตัวเลข + ตัวอักษร “W” หรือไม่มี W เช่น 75W-90, 80W-90, 85W-140 เป็นต้น โดยมีความหมายดังนี้:

  • ตัวเลขก่อน “W” → บอกค่าความหนืดของน้ำมันเกียร์ที่อุณหภูมิต่ำ (Winter)
  • ตัวเลขหลัง “W” → บอกค่าความหนืดของน้ำมันเกียร์ที่อุณหภูมิสูง (ที่อุณหภูมิ 100°C)

ตัวอย่างเช่น:

  • 75W-90 → สามารถใช้ในอุณหภูมิต่ำได้ดี และมีค่าความหนืดที่อุณหภูมิสูงเท่ากับเบอร์ 90
  • 85W-140 → ทนต่อความร้อนและแรงกดสูงกว่า 75W-90 เหมาะสำหรับงานหนัก

2. ประเภทของน้ำมันเกียร์ตามเบอร์ SAE

น้ำมันเกียร์แบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลักตามความหนืด ได้แก่:

ประเภทตัวอย่างเบอร์น้ำมันเกียร์ลักษณะการใช้งาน
น้ำมันเกียร์เบอร์เบา (ความหนืดต่ำ)75W-80, 75W-90เหมาะสำหรับเกียร์ธรรมดาและรถยนต์ทั่วไป ช่วยให้เปลี่ยนเกียร์ลื่นไหลในสภาพอากาศเย็น
น้ำมันเกียร์เบอร์หนัก (ความหนืดสูง)80W-90, 85W-140เหมาะสำหรับรถบรรทุก, รถที่บรรทุกหนัก หรือใช้งานในอุณหภูมิสูง ช่วยป้องกันการสึกหรอของเกียร์

3. วิธีเลือกเบอร์น้ำมันเกียร์ให้เหมาะสม

📌 ตรวจสอบคู่มือรถยนต์ เพื่อดูว่าแนะนำให้ใช้น้ำมันเกียร์เบอร์ไหน
📌 หากขับขี่ในพื้นที่อากาศเย็น ควรเลือกเบอร์ที่มีตัวเลข W ต่ำ เช่น 75W-90
📌 หากใช้งานหนัก หรือขับขี่ในพื้นที่อากาศร้อนอย่างเมืองไทย ควรเลือกเบอร์ที่มีค่าความหนืดสูงขึ้น เช่น 85W-140

สรุปคือ เบอร์น้ำมันเกียร์เป็นตัวบ่งบอกค่าความหนืดของน้ำมันเกียร์ที่อุณหภูมิต่างๆ การเลือกใช้เบอร์น้ำมันเกียร์ที่เหมาะสมช่วยให้เกียร์ทำงานได้ราบรื่น ลดการสึกหรอ และยืดอายุการใช้งานของรถยนต์ 🚗


หากไม่เปลี่ยนน้ำมันเกียร์ตามระยะเวลาที่เหมาะสม อาจส่งผลเสียต่อระบบเกียร์ของรถยนต์ในหลายด้าน ดังนี้

1. เกียร์เสื่อมสภาพเร็วขึ้น

น้ำมันเกียร์ทำหน้าที่หล่อลื่นและลดการเสียดสีของชิ้นส่วนภายในเกียร์ เมื่อใช้งานเป็นเวลานาน น้ำมันเกียร์จะเสื่อมสภาพ สูญเสียความหนืดและประสิทธิภาพในการปกป้อง ส่งผลให้ชิ้นส่วนเกียร์เกิดการสึกหรอเร็วกว่าปกติ

2. เกียร์เปลี่ยนยาก หรือกระตุก

เมื่อน้ำมันเกียร์เสื่อมคุณภาพ อาจทำให้การเปลี่ยนเกียร์ไม่ราบรื่น เช่น เกียร์กระตุก หน่วง หรือมีอาการกระชากขณะขับขี่ ซึ่งอาจทำให้รถยนต์เกิดอาการสะดุดและลดประสิทธิภาพในการขับขี่

3. เครื่องยนต์ทำงานหนักขึ้น

น้ำมันเกียร์ที่สกปรกและเสื่อมสภาพจะทำให้เกียร์ทำงานผิดปกติ ส่งผลให้เครื่องยนต์ต้องใช้แรงมากขึ้นเพื่อส่งกำลังไปยังล้อ ทำให้กินน้ำมันเชื้อเพลิงมากขึ้นและสิ้นเปลืองพลังงาน

4. เกิดความร้อนสะสมในระบบเกียร์

น้ำมันเกียร์ช่วยระบายความร้อนภายในระบบเกียร์ หากน้ำมันหมดสภาพ จะทำให้ความร้อนสะสมมากขึ้น ส่งผลให้เกียร์ร้อนจัดและอาจเกิดความเสียหายร้ายแรง

5. อายุการใช้งานของเกียร์ลดลง

หากปล่อยให้น้ำมันเกียร์เสื่อมสภาพโดยไม่เปลี่ยนถ่าย อาจทำให้เกียร์สึกหรอจนเสียหายรุนแรง และอาจต้องซ่อมหรือเปลี่ยนทั้งระบบเกียร์ ซึ่งมีค่าใช้จ่ายสูง

6. เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ

เกียร์ที่ทำงานผิดปกติอาจส่งผลต่อการควบคุมรถ เช่น เกียร์ลื่น หรือเกียร์ไม่เปลี่ยนตามต้องการ ซึ่งอาจทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ โดยเฉพาะเมื่อขับขี่ด้วยความเร็วสูง

💡 สรุปก็คือการเปลี่ยนน้ำมันเกียร์ตามระยะเวลาที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญในการรักษาสภาพรถยนต์ ช่วยให้เกียร์ทำงานราบรื่น ประหยัดน้ำมัน และลดความเสี่ยงต่อความเสียหายร้ายแรง ควรตรวจสอบและเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเกียร์ตามคำแนะนำของผู้ผลิตเพื่อยืดอายุการใช้งานของรถยนต์ของคุณ


สำหรับการเลือกน้ำมันเกียร์ที่เหมาะสมกับรถยนต์ของคุณ นี่คือสามแบรนด์และรุ่นที่ได้รับความนิยมและมีคุณภาพ:

  1. Castrol Transmax Dex/Merc ATF
    • คุณสมบัติ: เหมาะสำหรับเกียร์ออโต้ที่ต้องการสเปก Dexron III หรือ Mercon ให้การปกป้องและประสิทธิภาพการทำงานที่ดี
    • ราคา: ประมาณ 250 – 300 บาท ต่อลิตร
  2. Mobil ATF 3309
    • คุณสมบัติ: ออกแบบมาสำหรับเกียร์อัตโนมัติที่ต้องการสเปก JWS 3309 มีความเสถียรทางความร้อนและป้องกันการสึกหรอ
    • ราคา: ประมาณ 375 บาท ต่อลิตร
  3. Valvoline MaxLife ATF
    • คุณสมบัติ: เหมาะสำหรับเกียร์อัตโนมัติที่มีอายุมากกว่า 120,000 กิโลเมตร มีสารเพิ่มความหนืดเพื่อป้องกันการรั่วซึม
    • ราคา: ประมาณ 250 – 450 บาท ต่อลิตร

ควรตรวจสอบความเข้ากันได้ของน้ำมันเกียร์กับรถยนต์ของคุณก่อนการใช้งานเสมอ

ที่มา: Cockpit, Totalenergies

Nin ST

Joined SEO team in 2023, Nin enjoyed creating lifestyle, home & living, and pets-related articles for share as she has furbabies herself - 4 fluffy British short-hair cats :)

Share
Published by
Nin ST

Recent Posts

10 บทสวดเรียกลูกค้า เสกความปังจนหัวกระไดไม่แห้ง ลองแล้วขายดีจริง!

รวมบทสวดเรียกลูกค้า รวมของดีเรียกลูกค้าเข้าร้าน เสริมดวงค้าขายให้เฮง! ทั้งคาถาเงินล้าน คาถาหัวใจเศรษฐี คาถาบูชาพระสีวลี มูง่าย ๆ เรียกลูกค้าเข้าร้านได้จริง

22 hours ago

มาป้ายยา! 28 สินค้าไทยที่คนต่างชาติชอบ และเลิฟสุด ๆ

เช็กลิสต์ 28 สินค้าไทยที่คนต่างชาติชอบ มีอะไรบ้าง! พร้อมเหตุผลที่ของฝากยอดฮิตจากไทยเหล่านี้ถึงเป็น Must Buy สำหรับนักท่องเที่ยว!

23 hours ago

แอร์เย็นฉ่ำ ค่าไฟไม่พุ่ง! 8 วิธีง่าย ๆ เปิดแอร์ยังไงให้ประหยัดไฟ พร้อมแนะนำแอร์รุ่นประหยัดไฟ ที่ห้ามพลาด!

8 เทคนิคง่ายๆ เปิดแอร์ยังไงให้ประหยัดไฟ ช่วยลดค่าไฟได้จริง! พร้อมแนะนำแอร์รุ่นประหยัดไฟ 2025 คุ้มค่าน่าลงทุน และคำถามยอดฮิตเกี่ยวกับการเปิดแอร์

23 hours ago

กู้ผิวโทรมให้ปัง! 11 มาส์กหน้ายี่ห้อไหนดี ช่วยฟื้นฟู ทำให้ผิวดูอิ่มฟู เนียนนุ่ม ฉ่ำเด้ง สวยจริงไม่จกตา!

เปิดลิสต์ 11 มาสก์หน้ายี่ห้อไหนดี ที่ช่วยฟื้นฟูผิวให้ เรียบเนียนขึ้น เปลี่ยนผิวคุณให้สวยปัง! พร้อมไขข้อข้องใจ มาสก์หน้าทุกวันได้ไหม ตัวไหนเหมาะกับคุณ

24 hours ago

ปัดแก้มสวยฉ่ำ! 15 บลัชออน ยี่ห้อไหนดี สีสวยชัด ติดทน มีตั้งแต่ราคาเบา ๆ จนถึงเคาน์เตอร์แบรนด์

คัดให้แล้ว 15 บลัชออน ยี่ห้อไหนดี ทั้งเนื้อฝุ่น เนื้อครีม หรือเนื้อลิควิด สีสวยชัด เม็ดสีแน่น เหมาะกับทุกสีผิว พร้อมเทคนิคเลือกบลัชออนให้เข้ากับลุค

3 weeks ago

ไอเทมเด็ดที่สาว ๆ ต้องมี! 12 เครื่องหนีบผม ยี่ห้อไหนดี ร้อนเร็ว ผมไม่เสีย ผมสวยได้ไม่ต้องเข้าร้าน

ผมชี้ฟู ผมหยิก ผมหยักศก ผมลีบแบน จัดทรงยาก นับเป็นปัญหาที่กวนใจของสาว ๆ หลายคน ถ้าปล่อยให้ผมไม่เป็นทรงออกจากบ้าน สาว ๆ หลายคนแก้ปัญหาด้วยกันมัดผม ไม่กล้าปล่อย เพราะไม่มั่นใจ ซึ่งอาจจะทำให้เสียบุคลิกได้…

3 weeks ago