“เริ่มจากการหยิบเอาวัตถุดิบง่าย ๆ ที่หาได้ทั่วไปในท้องถิ่น นำมาเพิ่ม value ด้วยการทำเป็นอาหารโดยใช้สูตรพิเศษที่คิดค้นขึ้นเอง จนปัจจุบันนี้ทางร้านกำลังเตรียมทำโรงงานผลิตเพื่อการขอมาตรฐานสำหรับจำหน่ายในไทยและส่งออก“
หัวข้อต่างๆ ของบทความนี้
เล่าประวัติความเป็นมาของธุรกิจ
ร้าน Wangwara Food เริ่มมาจากน้องสาวเลยค่ะ เขาเป็นคนชอบทำอาหารและทำงานอยู่ร้านอาหารอิตาเลียน เลยชอบคิด ชอบดัดแปลงเมนู ไอเดียเริ่มแรกมาจากการหยิบเอาวัตถุดิบที่โดยทั่วไปจะมีติดบ้านกันอยู่แล้วอย่าง ‘กากหมู’ มาใช้ แต่ก็ติดว่าคนส่วนใหญ่จะไม่กล้ากิน เพราะกลัวอ้วน ทำให้ไม่ค่อยมีใครกล้าที่จะซื้อกินเดี่ยว ๆ เลยเอากากหมูมาดัดแปลงและปรับสูตรจนเกิดเป็นน้ำพริกกากหมูรสเด็ดขึ้นมา จากนั้นจึงเริ่มทำน้ำพริกอื่น ๆ โดยใช้วัตถุดิบที่มีหาได้ง่าย ๆ ทั่วไปเหมือนกัน อย่างแถวนี้ปลาสลิดก็คือเป็นของขึ้นชื่อ ก็เลยทำอีกหนึ่งเมนูอย่างน้ำพริกปลาสลิดด้วย แต่ตัวที่พลาดไม่ได้เลยคือ ‘พริกทอดกรอบ’ ที่กำลังเป็นที่นิยมกันอย่างมากในตอนนี้
อุปสรรคในการทำธุรกิจ Wangwara Food คืออะไร?
เรื่องแรกเลยคือเงินทุน การจะทำธุรกิจอะไรสักอย่างปฏิเสธไม่ได้เลยว่าต้องใช้เงินทุน และทุกบาททุกสตางค์ที่ลงไปก็คือความความเสี่ยงทั้งนั้น อย่างในช่วงแรกมีขายทั้งออนไลน์ และออฟไลน์ เช่น ฝากร้านขายสินค้า และออกบูธต่าง ๆ แต่พบว่า ยอดขายที่เกิดขึ้นมาจากออนไลน์มากกว่าและคุ้มกว่า จึงหันมาเป็นช่องทางออนไลน์อย่างเดียว เพื่อทำการตลาดและควบคุมต้นทุนต่าง ๆ ได้ดีขึ้น ปัจจุบันจึงมีช่องทางจำหน่ายทั้งเว็บไซต์, เฟซบุ๊ก, ไลน์ และ shopee
อีกเรื่องหนึ่งเลยคือการสร้างแบรนด์ เรามองว่าน้ำพริกเป็นสินค้าที่มีคู่แข่งเยอะ ผู้บริโภคก็มีตัวเลือกมากมาย หลากหลายราคา การที่เราเริ่มต้นใหม่ ร้านก็ยังไม่เป็นที่รู้จัก จะก้าวเข้าไปยืนอยู่ในตลาดนี้ได้ก็ต้องใช้ความพยายามอย่างมาก ทั้งการสร้างแบรนด์ สร้างความน่าเชื่อถือ ให้เป็นที่รู้จักในกลุ่มผู้บริโภค
แล้วทำอย่างไรให้ประสบความสำเร็จ
เมื่อเรารู้ว่าทำแบบออฟไลน์ไม่ได้ผล ก็เลยหันมาขายแบบออนไลน์ เราทุ่มเทศึกษาข้อมูลต่าง ๆ เพื่อหาแนวทางที่เหมาะสมกับสินค้าเราให้มากที่สุด เรื่องเทคนิคการขายเราก็เข้าร่วมโครงการ Shopee Bootcamp ซึ่งช่วยเพิ่มเทคนิคการขายและสร้างรายได้ได้อย่างมาก
นอกจากนี้สิ่งที่เราให้ความสำคัญก็คือ ต้องใส่ใจกับลูกค้าในทุกกระบวนการซื้อ ตั้งแต่การให้ข้อมูลของสินค้าต่าง ๆ อย่างชัดเจน การจัดโปรโมชั่นและให้ส่วนลดต่าง ๆ เพื่อเป็นการตอบแทนลูกค้าอยู่เสมอ อีกทั้งยังใส่ใจเรื่องการตอบข้อสงสัยของลูกค้าอย่างรวดเร็ว พร้อมทั้งรีบจัดส่งสินค้าให้อย่างทันท่วงที ทั้งนี้เนื่องจากเราคิดว่า ‘ความใส่ใจ’ หรือ service mind จะสามารถช่วยดึงดูดลูกค้า พร้อมทั้งสร้างความประทับใจที่ทำให้เกิดการกลับมาซื้อซ้ำและเกิดการบอกต่ออีกด้วย
สุดท้ายนี้เมื่อเรามีลูกค้ามากขึ้น เราก็ยังไม่หยุดพัฒนาในส่วนของการสร้างแบรนด์ พัฒนาบรรจุภัณฑ์ และปรับปรุงสูตรน้ำพริกจนได้รับฟีดแบกจากลูกค้าที่น่าพอใจ
ความสำเร็จในการทำธุรกิจปัจจุบัน
ต้องบอกว่าการขายผ่านออนไลน์นั้นมีส่วนช่วยในการเพิ่มยอดขายให้ทางร้านได้เยอะมากจริง ๆ ทำให้ยอดขายเพิ่มขึ้น 2-3 เท่าต่อปี และหลังจากเข้าร่วมโครงการเรียนออนไลน์อย่าง ช้อปปี้บูทแคมป์ แล้วก็สามารถเพิ่มยอดขายได้ถึง 271% ภายในระยะเวลาแค่ 3 เดือน ทั้งหมดนี้คือความพยายาม ขยันหมั่นเรียนรู้ และพัฒนาแบรนด์ ทำให้ปัจจุบันนี้ทางร้านกำลังเตรียมทำโรงงานผลิตเพื่อการขอมาตรฐานสำหรับจำหน่ายในไทยและส่งออก
บทส่งท้ายฝากถึงเจ้าของธุรกิจท่านอื่น ๆ
อยากเป็นกำลังใจให้แก่เพื่อน ๆ นักขายที่มีความฝันเดียวกันค่ะ จริง ๆ การทำธุรกิจมันไม่ได้น่ากลัวเลยเพียงแค่เรามีความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะทำจริง ๆ อย่ากลัวความล้มเหลว “หากคุณคิดว่าคุณกำลังล้มเหลว มันก็แค่อีกหนึ่งวิธีที่ไม่ได้ผล แต่คุณไม่ได้ล้มเหลว” และสุดท้ายนี้ “ความฝันเป็นของเรา จึงต้องเป็นเราเท่านั้นที่มีหน้าที่ทำให้มันเป็นจริง” อย่าท้อแล้วสู้ไปกับมันค่ะ