Categories: Cars

ยางรถยนต์ใช้ได้กี่ปี? วิธีการประเมินสภาพยางเบื้องต้นด้วยตนเอง

เมื่อถึงเวลาต้องมาดูแลรถยนต์ ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง ตรวจสภาพแบตเตอรี่รถยนต์ หรือเช็กระบบช่วงล่าง สิ่งหนึ่งที่ไม่ควรมองข้ามคือ ‘ยางรถยนต์’ เพราะยางคือจุดสัมผัสเดียวระหว่างรถกับถนน หากยางหมดสภาพ ไม่ว่าจะเป็น อายุ วิ่งน้อย มาก หรือสึกไม่เท่ากัน ก็อาจเสี่ยงเรื่องสมรรถนะการขับขี่ ความปลอดภัย และอาการรถสั่น ในบทความนี้ เราจะมาเจาะลึกว่า ยางรถยนต์ใช้ได้กี่ปี รวมถึงประเภทยางรถยนต์, อาการรถสั่น และสัญญาณเตือนต่างๆ ที่ควรรู้

หัวข้อต่างๆ ของบทความนี้

อายุยางรถยนต์โดยเฉลี่ย

ในภาพรวม แม้จะไม่มีตัวเลข “ใช้ได้กี่ปี” ที่ตายตัว แต่จากคำแนะนำผู้ผลิตและผู้เชี่ยวชาญ ยางรถยนต์ทั่วไปมีอายุการใช้งานเฉลี่ยประมาณ 3 – 5 ปี ภายใต้การใช้งานตามปกติ โดยเฉลี่ยขับปีละ ประมาณ 19,000–24,000 กม. นอกจากนี้แม้ยางจะวิ่งน้อย แต่อายุของยางก็เป็นปัจจัยสำคัญ เพราะยางเก่าจะเสื่อมสภาพจากหลายปัจจัยได้ แม้ดอกยางยังดูดีอยู่ แนะนำให้เปลี่ยนเมื่ออายุเกิน 6–10 ปีตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญ

หากใช้รถใช้งานตามปกติ ก็ควรเริ่มเช็กสภาพยางเมื่อยางอายุราว 5 ปี และควรพิจารณาเปลี่ยนเมื่ออายุ 6 – 10 ปี หรือเมื่อมีสัญญาณชัดเจนว่าเสื่อมสภาพ

ปัจจัยอะไรบ้าง ส่งผลต่ออายุการใช้งานยาง

แม้จะมีเกณฑ์คร่าวๆ ว่ายางใช้ได้ราว 3 – 5 ปี แต่จริงๆ แล้วอายุใช้งานของยางแต่ละเส้นขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น สภาพถนน, ประเภทการใช้, การดูแลรักษา ฯลฯ ซึ่งถ้าดูแลดี อาจยืดได้มากกว่า หรือถ้าใช้งานหนัก อาจสั้นกว่านั้น โดยปัจจัยที่ส่งผลต่ออายุการใช้งานของยาง อาทิ 

ประเภทการขับขี่

ลักษณะการขับขี่เป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลโดยตรงต่ออายุยางรถยนต์ หากขับด้วยการเร่งเครื่องกะทันหัน เบรกแรงบ่อย หรือเข้าโค้งด้วยความเร็วสูง จะทำให้ยางสึกหรอเร็วกว่าปกติ เพราะยางต้องรับแรงเสียดทานและแรงกดที่มากขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะยางหน้า มักสึกเร็วกว่ายางหลังในรถขับเคลื่อนล้อหน้า อีกทั้งการขับบนถนนขรุขระหรือมีหลุมบ่อบ่อย ๆ ยังส่งผลให้โครงสร้างภายในยางเสียหาย เกิดบวม หรือฉีกขาดได้ง่าย 

การขับแบบนุ่มนวล รักษาความเร็วคงที่ และหลีกเลี่ยงถนนสภาพแย่จึงช่วยยืดอายุยางได้มาก

ภูมิอากาศและสภาพแวดล้อม

ยางเป็นวัสดุที่ไวต่ออุณหภูมิและแสงแดด ยิ่งอยู่ในสภาพอากาศร้อนจัดหรือโดนแดดแรงตลอดเวลา ยางจะเกิดการ “แห้งแข็ง” และ “แตกร้าว” จากการเสื่อมของสารเคมีในเนื้อยาง นอกจากนี้ ความชื้นสูงหรือการเก็บยางในที่ร้อนและอับ ก็ทำให้ยางเสื่อมเร็วจากเชื้อราและปฏิกิริยาออกซิเดชันได้เช่นกัน 

ดังนั้น หากต้องจอดรถกลางแจ้งบ่อย ควรใช้ผ้าคลุมหรือหาที่ร่ และหากเก็บยางสำรองควรเก็บในที่เย็น แห้ง และไม่มีแสงแดดโดยตรง เพื่อยืดอายุการใช้งาน

การดูแลรักษา

 การดูแลยางอย่างถูกวิธีเป็นสิ่งที่ช่วยยืดอายุได้ชัดเจน เช่น เติมลมยางให้ได้ค่ามาตรฐานเสมอ เพราะลมอ่อนเกินไปจะทำให้ยางสึกที่ขอบด้านนอก ส่วนลมแข็งเกินไปจะสึกตรงกลาง การหมุนยางทุก 10,000 กิโลเมตร และการตั้งศูนย์–ถ่วงล้อให้ถูกต้องช่วยให้ยางสึกเท่ากันทั้งสี่เส้น หากละเลยขั้นตอนเหล่านี้ ยางจะสึกไม่สม่ำเสมอ เสียสมดุล และอาจทำให้ช่วงล่างหรือระบบพวงมาลัยเสียหายได้ในระยะยาว การดูแลสม่ำเสมอจึงเท่ากับเป็นการลงทุนเพื่อความปลอดภัยและประหยัดค่าใช้จ่ายในอนาคต

ประเภทยาง

ยางแต่ละชนิดถูกออกแบบมาให้เหมาะกับสไตล์การขับที่ต่างกัน เช่น ยางสมรรถนะสูง (Performance Tire) จะเกาะถนนดีเยี่ยมและให้การตอบสนองไว แต่เนื้อยางนิ่มจึงสึกเร็ว ส่วนยางออลซีซั่น (All Season) หรือยางประหยัดน้ำมันจะมีอายุใช้งานนานกว่า ในขณะที่ยางสำหรับฤดูหนาว (Winter Tire) ถูกผลิตให้ยืดหยุ่นในอุณหภูมิต่ำ แต่เมื่อใช้ในเมืองไทยที่อากาศร้อนจัดจะเสื่อมสภาพไวเกินไป การเลือกประเภทยางให้เหมาะกับสภาพถนนและการใช้งานของตนเอง จึงเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ยางอยู่กับเราได้นานขึ้นอย่างปลอดภัย

อ่านเพิ่มเติม : ประเภทยางรถยนต์ แบบไหนดี? เทคนิคเลือกยาง เพื่อประสบการณ์การขับขี่

วิธีดูปียางรถยนต์ ดูตรงไหน

ก่อนที่เราจะเจาะลึก วิธีอ่านปีผลิต ยางเสื่อม สัญญาณเตือน ขอเกริ่นนำว่า การดู “ปียางรถยนต์” คือการตรวจสอบว่า ยางแต่ละเส้นผลิตเมื่อไหร่ เพื่อประเมินอายุจริงของยาง ซึ่งเป็นขั้นตอนสำคัญในการตอบคำถาม “ยางรถยนต์มีอายุการใช้งานกี่ปี”

การอ่านตัวเลข DOT บนแก้มยาง

ยางทุกเส้นจะมีตัวเลขบนแก้มยางที่เรียกว่า “DOT Code” ซึ่งแสดงวันที่ผลิตโดยยี่ห้อที่จดทะเบียนกับทางการในสหรัฐอเมริกา แม้ในประเทศไทยก็มีการระบุคล้ายกัน ซึ่งช่วยให้เรารู้ว่า ยางเส้นนี้ผลิตเมื่อสัปดาห์ที่เท่าใดของปีใด โดยทั่วไป 

ยางผลิตหลังปี 2000 จะมีตัวเลข 4 หลักสุดท้าย เช่น “2319” 

หมายถึง สัปดาห์ที่ 23 ของปี 2019 → ซึ่งแปลว่ายาง ณ วันนี้ (2025) ก็มีอายุอยู่ราว 6 ปีครึ่ง เป็นต้น

ตัวอย่างวิธีดูปีผลิตยาง

  • ตรวจแก้มยางด้านข้าง เส้นที่ระบุ “DOT XXXX 2319” → หมายถึง ผลิตสัปดาห์ที่ 23 ของปี 2019
  • ถ้าเจอ “DOT XXXX 4018” → หมายถึง ผลิตสัปดาห์ที่ 40 ของปี 2018 → อายุราว 7 ปี ณ ปัจจุบัน
  • หากยางไม่มีตัวเลขครบ หรือเป็นรุ่นก่อนปี 2000 (ตัวเลข 3 หลัก) ถือว่า “อายุยางอาจมากกว่า 10 ปี” และควรเปลี่ยนทันที

รหัสและตัวเลขบนยางที่มีความหมายว่าอะไร

  • P ยางประเภทนี้ถูกออกแบบสำหรับใช้กับยางรถยนต์นั่ง รวมถึงยางรถตู้ขนาดเล็ก รถอเนกประสงค์ และรถปิคอัพ แต่ถ้าหากเป็น LT ใช้กับยางรถปิคอัพ
  • 225: ความกว้างของขนาดยาง โดยมีหน่วยเป็นมิลลิเมตร ซึ่งยางรุ่นนี้มีความกว้างอยู่ที่ 225 มิลลิเมตร
  • 70 อัตราส่วนระหว่างความสูงกับความกว้างของยางที่มักจะทำเป็นจำนวนเต็ม โดยการคูณด้วย 100 แล้วเรียกว่า ซีรี่ส์ ซึ่งขนาดยางเท่ากับ 70 ก็คือ ยางสูงเป็น 70% ของความกว้างอัตราส่วนขนาดล้อรถ โดยางที่มีสมรรถนะในการเกาะถนนดีจะซีรีส์ต่ำ ๆ เช่น ซีรีส์ 55 จะเกาะถนนได้ดีกว่าซีรีส์ 70 นั่นเอง
  • R โครงสร้างยางเรเดียลซึ่งจะเป็นยางที่มีโครงสร้างแบบชั้นผ้าใบเส้นลวดพันอยู่รอบยางทำมุมทะแยงกับเส้นรอบวงของยาง แต่ถ้าเป็น D ก็คือ DIAGONAL หรือ BIAS PLY (ยางผ้าใบ)
  • 16 เส้นผ่านศูนย์กลางของล้อ มีหน่วยเป็นนิ้วซึ่งจะบ่งบอกว่าขนาดของกะทะล้อที่สามารถใส่ประกอบยางได้ เช่น 16 คือ สามารถใส่กับกะทะล้อที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 16 นิ้ว หรือเรียกว่า ยางรถยนต์ขอบ 16
  • 91 ดัชนีการรับน้ำหนัก แสดงถึงความสามารถในการรับน้ำหนักซึ่งยางเส้นนี้สามารถรับน้ำหนักได้ 615 กิโลกรัม รถ 1 คันมียาง 4 เส้นก็จะสามารถรับน้ำหนักได้ถึง 2,460 กิโลกรัม
  • S ดัชนีระบุความเร็วยางแสดงถึงความสามารถในการใช้ความเร็วสูงสุดที่ยางมีขีดความสามารถเช่น S สามารถใช้อัตราความเร็วได้สูงสุด 180 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ในขณะที่ยางที่มีอัตราความเร็วเท่ากับ R สามารถใช้อัตราความเร็วได้สูงสุด 170 กิโลเมตรต่อชั่วโมงซึ่งยางที่มีดัชนีความเร็วสูง ย่อมมีสมรรถนะในการยึดเกาะถนนได้ดี

สัญญาณเตือนว่าควรเปลี่ยนยางใหม่

สัญญาณเตือนว่ายางถึงเวลาต้องเปลี่ยน มักเริ่มจากอาการเล็ก ๆ ที่หลายคนมองข้าม เช่น เสียงดังผิดปกติระหว่างขับ รถสั่น หรือการควบคุมพวงมาลัยที่ไม่มั่นคง หากสังเกตเห็นอาการเหล่านี้ ควรรีบตรวจสอบสภาพยางทันที เพราะอาจเกิดจากการสึกไม่เท่ากัน โครงสร้างยางเสียหาย หรือยางเริ่มแข็งตัวจากอายุการใช้งานที่ยาวนาน 

การเปลี่ยนยางใหม่ตามเวลา ไม่เพียงช่วยลดความเสี่ยงอุบัติเหตุ แต่ยังช่วยให้รถเกาะถนนดีขึ้น เบรกสั้นลง และประหยัดน้ำมันมากขึ้นด้วย ถือเป็นการดูแลทั้งความปลอดภัยและประสิทธิภาพของรถในระยะยาว

ดอกยางสึก – แตก – บวม

ดอกยางสึก แตก หรือบวม เป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่ายางถึงจุดเสื่อมสภาพและควรเปลี่ยนทันที ดอกยางที่สึกจนตื้นกว่าระดับขีดจำกัด (ประมาณ 1.6 มม.) จะทำให้การรีดน้ำลดลง เสี่ยงต่อการลื่นไถลเมื่อขับบนถนนเปียก ส่วนรอยแตกตามแก้มยางหรือขอบยางมักเกิดจากการเสื่อมของเนื้อยางตามอายุหรือโดนแสงแดดรุนแรงเป็นเวลานาน 

ขณะที่อาการ “บวม” เกิดจากโครงสร้างภายในยางเสียหาย ทำให้เนื้อยางโป่งพอง ซึ่งอาจนำไปสู่การระเบิดได้โดยไม่ทันตั้งตัว หากพบอาการเหล่านี้ไม่ว่าจะเพียงเล็กน้อย ควรนำรถเข้าตรวจเช็กหรือเปลี่ยนยางใหม่ทันทีเพื่อความปลอดภัยสูงสุดในการขับขี่

รถสั่นเมื่อขับด้วยความเร็ว

อาการรถสั่นเมื่อขับด้วยความเร็ว มักเกิดจาก “ความไม่สมดุลของล้อและยาง” ซึ่งอาจมาจากยางที่เริ่มหมดอายุหรือเสื่อมสภาพจากภายใน แม้ภายนอกจะดูปกติ หากโครงสร้างยางอ่อนตัวหรือแก้มยางเสียรูป ก็ทำให้แรงสั่นสะเทือนส่งขึ้นมาถึงพวงมาลัยได้โดยตรง 

อีกสาเหตุหนึ่งคือยางสึกไม่เท่ากัน หรือผ่านการกระแทกแรง ๆ จนทำให้ยางเบี้ยว เมื่อความเร็วสูงขึ้นแรงเหวี่ยงจะยิ่งขยายปัญหาให้ชัดเจนขึ้น หากละเลย อาจทำให้ช่วงล่างและลูกปืนล้อเสียหายตามมาได้ การตรวจเช็กสมดุลล้อและเปลี่ยนยางเมื่อถึงอายุที่เหมาะสมจึงเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อให้การขับขี่ราบรื่นและปลอดภัยทุกเส้นทาง

วิธีการประเมินสภาพยางเบื้องต้นด้วยตนเอง

เรามีทริคในการตรวจสอบยางรถยนต์ง่าย ๆ ดังนี้

  1. เช็กลมยาง ก่อนตัดสินใจจะเปลี่ยนยาง ควรตรวจเช็กลมยางทุกครั้งก่อนออกเดินทาง หรืออย่างน้อยเดือนละครั้งซึ่งปกติลมยางจะลดลงด้วยตัวเองประมาณ 2-3 ปอนด์ต่อตารางนิ้วต่อเดือน โดยสามารถดูความดันของยางรถยนต์ได้จากคู่มือประจำรถ ขอบประตูฝั่งคนขับ หรือฝาครอบถังน้ำมัน ค่าความดันมาก หรือน้อยขึ้นอยู่กับรุ่นและประเภทของรถ

    ยกตัวอย่าง รถนาย A เติมลมยางล่าสุดความดันอยู่ที่ 32 ปอนด์ ผ่านไป 1 เดือนอาจจะลดลงมาเหลือประมาณ 29-30 ปอนด์ได้นั่นเอง แต่หากขณะที่เติมตัวเลขแสดงต่ำกว่า 20 หรือเหลือเลขตัวเดียว รวมถึงขณะเติมเลขยังคงลดลงอาจจะหมายถึงยางคุณอาจจะรั่วซึม ควรเข้าศูนย์ หรืออู่เพื่อเช็คให้ละเอียด
  2. เช็กความลึกของดอกร่องยาง เป็นเรื่องที่สำคัญไม่แพ้กันซึ่งสามารถตรวจสอบได้ง่าย ๆ เพื่อตัดสินใจเปลี่ยนยางได้ถูกต้องและปกติแล้วจะมีการควรตรวจเช็กตามระยะทาง ทุกๆ 10,000 กิโลเมตร โดยปกรณ์ที่ใช้ ควรใช้เกจ์วัดความลึกดอกยางโดยเฉพาะเพื่อความแม่นยำที่เริ่มจากการเลื่อนปุ่มสีดำ ยืดเข็มวัดให้สุด จิ้มอุปกรณ์ที่ใช้วัดไปบนตำแหน่งร่องยางที่ลึกที่สุด เทียบกับความสูงของยางด้านบนสุด ถ้าความลึกของร่องดอกยางต่ำกว่า 2 มม. แสดงว่าถึงเวลาต้องเปลี่ยนยางเพราะหากปล่อยทิ้งไว้อาจนำไปสู่อุบัติเหตุได้ง่าย
  3. เช็กความเสียหายของยาง ทำได้ง่าย ๆ จากการมองสภาพยางภายนอกว่ามีลักษณะยวบยาบไม่แข็งแรงเหมือนเดิมหรือไม่ หรือมีรอยขีดข่วน มีรอยของมีคม ถ้าใช่ ควรนำไปปะ หรือเปลี่ยนยางโดยทันทีและทางที่ดีหมั่นเช็กสภาพยางรถยนต์ด้วยตัวเองทุกครั้ง รวมถึงเข้าศูนย์บริการตามกำหนด

เลือกยางยนต์อย่างไร ให้ใช้งานได้นาน

เพื่อให้ตอบคำถาม “ยางรถยนต์ใช้ได้กี่ปี” ได้ดีที่สุด เราควรเลือกยางที่เหมาะกับสภาพการขับของเรา และดูแลรักษาให้ถูกต้องเพื่อยืดอายุการใช้งาน

1. เลือกประเภทยางให้ตรงกับการใช้งาน

การเลือกยางให้เหมาะกับสไตล์การขับขี่เป็นสิ่งสำคัญ เพราะยางแต่ละประเภทถูกออกแบบมาเพื่อสภาพถนนและลักษณะการใช้งานที่ต่างกัน เช่น 

  • ยาง All-Season เหมาะสำหรับการขับทั่วไปในเมือง ให้ความสมดุลทั้งความนุ่มและความทน
  • ยาง Performance หรือ Sport ออกแบบให้เกาะถนนดีแต่เนื้อยางจะนิ่ม จึงสึกเร็วกว่า
  • ยาง Off-Road ที่เหมาะกับเส้นทางลุยโคลนหรือหิน

หากนำมาใช้บนถนนเรียบอาจสึกไวและเสียงดัง การเลือกให้เหมาะกับการใช้งานจริงช่วยลดความสึกหรอและยืดอายุยางให้คุ้มค่าที่สุด

2. คอยตรวจเช็กอายุผลิตบนแก้มยาง (DOT code)

ทุกครั้งที่ซื้อหรือเปลี่ยนยาง ควรสังเกตตัวเลข DOT บนแก้มยางซึ่งบอกสัปดาห์และปีที่ผลิต เช่น “2322” หมายถึงสัปดาห์ที่ 23 ของปี 2022 เพื่อให้มั่นใจว่ายางไม่เก่าค้างสต็อก เพราะแม้จะยังไม่ได้ใช้งาน แต่ยางที่เก็บไว้นานกว่า 3–4 ปี ก็เริ่มเสื่อมสภาพได้จากความร้อนและความชื้น การเลือกยางที่ผลิตใหม่ไม่เกิน 1 ปีจะช่วยลดปัญหาเนื้อยางแข็ง ดอกสึกเร็ว หรือแตกร้าวก่อนเวลา

3. ดูแลรักษาอย่างสม่ำเสมอ

การดูแลยางเป็นเรื่องเล็กที่ส่งผลใหญ่ เติมลมยางให้ถูกค่าเสมอ (ตรวจอย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง) เพราะลมอ่อนเกินไปทำให้ขอบยางสึกก่อน ส่วนลมแข็งเกินไปจะสึกตรงกลาง การหมุนยางทุก 10,000 กม. และตั้งศูนย์–ถ่วงล้อให้ถูกต้องช่วยให้ยางสึกเท่ากัน ลดแรงสั่นสะเทือนและเพิ่มความปลอดภัย การละเลยสิ่งเหล่านี้ไม่เพียงทำให้ดอกยางสึกเร็ว แต่ยังทำให้ช่วงล่างและพวงมาลัยเสียหายได้ด้วย

4. หลีกเลี่ยงการจอดรถกลางแดดจัดเป็นเวลานาน

แสงแดดและรังสี UV เป็นศัตรูตัวร้ายของเนื้อยาง เพราะจะทำให้ยางแห้ง แข็ง และแตกร้าวได้เร็ว การจอดกลางแดดตลอดวันโดยไม่มีผ้าคลุม ยางจะสูญเสียความยืดหยุ่นเร็วกว่าปกติหลายเท่า หากต้องจอดบ่อย ควรใช้ผ้าคลุมรถ หรือหาที่ร่มช่วยป้องกัน รวมถึงหากไม่ได้ใช้รถนานควรถอดยางออกเก็บไว้ในที่เย็น แห้ง เพื่อป้องกันการบวมและเสื่อมจากโอโซนในอากาศ

5. การใช้งานรถยนต์บนท้องถนน

รถที่ต้องบรรทุกน้ำหนักมาก วิ่งระยะไกล หรือขับในพื้นที่ขรุขระ ควรเลือกยางที่มีดัชนีรับน้ำหนัก (Load Index) และดัชนีความเร็ว (Speed Rating) เหมาะสมกับการใช้งาน เพราะยางทั่วไปอาจรับน้ำหนักเกินพิกัดจนเกิดอาการบวม แตก หรือระเบิดได้เร็ว การเลือกยางเกรด LT หรือ Reinforced สำหรับรถบรรทุกเบา/หนัก จะช่วยให้ทนต่อแรงกดและความร้อนได้ดีกว่า แม้อายุยางจะสั้นลงเล็กน้อยแต่ปลอดภัยและมั่นใจมากกว่าในการใช้งานจริง

การเลือกยางรถยนต์ให้ใช้งานได้นานไม่ใช่แค่เลือกแบรนด์ดังหรือราคาคุ้มค่าเท่านั้น แต่คือการเลือก “ยางที่เหมาะกับการขับขี่ของเรา” และดูแลอย่างถูกวิธี ตั้งแต่การตรวจลมยาง หมุนยางสม่ำเสมอ ไปจนถึงหลีกเลี่ยงแสงแดดและการใช้งานเกินพิกัด หากทำได้ครบทั้งเลือกและดูแล ยางจะมีอายุการใช้งานยาวนานขึ้น ขับขี่ปลอดภัย ประหยัดค่าใช้จ่าย 

สรุป

โดยสรุปแล้ว คำตอบของคำถาม “ยางรถยนต์ใช้ได้กี่ปี?” คือ ไม่มีตัวเลขตายตัว และขึ้นอยู่กับเงื่อนไขหลายประการ แต่หากใช้งานปกติและดูแลดี ยางรถยนต์ก็สามารถอยู่ในช่วงประมาณ 3 – 5 ปี ควรเริ่มเช็กสภาพอย่างจริงจัง และสำหรับการใช้ที่ยาวนานเกิน 5 ปี ก็ควรตรวจสภาพอย่างละเอียดและพิจารณาเปลี่ยนเมื่ออายุแตะ 6 – 10 ปี โดยเฉพาะหากมีสัญญาณเสื่อมสภาพ หรือ “ยางรถยนต์มีอายุการใช้งานกี่ปี” ก็อยู่ตรงช่วงนี้ล่ะครับ

FAQ คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ ยางรถยนต์ใช้ได้กี่ปี

ยางรถยนต์ 10 ปี ยังใช้ได้ไหม

ถ้ายางมีอายุ 10 ปี ถึงแม้ว่าดอกยางอาจยังดูดี แต่ก็มีความเสี่ยงสูงที่วัสดุยาง ภายในโครงสร้าง และแก้มยางจะเสื่อมสภาพ เช่น รอยแตก หรือการแยกชั้นโครงสร้าง ตามคำแนะนำของหลายผู้ผลิตว่าเมื่อยางอายุถึง 10 ปีควรเปลี่ยน ดังนั้น แม้ในทางทฤษฎียางอายุนั้นอาจ “ยังใช้งานได้” แต่ในด้านความปลอดภัย แนะนำ ไม่ควรใช้ ยางอายุถึง 10 ปีโดยไม่มีการตรวจสอบอย่างละเอียด

ดูยังไงว่ายางหมดสภาพแล้ว

มีหลายสัญญาณ เช่น ดอกยางสึกจนถึงขีดต่ำสุด แก้มยางมีรอยแตกหรือบวม รถสั่นหรือควบคุมลำบาก อายุยางมากเกิน 6–10 ปี โดยดูจาก DOT code หากเจอสัญญาณดังกล่าว ควรรีบเปลี่ยนยางใหม่ เพราะแม้ดอกยังเหลือ แต่โครงสร้างภายในยางอาจเสื่อมแล้ว

ยางรถยนต์ ควรเปลี่ยนทุกกี่กิโล

ไม่สามารถระบุเป็นกิโลเมตรที่ตายตัวได้ เพราะขึ้นอยู่กับประเภทยาง สภาพการใช้งาน และการดูแลรักษา โดยทั่วไป ยางทั่วไปอาจอยู่ได้ 50,000 – 60,000 ไมล์ (ประมาณ 80,000–96,000 กม.) สำหรับการใช้งานปกติ
แต่การใช้กี่กิโลไม่สำคัญเท่า อายุ + สภาพยาง ว่ายังอยู่ในเกณฑ์ปลอดภัยหรือไม่

บทความแนะนำ 

Pang

Share
Published by
Pang

Recent Posts

สัญลักษณ์รีโมทแอร์ คืออะไร? แปลความหมายทุกปุ่มที่ควรรู้

เข้าใจสัญลักษณ์บนรีโมทแอร์ บทความนี้รวมทุกสัญลักษณ์ที่ควรรู้ ตั้งแต่โหมดเย็น Dry Fan Auto ไปจนถึง Sleep Mode อ่านจบใช้แอร์ได้อย่างมืออาชีพ

4 days ago

ของใส่บาตรมีอะไรบ้าง? รวมไอเดียใส่บาตรข้าวสารอาหารแห้งให้ได้บุญ

มาดูรายการ ของใส่บาตร ข้าวสารอาหารแห้ง พร้อมแนะนำใส่กี่อย่างถึงจะดี ทั้งสะดวกและได้อานิสงส์เต็มที่ ใส่บาตรให้ได้บุญแล้ว ต้องรู้จักเลือกของถวาย อย่างเหมาะสมด้วย

5 days ago

เล่มเขียวมอเตอร์ไซค์คืออะไร สำคัญแค่ไหน หากหายทำอย่างไร

เล่มเขียวหายไม่ต้องตกใจ! มาดูวิธีขอเล่มทะเบียนมอเตอร์ไซค์ใหม่ ตั้งแต่เอกสารที่ใช้ ขั้นตอนที่ขนส่ง ไปจนถึงค่าใช้จ่าย พร้อมคำแนะนำสำหรับรถมือสอง

5 days ago

หม้ออบลมร้อนยี่ห้อไหนดี คัดมาแล้ว 11 รุ่นเด็ด เพื่อเมนูสุขภาพ ทำง่ายได้ทุกวัน

แนะนำหม้ออบลมร้อน แบบไหนดี สำหรับคนชอบทำอาหารในบ้าน พร้อมแนะนำรุ่นยอดนิยม ทั้งราคาน่าซื้อ ดีไซน์สวย และฟังก์ชันครบ

2 weeks ago

Soft Power คืออะไร? ถอดรหัส Soft Power ไทยที่สร้างมูลค่ามหาศาล

รู้จัก Soft Power พลังที่ขับเคลื่อนประเทศผ่านวัฒนธรรม แฟชั่น อาหาร และความคิดสร้างสรรค์ พร้อมยกตัวอย่าง Soft Power ของไทยที่กำลังสร้างชื่อบนเวทีโลก

2 weeks ago

รวมคำอวยพรวันเกิดผู้ใหญ่ ทั้งไทย-อังกฤษ ไม่พลาดทุกโอกาสสำคัญ

รวมคำอวยพรวันเกิดผู้ใหญ่ ทั้งภาษาไทยและอังกฤษกว่า 200 แบบ ใช้ได้กับเจ้านาย ลูกค้า หรือญาติผู้ใหญ่ พร้อมตัวอย่างคำพูดสุภาพและมารยาทที่ควรรู้

2 weeks ago