วันปิยมหาราช (Chulalongkorn Day) ตรงกับวันที่ 23 ตุลาคมของทุกปี เป็นวันคล้ายวันสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) เพื่อเป็นการเชิดชูและรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
หัวข้อต่างๆ ของบทความนี้
นอกจากวันปิยมหาราชจะเป็นวันหยุดราชการประจำปีแล้ว วันปิยมหาราชยังเป็นวันที่เหล่าพสกนิกรชาวไทยนำดอกไม้ธูปเทียนพวงมาลาไปถวายบังคมต่อพระบรมราชานุสรณ์ขององค์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวหรือพระปิยมหาราช ณ พระบรมรูปทรงม้าซึ่งตั้งอยู่ที่หน้าพระที่นั่งอนันตสมาคม และทำบุญตักบาตรอุทิศเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
วันปิยมหาราช ชื่อนี้มาจากพระสมัญญานามของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ว่า “สมเด็จพระปิยมหาราช” ซึ่งมีความหมายว่า พระมหากษัตริย์ที่ทรงเป็นที่รักยิ่งของปวงชน และเนื่องในวโรกาสที่ทรงครองราชย์ครบ 40 พรรษา ในปีพ.ศ. 2451 ประชาชนได้ร่วมกันสร้างพระบรมราชานุสาวรีย์ถวายพร้อมกับพระสมัญญานาม
ต่อมาในวัน 23 ตุลาคม พ.ศ. 2453 พระปิยมหาราชทรงประชวรด้วยโรคพระวักกะ (ไต) ได้เสร็จสวรรคคต ณ พระที่นั่งอัมพรสถานพระราชวังดุสิต ครั้งนั้นเป็นที่เศร้าเสียใจของประชาชนชาวไทยอย่างยิ่ง หลังจากนั้นในสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ทางราชการได้ประกาศให้ทุกวันที่ 23 ตุลาคมของทุกปี เป็น “วันปิยมหาราช”
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันอังคาร แรม 3 ค่ำ เดือน 10 ปีฉลู ตรงกับวันที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2396 เป็นพระราชโอรสองค์ที่สี่ในพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ประสูติแต่สมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี (พระนางเจ้าฟ้ารำเพยภมราภิรมย์) พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระนามเดิมว่า “สมเด็จเจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์” ซึ่งคำว่า “จุฬาลงกรณ์” นั้นแปลว่า เครื่องประดับผม อันหมายถึง “พระเกี้ยว” ที่มีรูปเป็นส่วนยอดของพระมหามงกุฎหรือยอดชฎา เมื่อพระชนมายุได้ ๙ พรรษา ทรงได้รับสถาปนาขึ้นเป็น “กรมหมื่นพิฆเนศวรสุรลังกาศ” ต่อมาเมื่อพระชนมายุได้ ๑๓ พรรษา ทรงได้รับสถาปนาขึ้นเป็น “กรมขุนพินิตประชานาถ”
1. สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจันทรมณฑล กรมหลวงวิสุทธิกระษัตริย์
2. สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจาตุรนต์รัศมี กรมพระจักรพรรดิพงศ์
3. สมเด็จพระราชปิตุลาบรมพงศาภิมุข เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช
ในด้านการศึกษา พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เริ่มทรงอักษรภาษาไทย ภาษาเขมร รวมถึงโบราณราชประเพณีในสำนักพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงวรเสรฐสุดาหลังจากนั้นได้ทรงศึกษาต่อในสำนักเจ้านายและขุนนางอื่น ๆ ในด้านภาษาบาลี วิชาปืนไฟ มวยปล้ำ กระบี่กระบอง คชกรรม อัศวกรรม นอกจากนี้ยังมีวิชารัฐประศาสนศาสตร์ราชประเพณี และโบราณคดี ได้ทรงร่ำเรียนจากสมเด็จพระราชบิดา
นอกจากนี้สมเด็จพระบิดาของพระองค์ได้เล็งเห็นความสำคัญขององค์ความรู้อื่น ๆ ที่ยังไม่มีในภาษาไทย จึงได้ทรงจ้างครูชาวอังกฤษมาสอนภาษาอังกฤษให้แก่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวอีกด้วย ทำให้หลังจากการขึ้นครองราชย์ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นกษัตริย์พระองค์แรกที่สามารถตรัสภาษาอังกฤษได้เป็นอย่างดี
เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (สมเด็จพระปิยมหาราช) มีพระชนมายุครบ 20 พรรษา จึงผนวชเป็นพระภิกษุในวันที่ 15 กันยายน พ.ศ.2416 ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม และเสด็จไปประทับที่วัดบวรนิเวศวิหารเป็นเวลา 15 วันแล้วจึงทรงลาสิกขา
ในสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้มีพระราชพิธีบรมราชาภิเษกถึง 2 ครั้งด้วยกัน
พระราชพิธีบรมราชาภิเษกครั้งที่ 1 เกิดขึ้นหลังจากพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคตจากไข้ป่าขณะเสด็จออกทอดพระเนตรปรากฎการณ์สุริยุปราคา เมื่อสิ้นแผ่นดินรัชกาลที่ 4 ในที่ประชุมได้ลงมติเอกฉันท์ที่ทูลเชิญพระองค์ขึ้นครองราชย์ต่อจากพระบิดา ในวันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ.2411 ในขณะนั้นมีพระชนมายุเพียง 15 พรรษา ดังนั้นจึงได้แต่งตั้งสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ จนกว่าพระองค์จะมีพระชนมายุครบ 20 พรรษา โดยได้รับการเฉลิมพระปรมาภิไธยว่า
“พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ฯ พระจุฬาลงกรณ์เกล้าเจ้าอยู่หัว”
พระราชพิธีบรมราชาภิเษกครั้งที่ 2 หลังจากทรงลาสิขาแล้ว ได้มีการจัดพระราชพิธีบรมราชาภิเษกครั้งที่ 2 ขึ้น เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2416 โดยได้รับการเฉลิมพระปรมาภิไธยในครั้งนี้ว่า
“พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ฯ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว”
ตลอดรัชสมัยของสมเด็จพระปิยมหาราช พระองค์ได้ทรงทำนุบำรุงประเทศด้วยพระปรีชาสามารถและสายพระเนตรอันยาวไกล ได้สร้างการเปลี่ยนแปลงสำคัญหลายครั้งแก่ประเทศ ทำให้ประเทศไทยก้าวหน้าอย่างรอบด้าน
พระราชกรณียกิจ ร.5 ที่สำคัญอย่างแรกคือ การประกาศเลิกทาส ด้วยพระเมตตาของพระองค์ที่เห็นเหล่าทาสถูกนายเงินกดขี่ข่มเหง ทำงานหนัก และถูกลงโทษอย่างทารุณ พระองค์ทรงเห็นว่าไม่ยุติธรรมและเล็งเห็นว่าทาสเป็นเครื่องถ่วงความเจริญของชาติ ในปีพ.ศ. 2411 ได้ทรงตราพระราชบัญญัติลดทาส จนถึงปีพ.ศ. 2448 จึงทรงตราพระราชบัญญัติเลิกทาส
ในปีพ.ศ.2431 สมเด็จพระปิยมหาราชได้ทรงให้ยกเลิกระบบจตุสดมภ์ที่ปกครองแบบเวียง วัง คลัง นา เพื่อให้หน้าที่รับผิดชอบไม่ซ้ำซ้อนและมีมาตรฐานเดียวกัน รวมถึงทดลองทำงานเป็นเวลาเหมือนประเทศตะวันตกคือ 8.30 – 16.00 น. ต่อมาในปีพ.ศ. 2435 ได้มีการขยายจากกรมเป็นกระทรวงทั้งสิ้น 12 กระทรวง เพื่อให้การทำงานชัดเจนมากขึ้น
หลังจากการประกาศเลิกทาส พระราชกรณียกิจ ร.5 ที่สำคัญตามมาคือด้านการศึกษา หลังจากที่ประชาชนเป็นไทมากขึ้น แต่ยังขาดความรู้ พระองค์ได้เปิดโอกาสให้ประชาชนทั่วไปเรียนหนังสือได้ และได้ตั้งโรงเรียนสามัญชนแห่งแรกของไทยชื่อว่า “โรงเรียนวัดมหรรณพาราม” รวมถึงมีการออกพระราชบัญญัติการศึกษาภาคบังคับ ให้คนไทยในสมัยนั้นเรียนหนังสืออย่างน้อย 3 ปี และให้วัดเป็นสถานที่เรียนหนังสือ
ในสมัยของสมเด็จพระปิยมหาราช ได้มีพระราชกรณียกิจที่สำคัญคือ การปฏิรูประเบียบการเงินการคลัง โดยได้มีการจัดตั้งหอรัษฎากรพิพัฒน์ และมีการจัดระเบียบการจัดเก็บภาษีเสียใหม่เพื่อให้เกิดสมดุลในการปกครอง
อีกหนึ่งพระราชกรณียกิจ ร.5 ที่เด่นชัดเป็นที่ประจักษ์แก่คนทุกรุ่นคือ ด้านการต่างประเทศ ซึ่งในสมัยของพระองค์ เป็นยุคของการล่าอาณานิคมของชาวตะวันตก แต่ด้วยพระปรีชาสามารถของสมเด็จพระปิยมหาราช ทำให้แผ่นดินไทยไม่ตกเป็นเมืองขึ้นของชาติตะวันตก ถึงแม้จำเป็นต้องเสียแผ่นดินบางส่วนไปบ้าง
ในปีพ.ศ.2424 สมัยรัชการของพระปิยมหาราช ทางกรมกลาโหมได้เริ่มนำโทรศัพท์เข้ามาทดลองใช้ที่กรุงเทพฯ ถึงสมุทรปราการ โดยกรมโทรเลขได้รับหน้าที่ในการจัดตั้งโทรศัพท์กลางเพื่อให้ประชาชนเช่าใช้
มีการวางระบบท่อประปาครั้งแรกในเดือนกรกฎาคม พ.ศ.2452 พร้อมทั้งทรงให้กักเก็บน้ำจากแม่น้ำเชียงรากและขุดคลองเพื่อส่งน้ำอีกด้วย ในด้านการคมนาคม ในหลวงรัชกาลที่ 5 ได้ทรงให้มีการเริ่มสร้างรถไฟไปนครราชสีมา และเส้นทางรถไฟสายกรุงเทพฯ – พระนครศรีอยุธยา อีกทั้งยังทรงให้สร้างสะพานและถนนอีกหลายสาย อีกทั้งยังโปรดเกล้าฯ ให้สร้างโรงพยาบาลศิริราช สร้างโรงงานไฟฟ้า และริเริ่มการไปรษณีย์
ในสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) ถือเป็นยุคแห่งความเจริญรุ่งเรือง ประเทศไทยพัฒนาในหลากหลายด้าน ด้วยพระปรีชาสามารถของพระปิยมหาราช ทำให้พระองค์ทรงเป็นที่รักของประชาชนชาวไทย ทุกวันที่ 23 ตุลาคมของทุกปี จึงถือเป็น “วันปิยมหาราช” ที่ทุกคนจะร่วมกันรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์
อ้างอิงจาก: dmc.tv, finearts.go.th, silpa-mag.com
Feature Image credit : pantip
หนึ่งในปัญหาที่คุณพ่อบ้าน แม่บ้านพบเจอบ่อย โดยเฉพาะในช่วงหน้าฝนก็คงหนีไม่พ้น “เสื้อผ้าเหม็นอับ” ยิ่งถ้าฝนตกติดต่อหลายวัน ไม่มีแสงแดด หลายคนถึงขั้นต้องซักใหม่เพื่อขจัดกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ให้หมดไป ได้สวมใส่เสื้อผ้าที่มีกลิ่นหอม มีความมั่นใจ ไม่ต้องสูญเสียบุคลิกภาพกับ 15 วิธีแก้ผ้าเหม็นอับ หน้าฝน ซึ่งช่วยทำให้เสื้อผ้าของคุณกลับมามีกลิ่นหอมติดทนทาน เห็นผลจริงที่ทำตามได้ง่าย…
น้ำยาซักผ้า อีกหนึ่งไอเทมสำคัญที่ช่วยให้เสื้อผ้าของเราสะอาดหมดจด ปราศจากคราบสกปรก ไม่มีกลิ่นอับชื้นมากวนใจ แล้วยังช่วยเพิ่มความมั่นใจในการสวมใส่เสื้อผ้าอีกด้วย แต่ปัญหาอย่างหนึ่งที่หลายคนอาจจะเคยเจอคือซักผ้าแล้วทิ้งคราบขาวบนเสื้อผ้าหรือมีกลิ่นอับชื้นโดยเฉพาะซักผ้าในช่วงหน้าฝน ซึ่งปัญหาเหล่านี้จะหมดไปถ้าเลือกน้ำยาซักผ้าที่เหมาะกับวิธีในการซักผ้า หรือระเภทของเครื่องซักผ้า เดี๋ยวนี้น้ำยาซักผ้ามีให้เลือกด้วยกัน มีทั้งสำหรับการซักผ้าด้วยมือ เครื่องซักผ้าฝาหน้า หรือเครื่องซักผ้าฝาบน แล้วยังมีหลายสูตรหลายกลิ่นให้เลือกอีกด้วย ทำให้หลายคนเลือกไม่ถูกว่าว่าจะซื้อ น้ำยาซักผ้า…
เพื่อน ๆ คอกาแฟเคยลองคำนวณกันไหม? แต่ละวันหรือแต่ละเดือนต้องจ่ายเงินไปกับค่ากาแฟเท่าไหร่กันบ้าง? โดยเฉพาะคอกาแฟที่ต้องดื่มกาแฟทุกวัน หรือบางคนอาจดื่มกาแฟมากกว่า 1 แก้วต่อวัน เพื่อให้ร่างกายสดชื่นก่อนออกไปทำงานหรือทำกิจกรรมต่าง ๆ จะดีกว่าไหมหากมีเครื่องชงกาแฟติดบ้าน เพื่อความสะดวก อยากจะดื่มกาแฟตอนไหนก็ได้ตามที่ต้องการ แถมยังสามารถปรับรสชาติและความเข้มของกาแฟให้ถูกปากถูกใจ อีกทั้งยังสร้างสรรค์เมนูกาแฟได้หลากหลาย…
วางแพลนทริปเที่ยวในช่วงวันหยุดกันมาตั้งนาน เตรียมเสื้อผ้า จัดกระเป๋า จองที่พักเรียบร้อย... แต่เอ๊ะ! แล้วจะเดินทางไปเที่ยวกันยังไง? โดยเฉพาะคนที่ไม่มีรถยนต์ส่วนตัว นั่งรถทัวร์ นั่งรถไฟ หรือขึ้นเครื่องบินไปเที่ยวกันดี แน่นอนว่าการใช้บริการขนส่งสาธารณะ อาจจะไม่ค่อยสะดวกสบายเท่าที่คิด โดยเฉพาะถ้าต้องไปเที่ยวสถานที่ที่ไม่มีรถสาธารณะผ่านอาจจะลำบากนิดหน่อย ไหนต้องแบกสัมภาระมากมายหรืออยากเข้าห้องน้ำก็ไม่สะดวก ถ้าอย่างนั้นตัวเลือกที่จะช่วยให้เพื่อน…
คงปฏิเสธไม่ได้ว่าเรากำลังอยู่ในยุคที่อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์พกพานั้น มีบทบาทสำคัญต่อการใช้ชีวิตของเราเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นสมาร์ตโฟน แท็บเล็ต แล็ปท็อป หรือหูฟังไร้สาย สิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้เลยนั่นก็คือสายชาร์จ และในบรรดาสายชาร์จประเภทต่าง ๆ สายชาร์จ Type C ก็ได้กลายเป็นมาตรฐานใหม่ ที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายทั่วโลก แม้กระทั่ง…
ไม่ต้อง งงอีกต่อไป! ดูขนาดล้อแม็ก ดูยังไง พร้อมเคล็ดลับการเลือกล้อแม็กซ์ให้เหมาะกับรถคุณ และพลาดไม่ได้กับ 3 ร้านล้อแม็ก ใกล้ฉันที่คุณที่วางใจได้ พร้อมให้บริการ